“ไม่ใช่ว่าข้าคาดการณ์แม่นยำอันใดหรอก แค่เข้าใจวิธีคิดและการแก้ปัญหาของบิดาดีไปหน่อยเท่านั้นเองหลิวสิ่ง จำได้หรือไม่ว่าคุณชายเสเพลที่ทำร้ายเ้าในหออี๋ชุนคราก่อนคือผู้ใด?” ใครก็ตามที่ติดค้างหนี้แค้นตนเองไว้เหยาโม่หว่านล้วนจำฝังใจ และไม่มีทางปล่อยลอยนวลแม้แต่คนเดียว
“จำได้ขอรับ” หลิวสิ่งผงกศีรษะอย่างหนักแน่น โชคดีที่ตอนนั้นคุณหนูใช้สถานะคุณหนูสามแห่งจวนอัครเสนาบดีข่มขู่เ้าพวกบัดซบนั่นจนหัวหดมิเช่นนั้นตนเองคงชะตาขาดไม่อาจมาอยู่รับใช้ข้างกายคุณหนูได้อีก
“ปล่อยข่าวออกไปว่าโหลวอวี้ซินพบกับเขาก่อนที่จะหายตัวไปอย่างไร้เบาะแส”เหยาโม่หว่านออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“คุณหนูหมายความว่า..?” หลิวสิ่งยังจับต้นชนปลายไม่ถูกมองเหยาโม่หว่านด้วยสีหน้างุนงง
“ไม่สำคัญว่าผู้อื่นจะรู้หรือไม่ แต่ต้องกระพือไปให้ถึงหูของฟูเหรินใหญ่ให้ได้”เหยาโม่หว่านชี้นำประเด็นสำคัญให้ชัดเจนขึ้น
“บ่าวทราบแล้วขอรับ” หลิวสิ่งกระจ่างในบัดดล แต่ขณะที่กำลังจะจากไปกลับถูกรั้งตัวไว้ก่อน
“เ้า...ไปสอบถามสถานการณ์ของซู่ชินหวางมาหรือยัง?”หากสามารถย้อนเวลากลับไปเมื่อยามพบกันคราแรก นางปรารถนาให้คืนนั้นเย่จวินชิงถอดหน้ากากเหล็กที่สวมอำพรางใบหน้าขณะช่วยชีวิตนางจากน้ำมือโจรถ่อยออกไปเสีย เพราะหน้ากากนั้นเดิมทีเป็ของเย่หงอี้กว่าจะล่วงรู้ความจริงว่าบุรุษที่เคยช่วยเหลือตนเองไว้แท้จริงแล้วคือผู้ใด นางก็กลายเป็ชายาของผู้อื่นไปแล้ว
“เรียนคุณหนู เื่เกี่ยวกับซู่ชินหวางไม่จำเป็ต้องไปสืบเสาะเป็การพิเศษหรอกขอรับบัดนี้ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างลือกันว่านับั้แ่ซู่ชินหวางพ่ายศึกกลับสู่ราชสำนัก ก็ยอมรับคำครหาและการถูกโจมตีไม่ได้ปล่อยเนื้อปล่อยตัวสำมะเลเทเมาอยู่แต่ในจวน เรียกแม่นางในหออี๋เซียงไปอยู่เป็เพื่อนสนทนาร่ำสุราไม่เว้นแต่ละวันฝ่าาทรงเห็นแก่คุณงามความดีในอดีตที่เคยทำคุณแก่บ้านเมือง ไม่เพียงไม่เอาโทษยังประทานรางวัลให้อีกด้วยทว่าซู่ชินหวางสนพระทัยแต่สุราชั้นเลิศ ดังนั้นฝ่าาจึงให้คนส่งสุราที่ดีที่สุดจากวังหลวงไปให้ถึงจวนทุกวัน”หลิวสิ่งถ่ายทอดเื่ที่ตนเองได้ยินมาทั้งหมด
“กลอุบายล้ำลึกแยบยลยิ่ง สมกับเป็แผนการของบุรุษมากเล่ห์ผู้นั้นโดยแท้”เหยาโม่หว่านรำพึงกับตนเองเบา ๆ ประกายคมกล้าวาววับอยู่ในก้นบึ้งดวงเนตร แต่ที่นางไม่เข้าใจคือเมื่อเย่จวินชิงควบคุมอำนาจทางการทหารส่วนใหญ่ไฉนจึงตกต่ำถึงขนาดนี้ได้ ตอนที่ลงนามในหนังสือรับสารภาพ นอกจากเพื่อจ้งเอ๋อร์แล้วตนเองยังใคร่ครวญเผื่อมาถึงเื่นี้ แต่ไม่ว่าอย่างไร นางก็นำความเดือดร้อนมาให้เขาอยู่ดีด้วยน้ำใจและเหตุผลตนเองควรจะไปดูให้เห็นกับตาสักครา
...
ที่หน้าประตูทางเข้าหออี๋เซียง แม่เล้าแต่งหน้าหนาเตอะรับตั๋วแลกเงินจากมือของทิงเยว่ก่อนจูงเหยาโม่หว่านซึ่งแต่งเนื้อแต่งตัวเป็นางคณิกาขึ้นเกี้ยวด้วยสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง
“ขึ้นเกี้ยว!” แม่เล้าร้องะโสั่งการ เกี้ยวเล็กเจ็ดหลังที่ตั้งอยู่ด้านหน้าถูกหามขึ้นพร้อมกันมุ่งหน้าสู่ตำหนักของซู่ชินหวาง ระหว่างทางผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาต่างเหลียวมาดูกันเป็แถวชี้ชวนซุบซิบนินทาเย่จวินชิงอย่างคะนองปากว่าทำตัวเหลวแหลก ไม่นำพาต่อราชกิจบ้านเมืองแต่ก็มีบางส่วนที่นึกเสียดายและไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดวีรบุรุษแห่งยุคเช่นเขาถึงต้องทำตัวตกต่ำเพียงเพราะปราชัยในศึกเล็ก ๆ ไยจึงล้มแล้วลุกขึ้นมาอีกไม่ได้ ซ้ำยังปล่อยเนื้อปล่อยตัวจ่อมจมอยู่กับความเสียใจอยู่เช่นนี้
เหยาโม่หว่านซึ่งอยู่ในเกี้ยวได้ยินเสียงซุบซิบจากภายนอกแต่ไม่เก็บมาใส่ใจ ชาวบ้านทั่วไปตามร้านตลาดล้วนคล้อยตามลมปากผู้อื่น ใครว่าอย่างไรก็ว่าไปตามกันหาได้รู้ซึ้งถึงจิตใจของมนุษย์บางคนซึ่งโเี้อำมหิตยิ่งกว่าพยัคฆ์ร้าย หากไปคิดเล็กคิดน้อยกับคนเหล่านี้เกรงว่าต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตคงอธิบายให้พวกเขาเข้าใจได้ไม่หมด
ใต้หล้านี้คงไม่มีผู้ใดเข้าใจเย่จวินชิงมากไปกว่านางอีกแล้วเขาเป็เหมือนหนามยอกอกของเย่หงอี้ ตราบใดที่ไม่ถูกกำจัด บุรุษผู้นั้นก็ไม่มีวันนอนหลับอย่างสบายใจที่มีชีวิตอยู่รอดมาได้ทุกวันนี้ หาใช่เพราะเย่หงอี้เห็นแก่ความเป็พี่น้อง แต่เป็เพราะไม่อาจทานแรงต้านของเหล่าขุนศึกในราชสำนักจึงยังไม่กล้าลงมือถึงขั้นเอาชีวิต ครั้นแล้วเลยคิดใช้อุบายสร้างความอัปยศทำลายภาพลักษณ์ดีงามของเขาในหัวใจเหล่าทหารหาญเสีย จวบจนวันที่เย่จวินชิงถูกผู้คนลืมเลือนการกำจัดในภายหลังย่อมง่ายดาย
“วางเกี้ยว” เสียงแม่เล้าดังขึ้นอีกครั้ง เหยาโม่หว่านรู้สึกว่าเกี้ยวเอียงไปวูบหนึ่งก่อนวางลงสู่พื้น ยามนี้นางอยากเลิกม่านขึ้นแล้วออกไปใจจะขาด แต่กลับเห็นนางคณิกาที่มาพร้อมกันอีกหกคนไปยืนห้อมล้อมอยู่หน้าตำหนักเรียบร้อยแล้วเมื่อเทียบกับพวกนาง ตนเองยังเชื่องช้ากว่ามากนัก
“พวกเ้าล้วนมาจากสถานที่ชั้นต่ำ ดังนั้นเมื่อมาถึงที่นี่ต้องรู้จักสถานะตนวางตัวให้สำรวมอย่าแสดงลวดลายอันใด หรือเรียกร้องความสนใจโดยไม่จำเป็ มิเช่นนั้นอย่าหาว่าน้ากุ้ยไม่เตือนเข้าใจหรือไม่”
เหยาโม่หว่านฟังเข้าใจความหมาย มุมปากกระดกยิ้มน้อยๆ ดูท่าการเรียกนางคณิกามาที่นี่ทุกวัน คงเป็หนึ่งในอุบายของเย่หงอี้
“น้ากุ้ยวางใจเถิด พวกเราพี่น้องขอแค่ได้ชมโฉมของบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฉู่ให้เป็ขวัญตาอยู่ห่างๆ สักครั้งก็พอแล้ว หากหวางเยี่ย [1] ไม่โปรด พวกเราก็ไม่คิดเข้าไปเสนอหน้าหรอกเ้าค่ะ”
“นั่นสิเ้าคะ น้ากุ้ยกลับไปอย่างวางใจได้เลย ยามโหย่ว[2] ค่อยมารับพวกเราก็พอแล้วล่ะ”
เพลานี้ เริ่มมีสตรีบางคนอดรนทนไม่ได้เข้าไปเคาะประตูเบาๆ เหยาโม่หว่านเคลื่อนตัวไปหลบด้านหลังสุดอย่างเงียบเชียบ นึกสะท้อนใจอยู่ลึก ๆ์เบื้องบนช่างเมตตาต่อเย่จวินชิงยิ่งนัก ไม่เพียงแต่ให้เกิดมาเป็วีรบุรุษผู้เก่งกล้าสามารถในสนามรบยังประทานรูปโฉมอันงดงามสลักเสลาเป็หนึ่งในแผ่นดินให้แก่เขาอีกด้วย
ขณะที่เหยาโม่หว่านกำลังครุ่นคิด ประตูตำหนักก็เปิดออกมา
...
เชิงอรรถ
[1] หวางเยี่ย เป็คำเรียกองค์ชายที่มีบรรดาศักดิ์เป็หวาง
[2] ยามโหย่ว หรือยามระกา หมายถึง่เวลาระหว่าง17.00-18.59 น.