ท้องฟ้ามืดมิดยามค่ำคืน แสงจันทร์ยามสารทฤดูช่างเหน็บหนาว
ภายในตรอกคนตายนั้นหนาวเย็นและมืดมิดยิ่งนัก หยางหนิงค่อยๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าโดยคลำมือไปกับกำแพงอย่างแ่เบา ไม่นานนักเขาก็มองเห็นแสงไฟที่ปรากฏอยู่ด้านหน้า ทำให้เขาเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น
จากแสงไฟที่ส่องมาก็ทำให้เห็นรถม้าคันนั้นที่จอดอยู่ในตรอกลางๆ เมื่อขยับเข้าไปใกล้อีกนิดถึงพบว่ารถม้าคันนั้นจอดอยู่บริเวณด้านหน้าของประตูจวนแห่งหนึ่ง
ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยพูดว่าภายในตรอกคนตายมีจวนสกุลฮวาอยู่เพียงสกุลเดียว เช่นนั้นก็หมายความว่ารถม้าคันนี้วิ่งมาที่จวนสกุลฮวาจริงๆ
เวลานี้มือปราบเฝิงได้ลงมาและยืนอยู่ข้างรถม้าแล้ว และ้าบันไดมีบุรุษชุดดำคนหนึ่งยืนอยู่ ในมือของคนผู้นั้นถือโคมไฟเอาไว้ใบหนึ่งและแสงภายในตรอกนั้นก็คือแสงที่มาจากโคมไฟใบนั้น
หยางหนิงครุ่นคิดในใจว่าเวลาดึกดื่นเช่นนี้ มือปราบเฝิงกลับนั่งรถม้ามาที่แห่งนี้ หรือว่าจะมาหาฮูหยินฮวาที่ลักกินขโมยกินและทำกิจสามีภรรยายามค่ำคืนกันจริงๆ?
เพียงแต่ หากเป็เช่นนี้จริงก็ดูจะแปลกประหลาดอยู่ไม่น้อย ถ้าจะมาเริงสำราญเหตุใดต้องใช้รถม้าด้วย? อย่างไรเสียนี่ก็ไม่ใช่การมาหอนางโลม แต่คือการมาหาพวกลักกินขโมยกิน คงจำเป็ต้องแอบซ่อนอยู่บ้าง หากใช้รถม้า เป้าหมายก็จะชัดเจนเกินไป อีกทั้งยังดูโดดเด่นอยู่ไม่น้อยด้วย
ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิดนั้นก็หันไปเห็นโคมไฟอีกใบหนึ่งออกมาจากด้านในของประตู ไม่นานนักก็มองเห็นว่าผู้ที่ถือโคมไฟอยู่เป็สตรีที่สวมชุดกระโปรงยาวคนหนึ่ง แต่เป็เพราะว่าระยะห่างค่อนข้างไกลออกไป ต่อให้ทักษะการมองเห็นของหยางหนิงดีเพียงใดก็ไม่อาจมองเห็นรูปร่างลักษณะได้อย่างชัดเจน เขามองเห็นเพียงแค่ลักษณะคร่าวๆ เท่านั้น
และด้านหลังของหญิงสาวคนนั้นมีหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินตามออกมา หยางหนิงเห็นคร่าวๆ ว่ารูปร่างของหญิงวัยกลางคนผู้นั้นมีน้ำมีนวลอยู่ไม่น้อย เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ดูหรูหรางดงามพร้อมกับท่วงท่าที่ดูเย้ายวน แม้ว่าจะห่างออกมาไกลพอสมควร แต่ว่าเมื่อมองดูท่าทางการเดินของนาง ก็เห็นได้ชัดว่ามันมีเอกลักษณ์ดึงดูดสายตาไม่น้อย
หญิงวัยกลางคนรูปร่างอวบๆ เดินบิดเอวไปมาจนถึงด้านข้างของรถม้า ก่อนจะเห็นแค่ว่ามือปราบเฝิงนั้นยื่นมือออกไปเปิดประตูด้านหลังของรถม้า ก่อนที่ด้านในของรถจะมีคนก้าวลงมาประมาณสามสี่คน คนที่ลงมานั้นล้วนแต่เป็สาวน้อยที่มีใบหน้างดงาม
สาวน้อยทั้งสี่สวมเสื้อผ้าที่มีสภาพฉีกขาดน่าเวทนา หลังจากที่พวกนางลงมาจากรถม้าแล้ว มือปราบเฝิงก็แสดงสัญญาณมืออยู่สองครั้งก่อนที่พวกนางจะเดินไปยืนเรียงกันอยู่ด้านหลังรถม้าอย่างเชื่องๆ ราวกับลูกแกะตัวน้อยๆ
หญิงวัยกลางคนผู้นั้นกลับเดินวนผ่านสาวน้อยเ่าั้ทีละคนพร้อมกับยกมือขึ้นลูบบนใบหน้าของพวกนางอยู่บ่อยครั้ง ราวกับกำลังเลือกสินค้าก็มิปาน
ไม่นานนักหญิงวัยกลางคนก็หมุนตัวกลับเข้าไปด้านในจวน จากนั้นบุรุษชุดดำที่ถือโคมไฟไว้ก็กวักมือเรียกและสาวน้อยทั้งสี่เองก็เดินเรียงตามหลังหญิงวัยกลางคนผู้นั้นเข้าไปด้านใน
หยางหนิงก็เกิดความรู้สึกสงสัยขึ้นในใจ เขาไม่รู้ว่าฮูหยินฮวาและมือปราบเฝิงผู้นี้คิดจะทำอะไรกันแน่ และตอนที่กำลังคิดว่ามือปราบเฝิงเองก็น่าจะก้าวเข้าไปในจวนกลับพบว่ามือปราบเฝิงดันกลับขึ้นไปบนรถม้า
หยางหนิงเห็นว่าเขาทำท่าจะจากไปแล้วจึงเตรียมจะหมุนตัวออกจากตรอกแห่งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เขาขับรถม้าผ่านและมองเห็นตน ทว่ารถม้านั้นกลับไม่ได้หันทิศทางวิ่งกลับออกมาแต่กลับวิ่งต่อเข้าไปด้านในตรอกคนตาย ไม่นานนักก็หายวับเข้าไปในความมืด
ั้แ่ต้นจนจบคนเหล่านี้ล้วนไม่เอ่ยอะไรออกมา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคุ้นเคยกันเป็อย่างดี
บุรุษชุดดำที่ถือโคมไฟไว้คนนั้นยกมันขึ้นพลางมองซ้ายมองขวา แสดงให้เห็นว่าเขาระมัดระวังตัวเป็อย่างมาก ทว่าเขามองไม่เห็นหยางหนิง แล้วเขาก็หมุนตัวเดินขึ้นบันไดกลับเข้าไปด้านในจวนเช่นกัน จากนั้นก็ได้ยินเสียงปิดประตูใหญ่ดังตามมา
หยางหนิงรออยู่ครู่หนึ่งถึงจะเดินขยับเข้าไปใกล้ ช่างเป็จวนที่ใหญ่โตหลังหนึ่งโดยแท้ กำแพงจวนสูงตระหง่าน ประตูปิดสนิท ไม่มีจุดใดที่สามารถเข้าไปด้านในจวนได้เลยจริงๆ
เวลานี้ในใจของเขากลับมีความรู้สึกสงสัยเกิดขึ้นมา ตามที่เหล่าชู่ผีได้กล่าวไว้ เสี่ยวเตี๋ยนั้นแอบลักลอบออกมาจากจวนสกุลฮวาเพื่อมายังศาลเ้าใน่กลางดึก ในเมื่อเป็การลักลอบออกมา เช่นนั้นก็ไม่มีทางออกมาจากประตูใหญ่ ทว่าเขากลับไม่รู้ว่าเสี่ยวเตี๋ยลอบออกมาจากที่ใด?
หลายวันแล้วที่เสี่ยวเตี๋ยไม่มีข่าวคราวออกมา บวกกับที่หยางหนิงรู้มาว่าฮูหยินฮวามีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจการลักกินขโมยกิน ทำให้ในใจของเขาที่แต่เดิมเป็กังวลนั้นเมื่อเห็นภาพที่น่าประหลาดเมื่อครู่นี้ ก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าภายในจวนสกุลฮวาจะต้องแอบแฝงเื่ลึกลับอื่นไว้เป็แน่
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเสี่ยวเตี๋ยอาศัยอยู่ด้านในจวนสกุลฮวา แค่ภาพแปลกประหลาดเมื่อครู่นี้ หยางหนิงก็อยากจะเข้าไปด้านในจวนสกุลฮวาและดูให้รู้แน่ชัดว่ามันมีอะไรอยู่กันแน่
ค่ำคืนที่เงียบสงบ หยางหนิงเดินวนรอบได้ครึ่งหนึ่งเพื่อพยายามหาช่องโหว่ของจวนสกุลฮวา จนกระทั่งเขามาถึงตรอกด้านหลังจวน ถนนของตรอกเส้นนี้คับแคบเป็อย่างมาก ไม่ต้องพูดถึงการใช้รถม้าวิ่งผ่าน แค่บุรุษสองคนเดินเรียงหน้ากระดานกันเข้าไปยังคงถือว่าเป็เื่ที่ลำบากมิใช่น้อย
ด้านในของตรอกนั้นมีกลิ่นเน่าเปื่อยของอะไรบางอย่างลอยออกมา และเพราะรูปร่างของหยางหนิงนั้นผอมบางทำให้สามารถเดินเข้าไปในตรอกนี้ได้อย่างสะดวกสบาย เพียงแต่ว่ากลิ่นที่เหม็นเน่านั้นทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะปิดจมูกของตนไว้แน่น
เดิมตรอกนี้ก็คับแคบอยู่แล้ว ซ้ำยังมีการขุดทางเดินน้ำเส้นหนึ่งอยู่ด้านข้างกำแพงเพิ่มอีก และกลิ่นเหม็นเน่านั้นก็เป็กลิ่นที่กระจายออกมาจากทางเดินน้ำนี้
และหลังจากที่เดินอยู่ภายในตรอกที่มืดมิดนี้ไปได้ครู่หนึ่ง ในที่สุดหยางหนิงก็หยุดฝีเท้าของตนลง ก่อนจะย่อตัวลงไปข้างๆ ทางเดินน้ำเส้นนั้น เวลานี้เขากลับมองเห็นว่าข้างล่างกำแพงนั้นมีช่องอยู่รูหนึ่ง ช่องนั้นไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก ทว่ากลับเพียงพอให้คนปีนเข้าออกได้ บริเวณรอบๆ ช่องนั้นเต็มไปด้วยสิ่งสกปรกเกาะอยู่อย่างหนาแน่น
“ที่แท้ก็คือตรงนี้!” หยางหนิงเข้าใจได้ในทันที
เขาคำนวณได้อย่างแม่นยำว่าในเมื่อเสี่ยวเตี๋ยสามารถลอบออมาได้ นั่นก็แสดงว่าจวนสกุลฮวาจะต้องมีช่องโหว่ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าช่องโหว่จะอยู่ตรงที่แห่งนี้
แม้ว่าเขาจะไม่ยินดีที่จะเข้าไปข้างในผ่านช่องที่สกปรกเช่นนี้ แต่หากคิดที่จะปีนข้ามกำแพงเข้าไป เนื่องด้วยกำแพงมีขนาดสูงใหญ่อีกทั้งยังมีผิวเรียบ การจะปีนข้ามไปได้นั้นก็จำเป็ต้องใช้อุปกรณ์บางอย่างช่วยอีก ซึ่งการทำเช่นนั้นจะสิ้นเปลืองเวลาเป็อย่างมาก
ด้วยการที่ต้องลงมือแข่งกับเวลา หยางหนิงจึงตัดสินใจลอดผ่านช่องรูนี้ไปด้วยความระมัดระวัง กำแพงนี้แม้ว่าจะมีขนาดสูงแต่ว่ามันก็ไม่ได้หนามากนัก แต่ว่าอีกฝั่งหนึ่งของช่องรูนี้กลับมีแผ่นหินแผ่นหนึ่งมากั้นเอาไว้ และเมื่อหยางหนิงใช้มือผลักเข้าไปก็สามารถผลักออกได้อย่างง่ายดาย แผ่นหินนี้เห็นได้ชัดว่ามีไว้ใช้สำหรับการอำพรางตาผู้คน
หลังจากปีนออกมาจากช่องรูได้แล้ว สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเขากลับเป็ใบไม้แห้งแถบใหญ่ ที่แท้ด้านหลังของช่องรูนี้ก็คือสวนดอกไม้ และเป็เพราะเวลานี้อยู่ใน่เดือนเก้าแล้ว ความเหน็บหนาวของสารทฤดูทำให้ไม่สามารถมองเห็นภาพดอกไม้ที่กำลังบานสะพรั่งได้
ยังไม่ทันจะได้ลุกขึ้นยืนจากด้านหลังของสวนดอกไม้ หยางหนิงก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างเย้ายวนของสตรีดังออกมา ในใจของหยางหนิงก็เกิดอาการตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนที่เขาจะมองผ่านทางช่องว่างระหว่างกิ่งก้านของต้นไม้และพบว่าที่แห่งนี้เป็สวนหย่อมขนาดเล็ก
ภายในสวนนั้นดูเรียบง่ายเป็อย่างมาก ตรงกลางสวนมีศาลาทรงแปดเหลี่ยมอยู่หลังหนึ่ง ด้านในมีโต๊ะหินและเก้าหี้หินวางอยู่อย่างครบถ้วน ด้านข้างของศาลานั้นมีบ่อน้ำรูปร่างวงรีขนาดเล็กอยู่บ่อหนึ่ง เห็นได้ชัดว่านี่เป็บ่อที่ขุดโดยฝีมือของมนุษย์ ขนาดของบ่อนั้นไม่ได้ถือว่าใหญ่มากนักทว่าด้านในกลับมีูเาจำลองวางไว้ลูกหนึ่ง เมื่อมองดูผ่านๆ ดูงดงามอยู่ไม่น้อย
ที่เสาแปดมุมของศาลานั้นมีโคมไฟแขวนอยู่หลายใบ ทำให้ภายในศาลาดูสว่างไสวราวกับ่เวลากลางวัน โต๊ะหินด้านในศาลามีอาหารกินเล่นวางอยู่ โดยมีบุรุษคนหนึ่งกำลังนั่งพักผ่อนจิบสุราอยู่ในศาลา
ไม่ไกลออกไปนักก็มีเงาของคนผู้หนึ่งกำลังย่างก้าวเข้ามา ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องก็ทำให้หยางหนิงจำได้ในทันทีว่าคนผู้นั้นก็คือหญิงวัยกลางคนรูปร่างอวบที่ตนเห็นเมื่อครู่นี้
หญิงวัยกลางคนผู้นี้ดูมีอายุประมาณสามสิบต้นๆ ผิวของนางขาวเนียนใส รูปร่างมีน้ำมีนวล ดูแล้วงดงามยิ่งนัก เอวของนางบิดไปมาเล็กน้อยขณะที่ก้าวเดินเผยให้เห็นถึงความเย้ายวนในรูปแบบของสตรีวัยกลางคน และเสียงหัวเราะนั้นก็เป็เสียงที่เปร่งออกมาจากนาง
หยางหนิงคิดในใจว่าสตรีผู้นี้น่าจะเป็ฮูหยินฮวา ดูจากท่าทางของฮูหยินฮวาแล้วก็ถือได้ว่าเย้ายวน มีเสน่ห์ดึงดูดผู้คนจริงๆ
และที่ทำให้หยางหนิงเกิดอาการตกตะลึงนั้นมิใช่เป็เพราะการปรากฎตัวของฮูหยินฮวา แต่เป็เพราะว่าบุรุษที่นั่งอยู่ในศาลานั้นกลับเป็คนที่เขารู้จัก คนผู้นั้นก็คือเซียวอี้ซุ่ย หัวหน้ามือปราบแห่งเมืองฮุ่ยเจ๋อที่เขาเพิ่งพบที่หน้าประตูโรงเตี๊ยมหอมสิบลี้เมื่อไม่นานมานี้
หยางหนิงเป็คนที่จดจำทุกอย่างทันทีที่พบเห็นได้ และหากเป็คนที่เขาเคยพบเห็น เขาก็จะสามารถจำรูปร่างลักษณะของคนผู้นั้นได้อย่างแม่นยำ นี่เป็สิ่งที่หยางหนิงถือไว้เป็จุดเด่นอย่างหนึ่งของตนมาโดยตลอด
เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะพบกับเซียวอี้ซุ่ยที่นี่ เขาที่หลบอยู่ด้านหลังพุ่มไม้จึงได้แต่พยายามทำให้ตัวเองอยู่นิ่งเงียบให้ได้มากที่สุด
ท้องฟ้ายามค่ำคืนช่างเงียบสงบและสวยงาม สายลมเย็นๆ พัดผ่านไปเบาๆ ก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงเอ่ยถามของเซียวอี้ซุ่ยที่มีต่อฮูหยินฮวาที่ย่างก้าวเข้ามาในศาลา “จัดการเสร็จแล้วใช่ไหม?”
เสียงของฮูหยินฮวาลอยตามมา “ข้าจัดการแล้วท่านยังไม่วางใจอีกหรือ? สองปีมานี้เคยพลาดด้วยหรือไงกัน?” น้ำเสียงของนางออดอ้อน อ่อนหวานแฝงด้วยความแง่งอน เมื่อลอยเข้าหูกลับทำให้คนรู้สึกขนลุกเบาๆ ทั่วร่างกาย
เซียวอี้ซุ่ยวางจอกสุราในมือลง ก่อนจะยื่นมือไปโอบเอวฮูหยินฮวาเอาไว้และดึงนางมากอดไว้แนบอก จากนั้นก็มีเสียงหัวเราะเย้ายวนดังมาจากฮูหยินฮวาครู่หนึ่ง เซียวอี้ซุ่ยใช้มือใหญ่ของตนขยับไปมาบนร่างของฮูหยินฮวา ทำให้หญิงวัยกลางคนส่งเสียงครวญครางเบาๆ ออกมา
เสียงครวญครางนั้นเมื่อดังเข้าหูของหยางหนิงก็ทำให้ใจของเขาเองก็เต้นแรงกว่าเดิมอยู่หลายจังหวะ พลางลอบคิดในใจว่าหญิงวัยกลางคนผู้นี้ช่างเก่งกาจเื่การเย้ายวนโดยแท้ แม้ว่าจะมีอายุมากกว่าสามสิบปีแล้ว ทว่ารูปลักษณ์ผิวพรรณของนางยังคงดียิ่ง มิน่าเล่าเซียวอี้ซุ่ยถึงได้มาพัวพันกับนาง
ในที่สุดหยางหนิงก็เข้าใจว่าเหตุใดก่อนหน้านี้พวกเขาถึงพูดว่าในเมืองแห่งนี้ไม่มีผู้ใดกล้าล่วงเกินฮูหยินฮวา และยิ่งเข้าใจว่าเหตุใดถึงไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาในตรอกคนตาย ตอนนั้นเขาก็รู้อยู่แล้วว่าเื้ัของฮูหยินฮวาต้องมีผู้สนับสนุนอยู่เป็แน่
เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าผู้สนับสนุนเื้ัฮูหยินฮวานั้น กลับเป็เซียวอี้ซุ่ยผู้ยึดครองเมืองฮุ่ยเจ๋อแห่งนี้
เขาเห็นว่าเซียวอี้ซุ่ยโยกจอกสุราในมือเบาๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ “มาๆๆ มาดื่มกับข้าสักสองจอก สุราดีเคียงคู่กับคนรู้ใจ ไร้ซึ่งสุราก็ไร้ซึ่งอรรถรส ดื่มต่ออีกสักสองจอก แล้วอีกครู่หนึ่งจะยิ่งสนุกสนานมากขึ้น” เขายกจอกสุราไปใกล้บริเวณปากของฮูหยินฮวา
ฮูหยินฮวาส่งเสียงฮึออกมาเบาๆ ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงแง่งอน “อะไรคือสุราดีเคียงคู่กับคนรู้ใจ? หากข้าเป็คนรู้ใจจริงมีหรือท่านจะรอสิบวันไม่ก็ครึ่งเดือนถึงจะมาหาครั้งหนึ่ง? ทำให้ข้าต้องอยู่ที่นี่อย่างโดดเดี่ยว อากาศหนาวเย็นเพียงนี้ ข้าเฝ้ารอวันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า ในใจก็มักจะคิดถึงแต่ท่าน...เฮ้อ ข้าก็เริ่มแก่ชรากลายเป็มุกสีเหลืองไปแล้ว คิดว่าท่านคงจะแวะมาเยี่ยมเยียนข้าบ้าง คิดไม่ถึงว่าท่านจะทิ้งข้าไว้ที่นี่ให้อยู่ตัวคนเดียว”
เซียวอี้ซุ่ยเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงขบขัน “เ้าไม่เข้าใจหลักการที่ว่าแยกกันเวลาสั้นๆ จะทำให้ความรักยืนยาวขึ้นงั้นหรือ? อีกทั้งมีครั้งใดบ้างที่ข้าไม่ได้ทำให้เ้านอนอยู่ที่เตียงสามวันห้าวันก็ยังลุกขึ้นมาไม่ไหว ข้าควรจะให้เ้าได้พักเสียบ้างจึงจะดี” ขณะที่อีกมือหนึ่งก็ลากผ่านไปมาบนร่างกายของฮูหยินฮวา ศีรษะของฮูหยินฮวาทาบลงบนไหล่ของเขา ขณะที่ร่างกายราวกับไม่มีกระดูก อิงแอบในอ้อมกอดของเซียวอี้ซุ่ยอย่างอ่อนแรง ผมยาวสลวยสีดำปล่อยสยายลงมา ปิดครึ่งใบหน้าของเซียวอี้ซุ่ยเอาไว้
หยางหนิงลอบด่าในใจว่าหญิงโฉดชายชั่ว ภายในสวนหย่อมกลับกล้าพลอดรักกันขนาดนี้ ทว่าเมื่อคิดๆ แล้วที่แห่งนี้คงจะไม่มีใครกล้ามาเป็แน่ ก็ไม่ผิดที่พวกเขาจะกล้าทำอะไรไม่เกรงกลัวผู้ใดถึงเพียงนี้
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฮูหยินฮวาก็เหลือเพียงแค่เสื้อคลุมบางๆ ชั้นหนึ่งเท่านั้น ผ้าบางเปิดออกเล็กน้อยเผยให้เห็นลำคอขาวราวกับหิมะ อีกทั้งยังเผยให้เห็นเอี้ยมแดงที่พาดอยู่่เนินอกอีกด้วย แสงสีแดงจากโคมสาดส่องมาบนใบหน้าที่ขาวเนียนของนางทำให้ดูงดงามยิ่งนัก อีกทั้งยังเผยให้เห็นถึงเสน่ห์อันเย้ายวนของสาววัยกลางคนด้วย
“จริงสิ รอจนเื่ทางนี้จัดการจบแล้ว ข้าต้องเดินทางไปเมืองหลวง” เซียวอี้ซุ่ยเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน “เ้าเต็มใจจะไปพร้อมกับข้าหรือไม่?”
“เมืองหลวง?” ฮูหยินฮวาเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ “เหตุใดต้องไปเมืองหลวง? ท่านอยู่ที่แห่งนี้เรียกลมเรียกฝนได้ มิใช่เื่ดีงั้นหรือ?”
เซียวอี้ซุ่ยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงขบขัน “ความคิดสตรีนี่นะ แค่เมืองเล็กๆ จะไปมีอนาคตอะไรได้? ท่านผู้นั้นได้รับปากแล้วว่าจะหางานดีๆ ให้ข้าในเมืองหลวง หากคิดอยากจะบินให้สูง แน่นอนว่าไม่อาจอยู่แค่ที่แห่งนี้ได้ อีกทั้งาก็ใกล้จะยุติ ผู้อพยพก็ใกล้เดินทางกลับบ้านเกิด กิจการของพวกเราก็คงจะทำต่อได้อีกไม่นานแล้ว” ก่อนจะบีบหน้าเล็กๆ ของฮูหยินฮวาเบาๆ และเอ่ยต่อ “ข้าอยู่ที่เล็กๆ เช่นนี้มาเป็เวลานานหลายปีแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องได้เชิดหน้าชูตาเสียที”
ฮูหยินฮวาเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงแง่งอน “ข้าเป็คนของท่านตั้งนานแล้ว ขอเพียงท่านไม่รังเกียจที่ข้าแก่ชราเหมือนไข่มุกเหลือง ไม่ว่าท่านไปที่ใด ข้าก็จะติดตามท่านไปด้วย”
เซียวอี้ซุ่ยหัวเราะออกมาเสียงดังก่อนจะตอบ “ของชั้นเลิศเช่นเ้ายากจะหาผู้แทนได้ ข้าตัดใจทิ้งเ้าไว้ไม่ลง เมื่อไปถึงเมืองหลวง เ้าก็ยังต้องคอยช่วยข้าทำกิจการ...ลูกน้อยเ้ายังเหลืออีกกี่คน?”
ฮูหยินฮวาตอบกลับ “ยังมีอีกประมาณสามสิบคน”
“เงินที่ควรจะหาก็มาอยู่ในมือจนครบแล้ว” เซียวอี้ฉุ่ยเอ่ยต่อ “เลือกเพียงไม่กี่คนจากคนเ่าั้ให้อยู่ต่อ เมื่อไปถึงเมืองหลวงพวกเราเองก็ต้องใช้”
“อุ้ย ข้าคิดว่าท่านไม่หวั่นไหวกับพวกสาวน้อยเ่าั้เสียอีก ที่แท้ท่าน...!” น้ำเสียงของนางแฝงไปด้วยความหึงหวงอย่างชัดเจน
เซียวอี้ซุ่ยหัวเราะออกมาก่อนจะเอ่ยตอบว่า “เ้าคิดไปถึงไหนอีกแล้ว มีของชิ้นเลิศอย่างเ้า สตรีบนแผ่นดินนี้ข้าล้วนไม่เห็นอยู่ในสายตา” น้ำเสียงของเขาแ่เบาลงเล็กน้อย ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้หูของฮูหยินฮวาและเอ่ยต่ออีกหลายประโยค เดิมหยางหนิงก็ฟังได้ไม่ชัดเจนเท่าใดนัก เวลานี้ยิ่งไม่ได้ยินว่าเซียวอี้ซุ่ยเอ่ยกระซิบอะไรข้างหูของฮูหยินฮวา
เมื่อฮูหยินฮวาได้ยิน เสียงหัวเราะของนางก็ยิ่งดังและเพิ่มความเย้ายวนมากขึ้น ก่อนที่นางจะเอ่ยถามต่อ “คนที่ท่านเอ่ยถึงนั้นเป็ใครมาจากที่ใดกัน? เขาถึงสามารถรับท่านเข้าเมืองหลวงไปเป็ข้าราชการได้อย่างง่ายดายถึงเพียงนั้น?”
เซียวอี้ซุ่ยหัวเราะออกมาแต่กลับไม่ได้เอ่ยอะไรตอบ จากนั้นเขาก็กวาดจานชามบนโต๊ะเ่าั้ไปที่มุมหนึ่ง ก่อนจะอุ้มฮูหยินฮวามาวางบนโต๊ะและยื่นมือไปดึงสายรัดกระโปรงของฮูหยินฮวาออก
เมื่อหยางหนิงหันไปเห็น เขาก็ลอบคิดในใจ หรือคนทั้งสองจะเริงสำราญกันในที่แห่งนี้จริงๆ เช่นนั้นตนจะต้องอยู่ชมการบรรเลงรักในที่แห่งนี้หรือ?
ทว่ากลับได้ยินเสียงฮูหยินฮวาเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน “คนดี ค่ำคืนอากาศเย็นเกินไป ภายในห้องของข้าได้จัดเตรียมพร้อมแล้ว พวกเรา...พวกเราไปที่ห้องเถิด อย่างไรเสียก็ต้องทำให้ท่านสนุกอย่างสุดอารมณ์ถึงจะถูก...!”
เซียวอี้ซุ่ยหัวเราะออกมาเสียงดัง ก่อนจะอุ้มฮูหยินฮวาและก้าวออกไปจากศาลาอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักพวกเขาก็หายลับออกไปจากสวนหย่อม
เมื่อหยางหนิงมั่นใจแล้วว่าพวกเขาไปแล้ว เขาถึงเดินออกมาจากด้านหลังพุ่มไม้ ภายในสวนหย่อมนั้นหนาวเย็นและเงียบสงบผิดปกติ ทว่าในใจของหยางหนิงกลับไม่ค่อยสงบเท่าใดนัก
ที่พึ่งพิงเื้ัของฮูหยินฮวาก็คือเซียวอี้ซุ่ย และเห็นได้ชัดว่าเซียวอี้ซ่ยยังมีผู้ที่อยู่เื้ัอีก และคนผู้นั้นก็ถือเป็คนใหญ่คนโตของเมืองหลวง แม้ว่าเซียวอี้ซุ่ยจะสามารถทำอะไรได้ดั่งใจ ผิดถูกไม่มีใครกล้าแย้งอยู่ในเขตเมืองฮุ่ยเจ๋อแห่งนี้ แต่เมื่อเทียบกับคนใหญ่คนโตในเมืองหลวง แน่นอนว่าเซียวอี้ซุ่ยก็เปรียบดั่งมดตัวน้อยๆ ที่เรี่ยวแรงน้อยนิดนัก