หยางหนิงตอนนี้ไม่ได้สนใจว่าผู้สนับสนุนอยู่เื้ัของเซียวอี้ซุ่ยคือผู้ใด เขาสนใจเพียงแต่ว่าเสี่ยวเตี๋ยตอนนี้อยู่ที่ใด
เวลาผ่านถึง่กลางดึก ขณะที่ภายในจวนนั้นเงียบสงบไร้ซุ่มเสียง
เมื่อหยางหนิงก้าวเดินออกมาจากสวน ชั่วขณะหนึ่งเขากลับไม่รู้ว่าเสี่ยวเตี๋ยอยู่ที่ใดกันแน่ ภายในจวนนั้นมีเรือนพักรายเรียงกัน อีกทั้งโครงสร้างยังถือว่าใหญ่โตไม่น้อย เวลานี้แม้กระทั่งว่าเซียวอี้ซุ่ยนั้นอุ้มฮูหยินฮวาไปที่ใดแล้วตัวเขาเองก็ยังไม่รู้
เขาก้าวเท้าและยกมือคลำทางเดินเล็กๆ ไปอย่างแ่เบา ทันใดนั้นก็เหมือนจะได้ยินเสียงดังมาจากทางด้านหน้า ทำให้เขาขยับตัวอย่างว่องไวและไปหลบอยู่ด้านหลังต้นไม้ต้นหนึ่ง เมื่อชะเง้อหน้าออกไปมองผ่านแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมากลับพบชายชุดดำรูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งกำลังฮัมเพลงเดินออกมาจากถนนเส้นเล็กเส้นหนึ่ง
บริเวณเอวของชายชุดดำคนนั้นแขวนดาบเอาไว้เล่มหนึ่ง มือทั้งสองไขว้ไว้ด้านหลังพร้อมกับฮัมเพลงออกมาเบาๆ ก่อนจะเดินผ่านด้านหน้าของหยางหนิงไปโดยระยะห่างไม่ได้ไกลกันมากนัก แล้วจึงค่อยเลี้ยวเข้าไปที่ถนนเส้นเล็กอีกเส้นหนึ่ง
หยางหนิงย่องเบาเหมือนแมวตามหลังไป หลังจากเดินเลี้ยวไปไม่กี่โค้งก็มองเห็นประตูเรือนพักที่อยู่เบื้องหน้าไม่ไกลออกไปนัก ประตูเรือนนั้นกำลังเปิดออกขณะที่ชายชุดดำไม่รู้เลยว่าด้านหลังมีคนกำลังสะกดรอยตามอยู่ เมื่อก้าวเข้าผ่านประตูได้ไม่นาน หยางหนิงก็เห็นว่ามีคนจากด้านในเรือนพักคนหนึ่งออกมาต้อนรับ เขาเองก็สวมเสื้อผ้าสีดำสนิท ก่อนจะเอ่ยปากด่าทอทันที “ให้ตายเถอะ ทำไมผ่านมาครึ่งค่อนวันแล้วถึงเพิ่งมา?”
บุรุษชุดดำที่ถูกหยางหนิงสะกดรอยตามหัวเราะพลางเอ่ยตอบ “รีบร้อนไปทำไม ใช้เวลาอยู่กับพวกสาวน้อยหน้าตางดงาม สุนัขอย่างเ้าจำเป็ต้องมีโทสะขนาดนี้ด้วยหรือ?”
“เช่นนั้นแล้วอย่างไร?” ผู้ที่เดินออกมาจากเรือนพักผู้นั้นเอ่ยตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “มองได้แต่กินไม่ได้ สู้ไม่มองเสียดีกว่า ข้าว่านะเหล่าสิง เ้าควรจะระวังให้มันมากหน่อย ข้าเห็นว่าเ้ามีใจคิดไม่ซื่อ วันนี้ก็มีมาเพิ่มอีกสี่คน เ้ากำลังคิดจะทำอะไรบางอย่างอยู่ใช่หรือไม่? เ้าน่าจะรู้นะว่าหากสาวน้อยเหล่านี้เส้นผมขาดไปเพียงเส้นเดียว หัวของเ้าจะต้องหล่นลงพื้นอย่างแน่นอน”
เหล่าสิงหัวเราะออกมาอย่างดังพร้อมกับตอบว่า “หยุดพูดมากได้แล้ว ข้าแค่กลัวว่าเ้าจะไม่รักษากฎ อดห้ามเ้าน้องน้อยในกางเกงของตัวเองไม่ได้และทำให้ชีวิตตัวเ้าดับสูญไปน่ะสิ” จากนั้นจึงโบกมือขึ้นและเอ่ยต่อ “รีบไสหัวไปได้แล้ว ที่นี่ปล่อยเป็หน้าที่ข้าเอง พรุ่งนี้เช้ารีบมาเร็วหน่อย อย่าให้ข้าต้องรอนาน”
บุรุษชุดดำผู้นั้นบิดตัวอย่างี้เีก่อนจะหายออกมาก่อนจะเอ่ยตอบ “ข้าไปล่ะ ตกดึกก็ระวังหน่อย หากทำให้คนหายไปคนหนึ่ง พวกเราล้วนรับผิดชอบไม่ไหวนะ” จากนั้นเขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเพิ่มเติม แต่กลับเดินโยกเยกมาทางนี้แทน ซึ่งหยางหนิงได้เตรียมตัวหลบไปด้านข้างแต่แรกแล้ว ก่อนจะเห็นว่าบุรุษชุดดำผู้นั้นเดินผ่านเบื้องหน้าของเขาไป จากนั้นเขาก็หันมามองทางประตูเรือนพักอีกครั้งและเห็นว่าเหล่าสิงผู้นั้นได้เดินเข้าไปด้านในแล้ว
เพียงครู่เดียวบริเวณโดยรอบก็กลับมาเงียบสงบ หยางหนิงขมวดหัวคิ้วเข้าหากันพลางลอบคิดในใจว่าเมื่อครู่ที่บุรุษชุดดำเอ่ยว่ามีสาวน้อยหน้าตางดงามกลุ่มหนึ่ง หรือว่าเสี่ยวเตี๋ยจะเป็หนึ่งในนั้น?
ก่อนหน้านี้ก็ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของจวนสกุลฮวามามากแล้ว เวลานี้เมื่อเห็นว่าบุรุษชุดดำมีดาบห้อยอยู่ข้างเอวก็ยิ่งทำให้เขามั่นใจว่าจวนสกุลฮวาจะต้องแอบแฝงเื่ที่น่าสงสัยเอาไว้อย่างแน่นอน
เมื่อหยางหนิงแน่ใจแล้วว่าบริเวณโดยรอบไม่มีผู้คนอยู่อีก เขาจึงค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ประตูทางเข้า เขาชะเง้อมองเข้าไปด้านในก่อนจะเห็นเพียงแค่เรือนพักขนาดกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง โดยทางด้านซ้ายของเรือนมีห้องเล็กๆ เรียงกันอยู่ประมาณสามถึงสี่ห้อง และทางด้านขวามีคอกม้าอยู่คอกหนึ่ง ภายในคอกม้ายังมีม้าพันธุ์ดีอยู่อีกสองตัว
ด้านหน้าของห้องพักเ่าั้มีเก้าอี้วางอยู่ตัวหนึ่ง ด้านหน้าเก้าอี้มีโต๊ะตัวเล็กวางอยู่ตัวหนึ่ง และเวลานี้เหล่าสิงก็กำลังนั่งเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ ขณะที่ขาทั้งสองข้างวางพาดกันอยู่บนโต๊ะตัวเล็ก ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องมาทำให้หยางหนิงมองเห็นว่าบนโต๊ะนั้นยังมีดาบใหญ่ที่ไร้ปลอกพร้อมกับตัวคมดาบที่สะท้อนแสงออกมาชวนแสบตาอยู่เล่มหนึ่ง
เวลานี้ในใจของหยางหนิงก็สามารถเข้าใจได้ในทันที เขามั่นใจได้เลยว่าภายในห้องพักเหล่านี้จะต้องขังสาวงามไว้กลุ่มหนึ่งอย่างแน่นอน และพวกเหล่าสิงทั้งหลายได้พลัดกันเฝ้าเวรยาม ราวกับกำลังเฝ้านักโทษอยู่
จวนสกุลฮวาแห่งนี้แอบซ่อนอะไรไว้มากมายจริงๆ
เขาไม่รู้ว่าเสี่ยวเตี๋ยจะอยู่ในบรรดาหญิงสาวเหล่านี้หรือไม่ แต่หากเสี่ยวเตี๋ยอยู่ในคนเหล่านี้จริงๆ เขาก็ไม่รู้ว่าคืนวันนั้นเสี่ยวเตี๋ยออกมาจากสถานที่แห่งนี้ได้อย่างไร?
หากจะลอบออกไปจากจวนแห่งนี้ ช่องรูด้านหลังสวนดอกไม้นั่นก็น่าจะเป็ช่องโหว่เพียงหนึ่งเดียว
แต่หากจะไปที่ช่องรูนั้น ก่อนอื่นก็ต้องหาทางออกจากคอกม้าแห่งนี้ ดูจากลักษณะแล้วเหมือนว่าภายในสถานที่แห่งนี้จะมีคนเฝ้าเวรตลอดเวลา หากคิดจะลอบออกไปจากที่นี่เกรงว่าจะไม่ใช่เื่ที่ง่ายดาย
หยางหนิงกำลังคิดวางแผนในใจว่าจะเข้าใกล้บ้านพักเ่าั้อย่างไรดี
หากคิดจะเข้าใกล้ห้องพักและตามหาเสี่ยวเตี๋ย ก็จำเป็ต้องผ่านด่านเหล่าสิงผู้นี้ไปให้ได้ก่อน และเวลานี้เหล่าสิงก็กำลังนั่งเฝ้าอยู่ด้านหน้าห้องพักพร้อมอาวุธครบมือ เพียงเขาเข้าไปในเรือนพักแห่งนี้ก็จะต้องถูกอีกฝ่ายพบเข้าอย่างแน่นอน หากฝ่ายตรงข้ามทำเพียงแค่ร้องะโออกมา คนอื่นในจวนจะต้องพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วเป็แน่
ภายในจวนนั้นมีคนมากน้อยเพียงใด หยางหนิงก็ยังไม่รู้แน่ชัดนัก แต่หากทำให้คนในจวนบุกเข้ามา ตัวเขาก็ไม่แน่ว่าจะสามารถรอดออกไปได้
และในขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เขาก็เห็นว่าเหล่าสิงลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินมาทางนี้
หยางหนิงรีบหดตัวไปอยู่ด้านหลังกำแพง ก่อนลอบคิดอยู่ในใจว่าคนผู้นี้คงไม่พบตนเข้าหรอกกระมัง?
แต่รอไปครู่หนึ่งกลับไม่เห็นเหล่าสิงเดินออกมา และเมื่อเขาชะโงกหน้าไปมองกลับพบว่าเหล่าสิงเดินฮัมเพลงกลับไปที่เดิมแล้ว โดยขณะที่เขาเดินก็ผูกกางเกงไปด้วย ทำให้หยางหนิงเข้าใจได้ทันทีว่าคนผู้นี้มาแค่ถ่ายเบาอยู่ข้างกำแพงเท่านั้น
เหล่าสิงผูกผ้ารัดกางเกงของตนให้เรียบร้อย และในขณะที่เขากำลังจะเดินไปทางเก้าอี้นั้น กลับได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะหันหน้ากลับมาพร้อมกับขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นและเอ่ยถาม “ผู้ใดกัน?”
“เหล่าสิง เ้ามาที่นี่หน่อย...!” เสียงนั้นเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ระยะห่างไม่ได้ไกลออกไปนักทว่ากลับฟังดูไม่ชัดเจนเท่าใดนัก ทำให้ครู่หนึ่งเหล่าสิงเองก็ฟังไม่ออกว่าเป็ผู้ใด จึงได้แต่คิดว่าเป็สหายของตน และก็ไม่ได้รู้สึกสงสัยว่าดึกดื่นป่านนี้จะมีคนลักลอบเข้ามาด้านในจวน จึงเดินออกมาจากประตูด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ ทว่าเขาหันซ้ายหันขวากลับไม่พบเงาของผู้ใด ทำให้ต้องขมวดคิ้วแน่นและเอ่ยถามอีกครั้ง “ผู้ใดกัน?”
ทันทีที่เขาเอ่ยจบก็รู้สึกว่าท้ายทอยของตนหนักอึ้งขึ้นมา จากนั้นก็รู้สึกมึนงงเป็อย่างมากและแววตาก็เริ่มพร่าเลือน ก่อนจะล้มลงบนพื้นทันที
หยางหนิงถืออิฐก้อนหนึ่งไว้ในมือก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ “คนรูปร่างใหญ่โตเช่นนี้ทำไมถึงทนแค่อิฐก่อนหนึ่งยังไม่ได้” ก่อนจะโยนอิฐทิ้งไปและดึงขาของเหล่าสิงเข้าไปด้านใน และเพราะว่าร่างกายของเหล่าสิงหนักอึ้งทำให้การดึงตัวเขาสำหรับหยางหนิงแล้วถือว่าเปลืองแรงไม่น้อย
แม้ว่าเขาจะจดจำทักษะการต่อสู้ตอนที่เป็นายทหารได้ อีกทั้งยังสามารถแสดงกระบวนท่าผ่านร่างกายนี้ได้อย่างคล่องแคล่ว ทว่าเพราะร่างกายนี้ผอมบาง อีกทั้งยังมีเรี่ยวแรงไม่มาก ทำให้แม้ิญญาของเขาจะเข้าสิงร่างนี้แล้ว ทว่ากำลังกายกลับไม่สามารถก่อตัวขึ้นเองได้
ไม่ง่ายเลยกว่าจะลากเหล่าสิงให้มาถึงข้างกำแพงด้านในของเรือนพักได้ และเพราะเกรงว่าเ้านี่จะฟื้นขึ้นมากะทันหัน ทำให้เขาเพิ่มหมัดลงที่ท้ายทอยอีกหลายครั้ง คิดว่าไม่น่าจะมีทางฟื้นขึ้นมาได้สักพัก
ทันใดนั้นเขาก็หันไปเห็นว่าตรงเอวของเหล่าสิงมีกุญแจอยู่พวงหนึ่ง โดยพวงเหล็กนั้นห้อยกุญแจอยู่ประมาณห้าหกดอก เขากลอกตาไปรอบหนึ่งก่อนจะเอื้อมมือออกไปดึงกุญแจออกมาถือไว้ในมือ จากนั้นจึงรีบวิ่งไปที่ห้องพักมุมซ้ายของเรือน
ห้องพักมีจำนวนทั้งหมดสี่แถว ด้านในล้วนมืดสนิท หยางหนิงวิ่งไปทางห้องที่อยู่ใกล้กับด้านนอกมากที่สุด ประตูของห้องพักนั้นลงแม่กุญแจเอาไว้ และเมื่อมองลอดผ่านช่องประตูเข้าไปก็เห็นว่าด้านในนั้นมืดสลัวเป็อย่างมาก ข้างในมีของกองอยู่จำนวนมาก แล้วยังเห็นว่าเหมือนจะมีพวกเครื่องดนตรีกลองระฆังวางเอาไว้อีกด้วย ทว่ากลับไม่เห็นคนแม้แต่คนเดียว
หยางหนิงวิ่งไปทางด้านหน้าของห้องพักห้องที่สอง ประตูมีการลงแม่กุญแจเอาไว้เช่นกัน และเมื่อมองลอดผ่านช่องประตูไปครั้งนี้กลับมองเห็นเงาของคนกลุ่มหนึ่งกำลังเบียดเสียดกันอยู่ ทว่ามันกลับเงียบสงบไม่มีผู้ใดเปล่งเสียงอะไรออกมาแม้แต่คนเดียว
และในขณะที่หยางหนิงกำลังจะเอ่ยถาม ทันใดนั้นหูของเขาก็ได้ยินเสียงร่ำไห้ดังขึ้นเบาๆ ก่อนที่เขาจะก้าวเดินอย่างแ่เบาไปทางต้นตอของเสียง เสียงร่ำไห้นั้นดังขึ้นมาจากภายในห้องพักด้านข้างนี้ และเมื่อเดินไปถึงหน้าประตู เสียงนั้นก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น อีกทั้งยังไม่ใช่แค่เสียงร้องของคนเพียงคนเดียว หยางหนิงลอดมองเข้าไปผ่านทางช่องว่างระหว่างประตู ก่อนจะพบว่าด้านในมีคนจำนวนไม่น้อยอยู่กันอย่างเบียดเสียด
“น้องสาว พวกเ้าอย่าร้องไห้กันอีกเลย...!” เหมือนจะได้ยินเสียงที่หวานใสเสียงหนึ่งเอ่ยปลอบประโลมอย่างแ่เบา “ต่อให้พวกเ้าน้ำตาไหลออกมาจนหมดตัวก็ไม่อาจออกไปจากที่แห่งนี้ได้อยู่ดี หากอีกเดี๋ยว...อีกเดี๋ยวพวกเขาได้ยินเข้า พวกเขาจะเอาแส้มาฟาดพวกเ้านะ...!”
“อย่าร้องอีกเลย ในเมื่อมาถึงที่แห่งนี้แล้ว ตอนนี้อย่าคิดที่จะออกไปอีกเลย” ก่อนจะมีเสียงหวานใสที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น “ข้าเข้ามาที่นี่เกือบจะสามเดือนแล้ว ไม่เคยได้ออกจากจวนแห่งนี้เลยแม้แต่ก้าวเดียว ตอนที่พวกเขาพาข้าเข้ามานั้น ก็บอกกับพ่อข้าอย่างดีว่าทุกเดือนจะพาข้าไปพบเขาถึงสองครั้ง แต่ว่า...แต่ว่าตอนนี้ข้าเองก็ไม่รู้ว่าพ่อข้าเป็อย่างไรบ้างแล้ว”
เดิมหญิงสาวผู้นี้กำลังปลอบคนอื่นไม่ให้ร้องไห้ ทว่าหลังจากที่เอ่ยออกมาแล้วตัวนางเองกลับเริ่มสะอึกสะอื้นขึ้นมาเบาๆ
หยางหนิงขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นและไม่มีความลังเลอีกต่อไป เขาหยิบกุญแจออกมาและเดินไปไขแม่กุญแจของประตู แม่กุญแจของประตูสมัยโบราณนี้ต่างจากที่เขารู้จักอยู่ไม่น้อย อีกทั้งกุญแจทั้งห้าก็ไม่รู้ด้วยว่าดอกไหนเป็ของห้องพักแห่งนี้ จึงได้แต่ต้องลองไปทีละดอก เมื่อเสียงกึกกักๆ ดังเข้าไปด้านใน เสียงร้องไห้ก็หยุดลงอย่างรวดเร็ว
รอจนกระทั่งหยางหนิงไขกุญแจออกได้สำเร็จและผลักเข้าไปด้านในนั้น กลับพบว่าคนกลุ่มนั้นล้วนขดตัวกันอยู่ที่มุมกำแพงเป็ที่เรียบร้อยแล้ว เห็นได้ชัดว่าในใจของพวกนางล้วนหวาดกลัวกันเป็อย่างมาก
หลังจากที่หยางหนิงเข้ามาในห้องได้แล้ว เขาก็เอื้อมมือกลับไปปิดประตูลงและเอ่ยถามเสียงเบา “แม่นางเสี่ยวเตี๋ยอยู่ที่แห่งนี้หรือไม่?”
เดิมสาวใช้เหล่านี้คิดว่าชายชุดดำด้านนอกได้ยินเสียงร้องไห้จึงเข้ามาด้านใน แต่เมื่อลอบเห็นว่าผู้ที่เข้ามานั้นเป็ชายหนุ่มรูปร่างผอมบางคนหนึ่ง ทุกคนต่างก็เกิดอาการตกตะลึง ความหวาดกลัวในใจก็มลายหายไปไม่น้อยขณะที่ความสงสัยในใจก็พุ่งสูงขึ้น ก่อนที่สตรีที่ดูมีอายุไม่น้อยนักจะรวบรวมความกล้าและเอ่ยถามออกมา “เ้า...เ้าเป็ผู้ใดกัน?”
“พวกเ้าไม่ต้องกลัว ข้าไม่ใช่คนของจวนนี้” หยางหนิงขยับเข้าไปใกล้เล็กน้อย ขณะที่หญิงสาวเ่าั้ยังมีท่าทางเต็มไปด้วยความระมัดระวังและเบียดตัวเข้าหากันในมุมกำแพง
“เช่นนั้น...เช่นนั้นเ้าลอบเข้ามาจากด้านนอกหรือ?” หญิงสาวเอ่ยขึ้น “แต่ว่าจวนแห่งนี้มีคนเฝ้าเวรยามอย่างหนาแน่น เ้า...เ้าเข้ามาได้อย่างไร?”
“เ้าอย่าเพิ่งถามข้า ข้าถามเ้าก่อน แม่นางเสี่ยวเตี๋ยอยู่ที่นี่หรือไม่? พวกเ้ารู้จักแม่นางเสี่ยวเตี๋ยหรือไม่?” เมื่อหยางหนิงเห็นถึงสถานการณ์ที่พวกหญิงสาวเหล่านี้ต้องเผชิญ ในใจของเขาก็ยิ่งเป็กังวลต่อเสี่ยวเตี๋ยมากขึ้น
เวลานี้เขารู้แล้วว่าเื่ที่น่าสงสัยที่สุดในจวนสกุลฮวาก็คือเื่ที่พวกเขากักขังหญิงสาวเหล่านี้เอาไว้ แต่ตอนนี้เขาก็ยังคงไม่รู้แน่ชัดว่าเหตุใดพวกเขาจะต้องขังหญิงสาวเหล่านี้เอาไว้ในที่แห่งนี้ด้วย
“พี่เสี่ยวเตี๋ยไม่อยู่ที่นี่...!” เสียงดังขึ้นอย่างแ่เบามาจากทางด้านหลัง และเมื่อหยางหนิงหันไปมองก็เห็นสาวน้อยอายุประมาณสิบสามปีคนหนึ่ง ฟังดูจากน้ำเสียงของนางแล้วเห็นได้ชัดว่านางรู้จักเสี่ยวเตี๋ย เขาจึงขยับเข้าไปใกล้มากขึ้นและเอ่ยถาม “เ้ารู้จักเสี่ยวเตี๋ยหรือ?”
สีหน้าของสาวน้อยผู้นั้นเต็มไปดด้วยความหวาดกลัว ทว่านางก็ยังคงพยักหน้าตอบรับ “พี่เสี่ยวเตี๋ย...ข้าเคยพักอยู่กับพี่เสี่ยวเตี๋ย นาง...นางดีกับข้ามาก...!”
เมื่อหยางหนิงได้ยินข่าวของเสี่ยวเตี๋ย เขาก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมเอ่ยถามต่อ “ตอนนี้เสี่ยวเตี๋ยอยู่ที่ใด?”
“ข้า...ข้าไม่รู้...!” สาวน้อยก้มหน้าลง “ข้าไม่ได้พบนางมาหลายวันแล้ว”
“เ้าตามหาเสี่ยวเตี๋ยไปทำไม?” ก่อนที่หญิงสาวผู้มีอายุมากกว่าเล็กน้อยจะเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง “เ้าเป็ใครกันแน่?”
หยางหนิงลังเลไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “ข้าเป็สหายของเสี่ยวเตี๋ย อืม น่าจะ...น่าจะถือได้ว่าเป็พี่ชายของนางนะ!”
“ฮะ?” สาวน้อยที่ก้มหน้าอยู่นั้นรีบเงยหน้าขึ้น ขณะที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความยินดีพร้อมเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่บางเบา “เ้า...เ้าคือพี่ชายคนนั้น?”