“เ้ารู้จักพวกเขาหรือ?” บุรุษสองคนที่อยู่ด้านล่างโรงเตี๊ยมหอมสิบลี้นั้นดูสะดุดตาไม่น้อย ทำให้เมื่อหยางหนิงมองไปก็รู้ได้เลยว่าคนที่โหวจื่อเอ่ยถึงนั้นคือพวกเขาทั้งสอง
โหวจื่อเองก็ไม่ได้หันหน้ากลับมา แต่ทำเพียงแค่เอ่ยตอบเสียงเบา “มิเพียงแต่ข้าที่รู้จักพวกเขา ผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้จะไม่รู้จักพวกเขานั้นถือว่ามีน้อยนัก เ้าเองก็รู้จักพวกเขา เพียงแต่ว่าตอนนี้เ้าจำไม่ได้ก็เท่านั้น”
หยางหนิงขมวดคิ้วแน่นพร้อมเอ่ย “พวกเขาคือผู้ใด ทำไมเ้าถึงต้องเกรงกลัวพวกเขาด้วย?”
โหวจื่อขยับเข้ามาใกล้หยางหนิง ก่อนจะเหลือบมองไปทางด้านหลังแวบหนึ่งด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ เมื่อเห็นว่าคนทั้งสองไม่ได้สังเกตมาทางนี้ เขาจึงผ่อนคลายลงบ้าง ก่อนจะกดเสียงให้ต่ำลงและเอ่ยตอบ “คนที่มีรูปร่างสูงคือหัวหน้ามือปราบเซียว และคนที่เตี้ยลงมาหน่อยคือมือปราบเฝิง เป็สุนัขบ้าที่กินคนไม่เหลือแม้แต่กระดูก เ้าพอจะนึกออกหรือไม่?”
ทว่าในสมองของหยางหนิงกลับไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับคนทั้งสองแม้แต่น้อย
“หัวหน้ามือปราบเซียว...!” หยางหนิงเอ่ยพึมพำกับตนเอง “นั่นคือเ้าคนที่ชื่อเซียวอี้ซุ่ยงั้นหรือ? ได้ยินว่าเขามีความสัมพันธ์อันดีกับพี่ใหญ่ฟางนี่”
โหวจื่อนั่งลงตรงขอบกำแพง หยางหนิงจึงย่อตัวนั่งลงไปเช่นกัน ก่อนที่โหวจื่อจะขยับเข้ามาใกล้และเอ่ยออกมาเบาๆ “สำหรับเซียวอี้ซุ่ยแล้ว พี่ใหญ่ฟางนั้นถือเป็สุ...!” เขาลังเลไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อ “โดยรวมแล้วก็คือไม่ว่าเซียวอี้ซุ่ยจะพูดอะไร พี่ใหญ่ฟางก็ล้วนแต่เชื่อฟังเป็อย่างดี ตอนนี้ศิษย์พรรคกระยาจกอย่างพวกเราอยู่ในมือของเซียวอี้ซุ่ยแล้ว”
แม้หยางหนิงจะรู้ว่าพี่ใหญ่ฟางใกล้ชิดสนิทสนมกับเซียวอี้ซุ่ย แต่เขาคิดไม่ถึงว่าจะเป็ความสัมพันธ์เช่นนี้ จึงเอ่ยออกมาอย่างตกตะลึง “เซียวอี้ซุ่ยผู้นี้เก่งกาจถึงเพียงนั้นเลยหรือ?”
หยางหนิงเอ่ยเสียงเบา “หากอาศัยอยู่ที่เมืองนี้นานแล้วก็จะรู้ว่าเซียวอี้ซุ่ยนั้นสามารถทำทุกอย่างได้ที่เมืองฮุ่ยเจ๋อแห่งนี้ ข้าได้ยินพวกเขาพูดกันว่าต่อให้เป็เ้าเมือง โดยปกติแล้วก็ยังไม่กล้าร้องะโออกคำสั่งต่อหัวหน้ามือปราบเซียวเลย และหลังจากที่เ้าเมืองมาอยู่ที่นี่ได้ไม่กี่ปีก็ได้เลื่อนขั้นและจากที่นี้ไปแล้ว แต่ว่าหัวหน้ามือปราบเซียวกลับอยู่ที่เมืองฮุ่ยเจ๋อเช่นเดิมไม่จากไปไหน ข้าอยู่เมืองฮุ่ยเจ๋อมาหกเจ็ดปีแล้ว เ้าเมืองถูกเปลี่ยนเป็คนที่สามแล้ว แต่ว่าหัวหน้ามือปราบกลับยังคงเป็เซียวอี้ซุ่ยดั่งเดิม!”
“ดูแล้ว เหมือนว่าหัวหน้ามือปราบเซียวผู้นี้จะเป็คนที่กุมทุกอย่างไว้ในมือจริงๆ” หยางหนิงลูบปลายจมูกของตนเบาๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างขบขัน
ัที่แข็งแกร่งกลับไม่อาจเอาชนะอสรพิษร้ายได้ หลักการที่หยางหนิงเองก็เข้าใจดี เ้าเมืองนั้นเป็ขุนนางที่ราชสำนักส่งมา แต่มือปราบนั้นเป็ตำแหน่งที่มีขึ้นเองภายในพื้นที่ ต่อให้เ้าเมืองถูกเลื่อนขั้น หัวหน้ามือปราบก็ไม่แน่ว่าจะมีการเปลี่ยนคน
แต่ว่าหากมีการเปลี่ยนเ้าเมืองมาหลายครั้งแล้ว แต่เซียวอี้ซุ่ยยังคงนั่งอยู่ในตำแหน่งหัวหน้ามือปราบเช่นเดิมไม่สั่นคลอนก็ถือว่าเป็เื่ที่ไม่ธรรมดาจริงๆ
โหวจื่อเอ่ยต่อ “มือปราบทุกคนในเมืองฮุ่ยเจ๋อล้วนแต่อยู่ในการดูแลของเขา” โหวจื่อนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยต่อเสียงเบา “หลายคนพูดกันอยู่ลับๆ ว่ามือปราบในเมืองฮุ่ยเจ๋อนี้เชื่อฟังเพียงหัวหน้ามือปราบเซียวเท่านั้น หากไม่มีคำสั่งของหัวหน้ามือปราบเซียว แม้แต่เ้าเมืองก็ไม่อาจสั่งการมือปราบได้แม้แต่คนเดียว เวลาเ้าเมืองจะจัดการเื่ใดก็ต้องไว้หน้าหัวหน้ามือปราบเซียวถึงสามส่วน เ้าว่าเขาเก่งกาจพอหรือไม่เล่า? ข้ายังได้ยินมาว่าคดีใหญ่น้อยในเมืองฮุ่ยเจ๋อ หากหัวหน้ามือปราบเซียวไม่ยื่นมือเขาไปยุ่งก็จะไม่มีทางไขคดีได้”
หยางหนิงทำเพียงแค่ยิ้มออกมาจางๆ ก่อนจะเอ่ยถามต่อ “เช่นนั้นมือปราบเฝิงผู้นั้นเป็ผู้ใดอีก? เหตุใดถึงเรียกเขาว่าสุนัขบ้า?”
เมื่อเอ่ยถึงมือปราบเฝิงผู้นั้น สีหน้าของโหวจื่อก็ปรากฏความหวาดกลัวขึ้น เขารีบก้มศีรษะลงและเอ่ยถามออกมาเสียงเบา “เขามองเห็นพวกเราหรือไม่?”
“ไม่” หยางหนิงมองผ่านคนที่เดินไปเดินมาบนถนนทางนั้นเพียงครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบ “เหตุใดเ้าถึงต้องหวาดกลัวเขาถึงเพียงนี้? เ้าเป็แค่ยาจกคนหนึ่ง ไม่ใช่นักโทษที่ก่อคดีร้ายแรง มีอันใดต้องหวาดกลัวกัน?”
ยิ่งหยางหนิงถามมากขึ้นเท่าใด ความหวาดกลัวในแววตาของโหวจื่อก็ยิ่งปรากฏชัดมากขึ้น
หยางหนิงอดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปทางทิศนั้น เขาเห็นว่ามือปราบเฝิงเอ่ยจบแล้ว ทว่าเซียวอี้ซุ่ยกลับหันไปกระซิบข้างหูของมือปราบเฝิงต่ออีกสองสามประโยค จากนั้นก็ตบลงบนบ่าของมือปราบเฝิงเบาๆ ในขณะที่มือปราบเฝิงยกมือขึ้นคำนับทำความเคารพ เห็นได้ชัดว่าเขาเคารพนับถือในตัวเซียวอี้ซุ่ยเป็อย่างมาก จากนั้นก็หมุนตัวเดินกลับไปบนถนนและจากไปอย่างรวดเร็ว
หยางหนิงไม่ได้ดึงสายตากลับมา แต่ยังคงจ้องไปที่เซียวอี้ซุ่ยผู้นั้นเช่นเดิม เมื่อเห็นว่าเซียวอี้ซุ่ยกำลังจัดแจงเสื้อผ้าของตนให้เข้าที่ก่อนจะกวาดตามองไปรอบข้างแวบหนึ่ง แล้วจึงค่อยหมุนตัวเดินกลับเข้าไปด้านในโรงเตี๊ยมหอมสิบลี้อีกครั้ง
“พวกเขาไปกันหมดแล้ว” หยางหนิงตบไหล่ของโหวจื่อเบาๆ
โหวจื่อเงยหน้าขึ้นมามองแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าพวกเซียวอี้ซุ่ยไม่อยู่ที่หน้าประตูหอมสิบลี้แล้ว เขาจึงได้ถอยหายใจออกมายาวๆ พร้อมเอ่ยต่อ “ทำข้าตกอกใแทบแย่”
หยางหนิงลอบคิดอยู่ในใจว่าเมื่อก่อนตอนที่เ้าอยู่ในศาลเ้าก็วางตัวโอ้อวดเสียใหญ่โต พอออกมากลับขี้ขลาดตาขาวเช่นนี้ ช่างไม่ได้เื่เสียจริงๆ ทว่าเขาก็ยังคงเอ่ยถามกลับไปด้วยความสงสัยอยู่ดี “เ้ายังไม่ได้พูดเลยว่าเหตุใดถึงเรียกมือปราบเฝิงว่าสุนัขบ้า และก็เหตุใดเ้าถึงต้องหวาดกลัวพวกเขาถึงเพียงนี้? เมื่อก่อนเ้าเคยยุ่งเกี่ยวกับพวกเขางั้นหรือ?”
โหวจื่อกัดฟันแน่นก่อนเอ่ยตอบ “สุนัขบ้านั้นไม่ใช่ข้าที่เป็คนตั้งชื่อขึ้นมา พวกศิษย์พรรคกระยาจกหลายคนต่างเรียกเ้าเศษสวะนั้นว่าสุนัขบ้า คนผู้นั้นเป็มือปราบมือหนึ่งของหัวหน้ามือปราบเซียว ว่ากันว่าเขาติดตามหัวหน้ามือปราบเซียวมาหลายปีแล้ว สองคนนั้นยังสาบานเป็พี่น้องอีกด้วย” โหวจื่อกำหมัดแน่น พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น “มันเป็คนที่ทำให้ข้าตกต่ำถึงเพียงนี้”
หยางหนิงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “หรือว่าเ้าเคยถูกจับเข้าคุก?”
“เ้าสุนัขบ้านั้นใช้พวกเราเป็ที่ซ้อมไม้” โหวจื่อเอ่ยออกมาอย่างมีโทสะ “พวกเ้าหน้าที่ของสำนักมือปราบมักมาหาพี่ใหญ่ฟางและขอคนไปเป็ที่ซ้อมไม้ พี่ใหญ่ฟาง...พี่ใหญ่ฟางผู้ไร้ประโยชน์คนนั้นมีหรือจะกล้าขัดต่อคำสั่งของสำนักมือปราบ ทุกครั้งเขาจะส่งศิษย์พรรคกระยาจกไปที่สำนักมือปราบและส่งตัวให้กับสุนัขบ้า ครั้งหนึ่งถึงสิบยี่สิบกว่าคน”
“ใช้คนเป็ที่ซ้อมไม้?” หยางหนิงนิ่งอึ้งไป
แม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เขาเองก็รู้ว่าไม้ของเ้าหน้าที่สำนักมือปราบในโบราณกาลนั้นไม่ใช่ของธรรมดา หากลงมืออย่างโหดร้าย แค่ไม่กี่สิบไม้ก็สามารถพรากชีวิตคนไปได้เลย
“เขาดึงกางเกงของพวกเราออกและให้เราเปิดก้นให้พวกมันตีจนเละเทะไปหมด” โหวจื่อทั้งโมโหและหวาดกลัว “สุนัขบ้าและลูกน้องที่เหมือนเศษสวะพวกนั้นไม่เคยเห็นพวกเราเป็เหมือนมนุษย์คนหนึ่ง...!” ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงเบาอีกครั้ง “การซ้อมไม้นั้นเป็เื่โกหก แต่ว่าเอาพวกเราไปซ้อมเหมือนของเล่นนั้นเป็เื่จริง สุนัขบ้าผู้นั้นตีคนตายด้วยตนเองไปถึงสามสี่คนแล้ว...!”
ในใจของหยางหนิงเองก็เข้าใจว่ายุคสมัยที่มีาอยู่รอบด้านนั้น การที่ยาจกไม่กี่คนตายไปนั้นถือเป็เื่เล็กที่ไม่มีผู้ใดใส่ใจ อีกทั้งผู้ที่ลงมือยังเป็เ้าหน้าที่สำนักมือปราบด้วย เช่นนั้นก็ยิ่งไม่มีที่ใดให้ไปร้องเรียนได้อีก
ทว่าการที่มือปราบเฝิงไม่เห็นค่าของชีวิตคนถึงเพียงนี้ถือว่าชั่วช้าเลวทรามยิ่งนัก แต่ก็พิสูจน์แล้วเช่นกันว่าพวกเซียวอี้ซุ่ยกับมือปราบเฝิงนั้นปกครองทุกสิ่งทุกอย่างในเมืองฮุ่ยเจ๋อแล้วจริงๆ
“ในเมื่อพี่ใหญ่ฟางเป็พี่ใหญ่ของศิษย์พรรคกระยาจกในเมืองฮุ่ยเจ๋อแล้วก็ควรจะปกป้องคุ้มครองศิษย์พรรคกระยาจก เหตุใดถึงต้องส่งแพะเข้าถ้ำเสือด้วย?” หยางหนิงยิ้มเย็นออกมา “คนที่สนับสนุนผู้อื่นให้ทำชั่วเช่นนี้ เหตุใดถึงยังเป็หัวหน้าของผู้อื่นได้อีก?”
“พี่ใหญ่ฟางน่ะหรือ?” โหวจื่อสบถเบาๆ ในลำคอก่อนจะเอ่ยตอบ “พวกเ้าหน้าที่สำนักมือปราบไม่เห็นพวกเราเป็มนุษย์ และพี่ใหญ่ฟางก็ไม่ได้ดีกว่ากันเท่าไรนัก หลายปีมานี้สุนัขบ้าทำให้พวกเราเดือดร้อนอย่างมาก และพี่ใหญ่ฟางไม่คิดแม้แต่จะมาไยดีอะไรเลย”
หยางหนิงพยักหน้าลงเล็กน้อย คำพูดของโหวจื่อนั้นเหมือนกับที่เหล่าชู่ผีพูดถึงพี่ใหญ่ฟาง พี่ใหญ่ฟางนั้นเป็คนชั่วช้าที่ไม่สนใจความเป็ตายของศิษย์พรรคกระยาจกจริงๆ ด้วย
ท้องฟ้ามืดสนิทและพระจันทร์ก็ลอยขึ้นจากขอบฟ้าแล้ว โคมไฟโรงเตี๊ยมจุดสว่างไสวไปทั่ว หากมองเพียงแสงสว่างของถนนและฟังเสียงพูดคุยหัวเราะอย่างเบิกบานใจที่ดังออกมาจากโรงเตี๊ยมร้านน้ำชาเ่าั้ ก็ยากที่จะรู้ได้ว่าเมืองแห่งนี้มีผู้ลี้ภัยที่อดอยากปากแห้งอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน
ประตูคนรวยมีกลิ่นอาหารลอยโชย คนจนโหยหิวเหน็บหนาวอยู่กลางถนน นี่เป็บทกลอนที่ดีที่สุดในการบรรยายถึงเมืองแห่งนี้
หลังจากที่ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลงแล้ว คนบนถนนเองก็ค่อยๆ ลดหายไป ที่นี่อย่างไรก็เป็เพียงแค่เมืองเล็กๆ เมื่อถึงยามไฮ่*คนที่เดินอยู่บนถนนก็เริ่มเห็นได้น้อยลง ร้านค้าหลายร้านก็ปิดร้านแล้วเช่นกัน
หยางหนิงรอจนถนนไม่ค่อยมีคนเดินผ่านเท่าไรนักแล้วจึงค่อยเดินไปทางตรอกเล็กๆ ที่โหวจื่อพูดถึงตอนก่อนหน้านี้
“นั่นคือตรอกคนตาย” โหวจื่อชี้นิ้วไปที่ทางเข้าตรอกฝั่งตรงข้าม ทางเข้าตรอกอยู่ฝั่งตรงข้ามกับตรอกนี้พอดี ตรงกลางจึงเป็เพียงถนนที่สงบเงียบและหนาวเย็นสายหนึ่งเท่านั้น
หยางหนิงเห็นว่าตรอกนั้นมืดสนิทไม่มีแสงไฟ และทางเข้าตรอกนั้นก็ดูราวกับปากกว้างของสัตว์ประหลาด ลึกจนไม่อาจคาดเดาได้
ตอนที่เขากำลังจะเดินออกจากตรอกนั้น โหวจื่อกลับยื่นมือมาดึงแขนเสื้อของเขาเอาไว้ ทำให้หยางหนิงขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น “มีอะไรงั้นหรือ?”
“พี่ใหญ่เตียว พวกเราต้องเข้าไปจริงๆ หรือ?” แววตาของโหวจื่อมีความหวาดกลัวปรากฏขึ้นจางๆ “มิสู้...มิสู้รออีกสักพักหนึ่ง”
หยางหนิงรู้ดีอยู่แก่ใจว่าโหวจื่อนั้นกำลังหวาดกลัว จึงเอ่ยออกมาเบาๆ “ข้ารู้ตำแหน่งแล้ว เ้ากลับไปที่ศาลเ้าก่อนได้เลย ไม่จำเป็ต้องตามข้าไปหรอก” ให้คนที่ขี้ขลาดเหมือนหนูเช่นนี้ตามไป ไม่เพียงแต่จะช่วยอะไรไม่ได้ เกรงว่าเมื่อถึงเวลายังทำให้เขาซวยไปด้วย ในเมื่อเป็เช่นนี้ มิสู้เดินทางไปด้วยตัวเองเสียจะดีกว่า
“อ๊ะ?” โหวจื่อลูบท้ายทอยของตัวเองเบาๆ อย่างเคอะเขิน “พี่ใหญ่เตียว ข้า...ข้าไม่ใช่ว่าหวาดกลัวนะ เพียงแต่...เพียงแต่เป็ห่วงท่านเท่านั้น”
หยางหนิงคิดในใจว่าหากเชื่อเ้า ข้าก็คงจะปัญญาอ่อนเสียแล้ว ทว่าเขาก็ยังคงเอ่ยออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “มากคนถือเป็เื่ไม่ดี ข้าไปตัวคนเดียวและดูว่าจะพบเสี่ยวเตี๋ยได้ไหม เสี่ยวเตี๋ยช่วยชีวิตของข้าเอาไว้ อย่างไรเสียข้าก็ควรไปเอ่ยขอบคุณกับนาง”
โหวจื่อเอ่ยถามเสียงแ่เบา “จวนของฮวามามาล้อมไปด้วยกำแพงสูง ไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเราจะได้เข้าไปไหม แค่เข้าใกล้ก็ไม่อาจทำได้แล้ว เ้า...เ้าจำได้หรือไม่ว่าในอดีตเ้าไปพบกับเสี่ยวเตี๋ยได้อย่างไร?”
หยางหนิงจำได้ว่า พวกเขาเคยบอกว่าตนมักจะมาพบกับเสี่ยวเตี๋ยที่นี่อยู่บ่อยครั้ง แต่ว่าหยางหนิงในตอนนี้ไม่ใช่เสี่ยวเตียวเอ๋อร์ในอดีต สมองของเขาไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับการพบเสี่ยวเตี๋ยที่นี่จริงๆ
สำหรับความทรงจำของเ้าของร่างนี้ ไม่เพียงแต่น้อยนิด อีกทั้งยังแตกออกเป็ชิ้นส่วนด้วย ราวกับว่าหลังจากที่ิญญาของตนเข้ามายึดร่างนี้เอาไว้แล้ว ก็ได้กลืนกินหรืออาจจะถึงขั้นผลักไสความทรงจำของเ้าของเดิมออกไปจนหมด แต่เพราะว่าเ้าของเดิมนั้นมีจิตใจมุ่งมั่น ถึงได้ยังคงเหลือเศษเสี้ยวของความทรงจำเอาไว้ เมื่อยามจำเป็ก็จะปรากฏขึ้นมา
โหวจื่อยังคงรู้สึกกระวนกระวายใจ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกึกๆ ดังขึ้นบนถนน ทั้งสองคนจึงยื่นศีรษะออกไปจากตรอกเพื่อมองหาต้นตอของเสียง ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องมาในยามค่ำคืน ทำให้เห็นเพียงแค่เงาดำๆ ร่างหนึ่งปรากฏอยู่บนถนนที่เปล่าเปลี่ยวเท่านั้น ไม่นานนักก็สังเกตเห็นได้ว่าสิ่งนั้นคือรถม้าคันหนึ่ง
แม้ว่าถนนเส้นนี้จะปูด้วยแผ่นหินสีเขียว แต่เพราะเป็เมืองเล็กๆ จึงทำให้หินที่ใช้ปูมีความสูงต่ำไม่เท่ากัน เมื่อรถม้าวิ่งผ่านไปก็ทำให้เสียงของล้อที่ทับกับแผ่นหินดังขึ้นดังกึกๆ ออกมาค่อนข้างชัดเจน
“เป็รถม้าหรือ?” โหวจื่อเอ่ยขึ้นเสียงเบา “เมืองแห่งนี้มีรถม้าอยู่ไม่มากนัก น้อยนักที่จะพบเห็นได้ เมื่อยามที่ออกรบ คนเลี้ยงม้าจำนวนมากถูกเกณฑ์แรงงานไป ทำให้ภายในเมืองยากที่จะมีม้าปรากฏขึ้นมา”
รถม้าวิ่งมาอย่างต่อเนื่อง ไม่นานนักก็เข้ามาใกล้แล้ว ทั้งสองคนเอาหลังแนบกับกำแพงของตรอก ภายในตรอกนี้มืดสลัวเพราะกำแพงสองด้านนั้นสูงเป็อย่างมาก ทำให้แสงจันทร์ยากที่จะสาดส่องเข้ามาถึง เพราะฉะนั้นทั้งสองที่ถูกความมืดมิดโอบล้อมก็ยากที่จะถูกคนพบเห็นได้
เมื่อรถม้ามาถึงตรงหน้าทางเข้าตรอก มันก็หยุดลงกะทันหัน หยางหนิงยืมแสงจากดวงจันทร์ทำให้มองเห็นได้ว่ารถม้าคันนั้นค่อนข้างทรุดโทรม แต่ว่าม้าที่ดึงรถอยู่นั้นขายาวและอ้วนท้วมสมบูรณ์ คนคุมรถม้าสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบและสวมหมวกไม้ไผ่เอาไว้ ทำให้ชั่วขณะหนึ่งไม่อาจสังเกตเห็นหน้าคนผู้นั้นได้อย่างชัดเจน
รถม้าหยุดอยู่หน้าทางเข้าตรอก โดยที่มันไม่ได้เดินไปต่อ คนคุมรถม้านั้นยกมือของตนขึ้นมาดึงหมวกไม้ไผ่บนศีรษะลงมา ภายใต้แสงสว่างที่ส่องมา เขาก็สังเกตซ้ายขวาดูอย่างละเอียด
หยางหนิงที่ยืนอยู่อย่างสงบภายในตรอกที่มืดสนิทนั้นก็สำรวจคนขับรถม้าผู้นั้นอย่างละเอียดรอบหนึ่ง เขามีความรู้สึกว่ารูปร่างของคนผู้นั้นดูคุ้นเคยอย่างประหลาด หัวคิ้วของเขาจึงขมวดเข้าหากันน้อยๆ
หลังจากที่คนขับรถม้ามองสังเกตโดยรอบอยู่หลายครั้งแล้ว เขาถึงได้กระตุกบังเหียน ม้างามตัวนั้นก็เดินไปยังทิศทางของตรอกคนตายที่อยู่ทางฝั่งตรงข้าม คนขับรถม้าส่งเสียงร้องเบาๆ ออกมาคำหนึ่ง ก่อนที่รถม้าจะวิ่งเข้าไปด้านในตรอกคนตาย ไม่นานนักก็ถูกความมืดมิดของตรอกคนตายกลืนกินเข้าไป
“บังคับรถม้าให้วิ่งเข้าไปในตรอกคนตาย?” เมื่อโหวจื่อเห็นรถม้าวิ่งเข้าไปในตรอก เขาถึงได้กลับมายืนตัวตรงและเอ่ยออกมาเบาๆ “คนในรถม้านั้นคือผู้ใดกัน? ฮึๆ หรือว่า...หรือว่าจะมาหาฮวามามาเพื่อเริงสำราญ?” สีหน้าของเขามีความร้ายกาจปรากฎขึ้นมาอย่างชัดเจน
หยางหนิงเหลือบมองเขาแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เ้าหมายความว่าคนผู้นั้นเดินทางไปหาฮูหยินฮวา?”
แววตาของโหวจื่อมีประกายระยิบระยับขณะเอ่ยขึ้น “ข้าได้ยินพวกเขาพูดกันว่า แม้ฮวามามาจะมีอายุไม่น้อยแล้ว แต่ว่านางก็ดูแลตัวเองเป็อย่างดี ิัของนางเนียนขาวจนสามารถบีบน้ำออกมาได้ด้วยซ้ำ อีกทั้งยังมีลีลาล้ำเลิศ หากสามารถเปลื้องผ้านางเหมือนถลกหนังแกะขาวแล้วเริงสำราญกับนางตลอดคืน...!” ทันใดนั้นเขาก็หันมาเห็นสีหน้าเ็าของหยางหนิงที่กำลังใช้สายตาประหลาดมองมาที่ตน เขาจึงรีบกลืนคำพูดที่เหลือของตนกลับคืนไป และหัวเราะแห้งๆ ออกมาสองครั้งอย่างเก้อเขิน
หยางหนิงลอบคิดในใจว่าคนผู้นี้คงจะไม่ได้แตะต้องสตรีมาเป็เวลาหลายปีแล้วถึงได้ลามกหื่นกามถึงเพียงนี้ เขาไม่ได้ใส่ใจสิ่งเหล่านี้อีก แต่เอ่ยถามเสียงเบาต่อ “ผู้ที่อยู่ในรถม้าเป็ผู้ใดข้าเองก็ไม่รู้ แต่เ้าดูไม่ออกหรือว่าผู้ที่คุมรถม้าอยู่ด้านหน้านั้นเป็ผู้ใด?”
“ผู้คุมรถม้า?” โหวจื่อเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ “เ้ารู้จัก?”
“สายตาของเ้านี่ควรจะไปฝึกมาให้ดีเสียหน่อย” หยางหนิงเอ่ยออกมาเสียงเบา “เขาเป็ถึงคนที่เ้าเกลียดชังและหวาดกลัวที่สุดเชียวนะ พวกเราเพิ่งจะพบเขาไปเมื่อไม่นานมานี้เอง”
โหวจื่อนิ่งค้างไป จากนั้นจึงอ้าปากของตนกว้าง แววตาปรากฏความตื่นตระหนก “เ้า...เ้าหมายความว่าเขาคือ...?”
“สุนัขบ้าที่เ้าเอ่ยถึงไงเล่า” หยางหนิงยิ้มเย็นออกมาพลางเอ่ยตอบ “หรือก็คือมือปราบเฝิงผู้นั้น!”
โหวจื่อยังไม่ทันได้ดึงสติกลับมา หยางหนิงก็เดินทะลุเข้าไปในตรอกอย่างรวดเร็วราวกับเสือชีตาร์ เขาวิ่งผ่านถนนเส้นยาวนั้นอย่างว่องไว รอจนโหวจื่อดึงสติกลับมาได้แล้วถึงพบว่าหยางหนิงได้หายเข้าไปในความมืดมิดของตรอกคนตายเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
----------
*ยามไฮ่ คือ่เวลา 21.00 – 22.59 น.