“เมื่อครู่ข้าเกือบเชื่อแล้ว ว่าเ้าเป็ห่วงหยางเซียวจริง แต่ข้าก็ลืมไปว่า เ้าเองก็เคยรังแกตบตีหยางเซียวไม่ต่างจากที่ทำกับหลิวเหมย แท้จริงแล้วเ้าเป็คนยังไงกันแน่”
“พระองค์จะมองหม่อมฉันเป็ชั่วช้าอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับพระองค์ แต่เื่ของหยางเซียว หม่อมฉันจะสืบจนกว่าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง หม่อมฉันไม่มีวันยอมแพ้ จนกว่าจะสืบหาความจริงสำเร็จ!” นางพูดจบก็เบี่ยงตัวเดินจากไป ท่ามกลางสายตาสัดส่ายไปมาของต้าซีเหริน
ขณะที่จางเหม่ยนั่งเขียนบางอย่างลงในบันทึก ร่างของเยว่หลิวเหมยก็เดินเข้ามาพร้อมถาดอาหาร
“อาหารเสร็จแล้วเพคะ” พระชายาไม่พูดสิ่งใด นางหันมายังอาหารด้านหน้า พลันตักขึ้นชิม แล้วเลื่อนสายตามายังหลิวเหมยด้วยสายตาราบเรียบ
“ไปทำมาใหม่” นางเอ่ยขึ้น ก่อนหลิวเหมยจะขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ
“ทำใหม่?”
“ข้าไม่ชอบกินรสชาตินี้”
“แต่ท่านก็กินรสชาตินี้มาตลอด รสชาติที่ข้าทำไม่ได้แตกต่างจากจวนสกุลเยว่!” หลิวเหมยยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนสายตาของเ็าของจางเหม่ยจะจับจ้องมองอีกฝ่ายแน่นิ่ง
“ตอนนี้ข้าอยู่จวนสกุลเยว่งั้นรึ? ตอนนี้ข้าเป็ถึงพระชายาขององค์ชายสาม ข้าบอกเ้าว่าอาหารจานนี้ไม่อร่อย นั่นหมายความว่าเ้าต้องทำมาให้ข้าใหม่ เ้าไม่ได้มีหน้าที่มายอกย้อนข้า” นางพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะเลื่อนถาดอาหารคืนให้กับเยว่หลิวเหมย
“พี่ใหญ่ ข้า...” ยังไม่ทันที่หลิวเหมยพูดจบ จางเหม่ยก็เอ่ยขึ้น
“ข้าคือพระชายา เ้ากับข้าอยู่คนละชั้นกัน” หลิวเหมยชะงักนิ่ง พลันกำมือแน่นด้วยความคับแค้นใจ ก่อนจางเหม่ยจะพูดขึ้น
“เ้ากับเยว่ฮูหยิน ชอบนักไม่ใช่เหรอ เื่การแบ่งชนชั้น”
“เยว่ฮูหยินที่พระองค์เอ่ยนั้น ก็เป็มารดาแท้ ๆ ของพระองค์นะเพคะ” จางเหม่ยยกยิ้มมุมปาก แล้วตวัดสายตาขึ้นมองอีกฝ่าย
“แล้วยังไง?”
“ท่าน!” หลิวเหมยถึงกับพูดอะไรไม่ออก ในอดีตความร้ายกาจของจางเหม่ยว่ามีมากแล้ว แต่เมื่อนางได้ขึ้นเป็ใหญ่ ก็อาจหาญมองข้ามหัวผู้อื่นได้ แม้กระทั่งมารดาของตัวเอง
“เ้ากับเยว่ฮูหยิน มักจะใช้อำนาจข่มขู่ ลงโทษหยางเซียว เพราะเห็นว่านางเป็เพียงบุตรสาวของอนุ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าวันสุดท้ายที่นางหายไป เกิดอะไรขึ้นในจวนสกุลเยว่” หลิวเหมยได้ยินดังนั้นจึงยกยิ้ม
“พระองค์อย่าลืม ว่าพระองค์เองก็เคยรังแกนางไม่ต่างจากข้า แต่วันนี้พระองค์กลับพูดเอาดีเข้าตัว ทำเช่นนี้ไม่น่าละอายไปหน่อยเหรอเพคะ” จางเหม่ยได้ยินดังนั้นจึงผลักถาดอาหารลงพื้นเสียงดัง จนนางกำนัลที่อยู่ด้านนอกพากันกรูเข้ามา
“พระชายาเพคะ เกิดอันใดขึ้นเพคะ” ซูเยว่และนางกำนัลอีกจำนวนหนึ่ง ตรงดิ่งเข้ามาหาพระชายาด้วยความเป็ห่วง ก่อนจางเหม่ยจะสบสายตาอีกฝ่ายแน่นิ่ง แล้วพูดขึ้น
“เยว่หลิวเหมยซุ่มซ่าม ทำถาดอาหารของข้าหกจนหมด” สิ้นคำพูดของพระชายา หลิวเหมยถึงกับพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยืนมองอีกฝ่ายเงียบ ๆ ก่อนวรกายของพระชายาจะค่อย ๆ ก้าวเดินเข้ามาหา แล้วพูดขึ้น
“เ้าจงไปทำอาหารให้ข้าใหม่”
“แต่ว่าตอนนี้ ดึกมากแล้วเพคะ” เยว่หลิวเหมยตอบพร้อมดวงตาสั่นไหว
“ดึกแล้วยังไง เ้ามีสิทธิ์เลือกด้วยงั้นรึ ข้าบอกว่าให้ไปทำมาใหม่ ก็ไปทำตามคำสั่ง” พูดจบ จางเหม่ยก็หันไปยังซูเยว่ แล้วเอ่ยขึ้น
“พวกเ้า ไปเฝ้าดูเยว่หลิวเหมย ทำอาหารให้ข้า หากนางทำไม่เสร็จ คืนนี้ก็ไม่ต้องนอน”
“เพคะ” นางกำนัลทั้งหมดน้อมรับคำสั่ง ก่อนร่างของเยว่หลิวเหมยจะเดินจากไป พร้อมความคับแค้นใจอย่างถึงที่สุด
‘จางเหม่ย เ้ารนหาที่โดยแท้’ เยว่หลิวเหมยจ้ำอ้าวตามหลังนางกำนัลพวกนั้นไป พร้อมสายตาแห่งความเคียดแค้นก่อเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ก่อนนางจะเลื่อนสายตามองไปยังห้องขององค์ชายสามที่ยังคงจุดไฟให้ความสว่างราง ๆ
‘แม่นางหลิวเหมย รีบไปเถอะเ้าค่ะ” เสียงของนางกำนัลทำให้เยว่หลิวเหมยสลัดความคิดทุกอย่าง แล้วเดินตามนางกำนัลกลุ่มนั้นไป
หลังจากนั้นหยางเซียว ในร่างของจางเหม่ยครุ่นคิดทั้งคืนเกี่ยวกับเื่ราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เถ้าแก่ร้านขายผ้ายืนยันว่ากลุ่มัขาวเป็กลุ่มที่ช่วยเหลือผู้คนลับหลัง หากเป็เื่จริง นั่นหมายความว่าสกุลเยว่กำลังรับความดีความชอบจากผลงานผู้อื่น
‘หรือเพราะเหตุนี้ จึงทำให้องค์ชายสามไม่ชอบสกุลเยว่’ นางขบคิดพร้อมพลิกกายไปมา ก่อนจะลุกขึ้นนั่งคู้เข่าเข้าหาตัวแล้วทบทวนบางอยาง
‘วันนี้เขาอยู่ในสถานที่ที่ข้าถูกฆ่าตาย หากเขามีส่วนเกี่ยวข้อง เขาเองก็จะต้องสงสัยในการกระทำของข้าเช่นกัน ข้าจะทำอย่างไรต่อจากนี้ หากข้ามัวแต่ระวังตัว จะสืบหาความจริงได้อย่างไร’ หญิงสาวสัดส่ายสายตาไปมาพร้อมความคิด ก่อนจะถอนหายใจแล้วทบทวนทุกอย่างด้วยความรอบคอบ
‘การสืบที่ง่ายที่สุด ก็คือการสืบจากตัวเขา ใช่แล้วล่ะ!’
หลังจากนั้นจางเหม่ยพยายามสอดส่องการกระทำของเขาห่าง ๆ ไม่ว่ายามหลับหรือตื่น นางจะวนเวียนแอบมองเขาเป็ระยะ เมื่อใดที่เขาจับจ้องมองมา จางเหม่ยจึงรีบหลบสายตาแล้วเลี่ยงไปทำอย่างอื่น
จนกระทั่งเย็นวันหนึ่ง จางเหม่ยแอบเห็นองค์ชายสามเปลี่ยนชุดชาวบ้านธรรมดาสามัญ ทั้งยังทำตัวลึกลับน่าสงสัย นางจึงตัดสินใจ แอบติดตามองค์ชายสามออกไปนอกวังไปอย่างเงียบ ๆ ทุกย่างก้าวพยายามทิ้งห่างจากเขา จนเดินมายังหุบเขาสูงชัน
‘หุบเขาหิมะ หุบเขานี้ว่ากันว่ามีหิมะและน้ำแข็งปกคลุมยอดตลอดทั้งปี แม้แต่สัตว์น้อยใหญ่ก็ยังเลี่ยงไปอยู่อาศัยที่อื่น เหตุใดองค์ชายสามจึงมาที่นี่’ นางขบคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินตามหลังต้าเหรินซีไปเรื่อย ๆ ไม่ลดละ จนกระทั่งรู้สึกเหนื่อยหอบจนหยุดพัก ทว่าร่างขององค์ชายสามทิ้งห่างออกไปจนเกือบตามไม่ทัน นางตัดสินใจใช้แรงทั้งหมด เดินตามต้าเหรินซีขึ้นไปจบเกือบสุดบนยอดเขา
‘หนาวจัง” ด้วยอากาศ้า ที่หนาวเย็นทำให้นางลูบตัวไปมาเพื่อคลายความหนาว แล้วติดตามองค์ชายสามไปเรื่อย ๆ ก่อนหญิงสาวจะหยุดนิ่งหยุดกับที่ เมื่อเห็นถ้ำขนาดใหญ่อยู่ด้านหน้า พร้อมองค์ชายสามเดินไปยังหน้าถ้ำ ที่มีชายฉกรรจ์เฝ้าอยู่สองคน จางเหม่ยรีบหลบหลังต้นไม้ในทันที แล้วค่อย ๆ แอบมอง ก่อนจะเห็นชายสองคนที่เฝ้าหน้าถ้ำแยกย้ายออกไปออกไปคนละทาง
หยางเซียวในร่างจางเหม่ย ทอดสายตามองตามองค์ชายสาม ที่เดินหายลับเข้าไปในถ้ำด้วยดวงตาสั่นไหว ก่อนจะสังเกตบริเวณรอบ ๆ พบว่าไม่มีใคร นางจึงรีบเดินเข้าไปในถ้ำทันทีไม่รอช้า เพียงแค่ก้าวเท้าเข้าไปเท่านั้น ความหนาวเหน็บก็เพิ่มขึ้นจนนางต้องหดตัวลงแล้วใช้มือถูแขนไปมาคลายความหนาวเหน็บ ก่อนจะกัดฟัน แล้วเดินลึกเข้าไป
ไม่นานนักจางเหม่ยก็เดินมายังจุดลึกสุดของถ้ำ เห็นโลงศพที่ทำจากน้ำแข็งตั้งเด่นตระหง่านอยู่ พร้อมภาพวาดของหยางเซียวตั้งอยู่ด้านหน้า ป้ายเคารพที่ถูกแกะสลักขึ้นอย่างประณีต สองเท้าเล็กค่อย ๆ ก้าวเข้าไปคล้ายกับกำลังถูกดึงดูด สายตาสั่นไหวทอดมองทุกอย่างด้วยความเ็ป
‘ที่แท้ ศพของข้าก็ถูกเขานำมาไว้ที่นี่งั้นเหรอ’ หยางเซียวมองการจัดวางทุกอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะค่อย ๆ หันไปยังโลงศพที่ถูกแง้มอยู่ นางค่อย ๆ เดินเข้าไปพร้อมเปิดออก ก่อนจะพบศพของนางถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี น้ำตาค่อย ๆ เอ่อขึ้นพลันมองร่างของตัวเองด้วยความเ็ป