ลานด้านนอกตอนนี้มีความรื่นเริงและมีชีวิตชีวา อีกทั้งยังมีเสียงร้องเพลงและการแสดงออกมาแ่เบาให้พอได้ยินบ้าง ที่ตรอกซอยกับูเาหินประดิษฐ์ก็ยังคงมีคนใช้เดินผ่านไปผ่านมาอย่างรีบเร่ง
ฉินหยีหนิงเกรงว่าจะต้องประจันหน้ากับแขกผู้มีเกียรติของฉินหวยหยวน ดังนั้นนางจึงใช้เส้นทางอันเงียบสงบเดินผ่านประตูจันทราและเลี้ยวที่หัวมุมไปยังสถานที่ที่หลิ่วหยาได้บอกไว้เมื่อสักครู่
ที่แห่งนั้นมักจะถูกใช้โดยแขกของบ้านส่วนนอกในวันธรรมดา อย่างไรก็ตามเพราะที่ทางคับแคบและที่ตั้งก็ไกลด้วย เห็นได้ชัดว่าคนที่นางจะไปพบนั้นมีสถานะที่ไม่สูงมาก
ฉินหยีหนิงเข้าไปในลานเล็กๆ และเห็นชายหนุ่มร่างสูงผอมยืนหันหลังให้ตนอยู่ เขาสวมเสื้อคลุมสีขาวหิมะมีขนสุนัขจิ้งจอกสีขาวอยู่บนไหล่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยยิ่ง เสี่ยวซือที่อยู่ข้างๆ อายุราวสิบสามหรือสิบสี่ปี ครั้นพอเห็นนางแล้ว ฝ่ายนั้นก็รีบคำนับ
ชายหนุ่มหันหลังกลับมา ที่แท้เป็ชายหนุ่มท่านนั้น ผู้ที่ฉินหยีหนิงเคยเจอที่จวนท่านอ๋องหนิง
นางมีความรู้สึกตกตะลึงอยู่หลายส่วน
ตามที่นางได้คาดเดาเอาไว้ ท่านนี้น่าจะเป็บุตรชายของท่านอ๋องหนิง ผู้ที่เคยถูกยกให้เป็โอรสของฮ่องเต้
นึกไม่ถึงว่าท่านอ๋องหนิงส่งภาพและส่งข่าวนั้นต้องให้เขาเป็คนทำให้หรือ
ชายท่านนี้มีสถานะสูงส่ง จะให้เขามาอยู่ในเรือนหลังเล็กและไกลโพ้นเช่นนี้ได้อย่างไร?
“นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเป็ท่าน” ฉินหยีหนิงย่อเข่าคำนับ “บ่าวช่างสะเพร่าจริงๆ นึกไม่ถึงว่าจะลำบากท่านให้มารอที่นี่ ข้าจะสั่งพวกเขาให้เตรียมห้องโถงหลักให้ท่านนะเ้าคะ”
ครั้นชายหนุ่มได้ยินกลับหัวเราะเบาๆ หน้าผากซึ่งเคยมีรอยย่นแห่งความโศกเศร้า ยามนั้นมีความผ่อนคลายมากยิ่งขึ้นแล้ว สายตาสดใสเป็ประกายกำลังจ้องมองฉินหยีหนิง น้ำเสียงอ่อนโยนนุ่มนวลมากอีกด้วย
“แม่นางอย่าคิดมากเลย เป็ข้าเองที่ให้พวกเขาพาข้ามาที่ไกลโพ้นเช่นนี้ รวมทั้ง อีกสามวันข้างหน้าก็เป็งานของข้าแล้ว วันนี้ไท่ซือจัดเลี้ยงขอบคุณแขก คนที่รู้จักเยอะเกินไป หากพวกเขาเห็นว่าข้ามาที่นี่วันนี้จะไม่ดีเสียเปล่าๆ”
อะไรคือ ‘อีกสามวันข้างหน้าก็เป็งานของข้า’?
ฉินหยีหนิงนึกถึงคำพูดที่ล่าวไท่จุนเคยพูดไว้ก่อนนี้ว่า องค์ชายรัชทายาทจะมาเยือนที่จวนเพื่อรับเป็ศิษย์พระอาจารย์อีกสามวันข้างหน้า
ฉินหยีหนิงใ คุกเข่าและคำนับอย่างเป็ทางการ “ที่แท้ก็เป็องค์ชายรัชทายาท หม่อมฉันสะเพร่าเองที่มาเจอฝ่าาเช่นนี้ ได้โปรดยกโทษให้หม่อมฉันด้วยนะเพคะ”
ชิวหลู่เมื่อได้ยินว่าท่านนี้เป็องค์ชายรัชทายาท ก็ใมือเย็นไปแล้ว เสียงเข่ากระแทกพื้นดังตุบ
“ตอนที่เ้ากับข้ารู้จักกันก็ไม่ได้ถือสาเื่สถานะของเราทั้งสองนี่ ทำไมหรือ ตอนนี้ได้ตื่นเต้นแล้วหรือ? ข้ามีนามว่ายวี้ฉือเยี่ยน คำตามตารางคือ ชิงเยี่ยน แม่นางคิดเสียว่าเป็เพื่อนที่รู้จักกัน หรือไม่ก็ถือว่ารู้จักกับลูกศิษย์ของท่านพ่อของแม่นางก็ได้” ยวี้ฉือเยี่ยนเอื้อมมือออกไป
“หม่อมฉันไม่กล้าเพคะ” ฉินหยีหนิงลุกขึ้นยืน จากนั้นก้าวถอยห่างออกไปสองก้าวอย่างสุภาพและเอ่ยขึ้น “ก่อนหน้านี้คาดเดาสถานะของท่านผิดพลาดไป หากคำพูดมีความละเลยประการใด ก็ขอได้โปรดให้อภัยด้วยนะเพคะ”
“เอ๋? เ้าเดาว่าข้าเป็ใครหรือ?” เห็นได้ชัดว่ายวี้ฉือเยี่ยนจับใจความสำคัญกับสิ่งที่ฉินหยีหนิง้าสื่อออกมานั้นไม่เหมือนกัน
ฉินหยีหนิงก้มศีรษะและเอ่ยขึ้น “ก็คิดว่าท่านเป็โอรสที่ท่านอ๋องหนิงมอบให้ฮ่องเต้ท่านนั้นเพคะ”
ยวี้ฉือเยี่ยนหัวเราะเสียงเบา “เหตุใดถึงได้คิดว่าข้าเป็ท่านนั้นล่ะ? พวกเราสองคนไม่มีความเหมือนกันเลยนะ อีกอย่างเขามีอายุมากกว่าข้า”
ฉินหยีหนิงตอบกลับด้วยความเคารพ “คาดเดาจากการพูดการปฏิบัติของท่าน การเรียกท่านอ๋องหนิงและการแสดงออกของท่านในจวนของท่านอ๋องหนิง หม่อมฉันเพียงแค่นึกไม่ถึงว่าท่านจะเป็องค์ชายรัชทายาท อีกทั้งยังแสดงความคิดเห็นมั่วๆ ต่อภาพวาดของท่าน หม่อมฉันรู้สึกอับอายจริงๆ เพคะ”
“ไม่ๆ ที่เ้าได้พูดเมื่อวันนั้น สำหรับข้าแล้วถือว่ามีประโยชน์มาก บอกได้เลยว่าเป็การปลูกฝัง ทำให้ข้าเข้าใจในภาพวาดได้ดีขึ้น ไม่ใช่เพียงทักษะการวาดภาพที่ชำนาญอย่างเดียวเท่านั้น แต่ว่าจะต้องเข้าใจโลกนี้ด้วย สามารถเอาสิ่งที่อยู่ในภาพมาสะท้อนความเป็จริงได้ ถึงจะให้ภาพวาดนั้นดูมีจิติญญา” เมื่อได้เอ่ยถึงภาพวาด จึงเป็ผลให้ยวี้ฉือเยี่ยนพูดไม่หยุดปาก ดวงตาทั้งสองของเขาส่องแสงเป็ประกาย “หากข้าไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท อยากจะไปดูให้ทั่วทุกสารทิศจริงๆ ไปดูหุบเขาแม่น้ำพันลี้ด้วยตัวเอง คิดว่าจะต้องวาดภาพที่มีจิติญญาออกมาได้”
เมื่อฉินหยีหนิงได้ยินเช่นนั้นก็หลุบตาลง ปิดซ่อนอารมณ์ภายในดวงตา
ดูเหมือนว่าองค์ชายรัชทายาทจะหลงใหลในงานอักษรและวาดภาพอย่างแท้จริง
ต้าเยี่ยนกำลังเผชิญมรสุมอยู่ ทว่าองค์ชายรัชทายาทผู้มีสถานะเป็ผู้สืบทอดบัลลังก์ กลับทำตัวสบายๆ เช่นนี้ ดีหรือไม่ดีกันนะ?
“ฝ่าา เหตุใดท่านถึงได้มอบภาพอาชาแปดตัวให้หม่อมฉันละเพคะ?” ฉินหยีหนิงลากการสนทนากลับมาที่หัวข้อหลัก
ยวี้ฉือเยี่ยนมองกลับไปและบอกด้วยรอยยิ้ม “อ้อ ภาพวาดภาพนั้นวางไว้ที่จวนท่านอ๋องหนิงไม่เหมาะสม มอบให้แม่นางเก็บมันไว้ ไม่น่าจะเป็อะไร อีกอย่างถือว่าเป็การขอบคุณแม่นางที่ทำให้เื่ในครั้งนี้ประสบความสำเร็จ”
เมื่อฉินหยีหนิงได้ฟังอย่างนั้นก็เข้าใจแล้ว
ในภาพวาดนั้น ผู้นำไม่ได้เป็ผู้นำซึ่งสามารถตีความได้ว่ามีความหมายหลายอย่าง
อาจจะกล่าวได้ว่าเป็การสะท้อนตำแหน่งของฮ่องเต้ที่เป็ผู้นำ แต่ไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเอง
และยังสามารถตีความได้ว่า ‘ผู้นำอาชา’ ที่มีบทบาทเป็ผู้นำแต่กลับอยู่เื้ั
ถ้าภาพวาดนี้แขวนอยู่ในจวนของบุคคลที่มีคุณสมบัติในการสืบทอดบัลลังก์ จะทำให้คนครหาเอาได้ว่า ใจคิดจะแย่งบัลลังก์ อีกทั้งยังสามารถคิดได้ว่าเขาไม่มีความจงรักภักดีอีกดีด้วย แขวนอยู่ในห้องของผู้หญิงตัวเล็กๆ กลับไม่มีใครคิดมากเกินไป
ส่วนเื่ที่บอกว่าขอบคุณเพราะประสบความสำเร็จนั้น ก็คงจะเป็เพราะว่าท่านอ๋องหนิงรวบรวมขุนนางถอดถอนตำแหน่งฉาวไท่ซือได้สำเร็จ
แต่ว่าภาพวาดนี้ฉินหยีหนิงไม่อยากได้มัน
“องค์ชายมอบภาพวาดนี้ ความจริงแล้วไม่ควรปฏิเสธ แต่ว่าชายหญิงมีความแตกต่าง ก็ขอองค์ชายได้โปรดรับคืนด้วยนะเพคะ” เมื่อพูดจบแล้วฉินหยีหนิงให้ชิวหลู่นำภาพวาดมา
ยวี้ฉือเยี่ยนได้ยินกลับขมวดคิ้วแน่น บ่าวที่ติดตามมาด้วยสองคนข้างๆ กักชิวหลู่ให้หยุด
“แม่นางเหตุใดถึงได้แบ่งแยกความห่างไกลกับข้าเช่นนี้? ถึงแม่นางจะไม่ทำอะไรเลย แต่ท่านพ่อของเ้าก็ได้เป็ไท่ซือแล้ว และได้ผูกติดวังตงของข้าไว้ด้วยกันแล้ว ไม่แน่ว่าแม้แต่อนาคตของแม่นางเองอาจจะผูกติดกับวังตงก็เป็ได้ ตอนนี้ปฏิเสธ จะมีความหมายว่าอย่างไรหรือ?”
ยวี้ฉือเยี่ยนกำลังมองนางด้วยั์ตาร้อนแรง ประกายภายในเต็มไปด้วยความหมายลึกซึ้ง มิหนำซ้ำผิวพรรณขาวผ่องขององค์ชายก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็สีแดงอย่างช้าๆ และแม้แต่ลำคอที่อยู่ถัดจากขนสุนัขจิ้งจอกบนไหล่นั้นก็เป็สีแดงแล้ว
ยวี้ฉือเยี่ยนมองประสานกับสายตาสุกใสกระจ่างประดุจธารน้ำ ทว่ามองได้เพียงครู่เดียว ใบหน้ากลับร้อนผ่าว ใจเต้นแรงจนต้องปิดตาหนี และกลบเกลื่อนด้วยการกระแอมไอสองครั้ง จากนั้นก็เอ่ยขึ้น “แม่นางเก็บภาพนี้ไว้เถิด ถ้าไม่อยากได้ เ้าก็เผามันได้เลย ข้ายังมีธุระต้องทำ ก็ไม่รบกวนเวลาของแม่นางแล้ว ลาก่อน”
หลังกล่าวจบ นึกไม่ถึงว่าเขาจะหันหลังแล้วก้าวเท้าออกไปเลย
ฉินหยีหนิงเห็นเงาด้านหลังของเขาที่เดินนำพาคนออกไปอย่างเร่งรีบ ในสมองนึกถึงประโยคหนึ่ง ‘พ่ายแพ้และหนีไป’
ในใจของนางมีความสงสัยอย่างมาก
คำพูดขององค์ชายเมื่อสักครู่นี้ก็นับว่ามากพอให้เข้าใจ หรือว่าอนาคตของนาง จะเหมือนกับที่คนส่วนมากคาดเดาเช่นนั้น ผูกติดด้วยกันกับวังตง?
ดูความหมายขององค์ชายแล้ว เหมือนมีความคิดเช่นนี้
อีกอย่างนางมีสถานะเป็บุตรสาวของไท่ซือ สถานะของนางตอนนี้ก็เพียงพอแล้ว
แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด ฉินหยีหนิงไม่ได้มีความดีใจกับความร่ำรวย สูงศักดิ์หรือว่าการได้เป็มารดาในปฐีนี้แต่อย่างใด
ชีวิตเช่นนั้น ไม่ใช่สิ่งที่นางอยากได้
นางเพียงอยากให้สมาชิกในครอบครัวปลอดภัย ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ไม่้าความร่ำรวยมหาศาลหรือสูงศักดิ์แต่อย่างใด ขอแค่มีความปลอดภัยและมั่นคงก็เพียงพอแล้ว
เป็ผู้หญิงขององค์ชายรัชทายาท หรือเป็ผู้หญิงของฮ่องเต้ ต่างก็ไม่ปลอดภัยและไม่มั่นคงทั้งนั้น
ทว่า ถ้ามีเื่เช่นนั้นเกิดขึ้นจริงๆ นางสามารถปฏิเสธได้หรือไม่?
ตอนนี้ท่านพ่อมีสถานะเป็ไท่ซือ ก็เท่ากับการเลือกพรรคพวกแล้ว ไม่จำเป็จะต้องเลือกพรรคพวกอีกแล้ว เพื่อความมั่นคงของตำแหน่ง การแต่งงานเพื่อสานความสัมพันธ์คือวิธีที่ดีที่สุด หากท่านพ่ออยากจะให้แต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์กับราชวงศ์ละก็ นางเป็ตัวเลือกเดียวที่จะได้แต่งงานกับองค์ชายรัชทายาท
ในฐานะที่เป็ลูกสาวตระกูลฉิน นางไม่สามารถปฏิเสธได้ อีกทั้งในสายตาของคนอื่น อนาคตเช่นนี้เป็เกียรติสูงสุดแล้ว จะทำให้ผู้คนอิจฉาริษยาตั้งมากมายเท่าไร
ในระหว่างทางกลับเรือนเสวี่ยลี่นั้น ฉินหยีหนิงปิดปากเงียบไม่ได้พูดอะไรเลย
ชิวหลู่เห็นฉากเมื่อสักครู่ด้วยสายตาตนเอง ตอนนี้นางยังหน้าแดงอยู่เลย เห็นได้ชัดว่าฉินหยีหนิงไม่ได้พูดมาก นางเองก็ไม่กล้าชวนสนทนาสักเท่าใดนัก
กลับไปที่บ้าน นางเปิดดูภาพนั้นอีกหน แต่กลับบังเกิดความรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาฉับพลัน
“นำภาพวาดนี้ไปเก็บให้ดีเถิด”
“เ้าค่ะ” ชิวหลู่กำลังจะเอื้อมมือเก็บภาพวาด แต่ได้ยินเสียงบ่าวข้างนอกะโเข้ามาเสียก่อน “คุณหนูฮุ่ยหนิง คุณหนูหกมาแล้วเ้าค่ะ”
หลังประโยคสิ้นสุด ยังไม่ทันที่ฉินหยีหนิงจะได้ปริปากพูด ผ้าม่านได้ถูกเลิกขึ้น ฉินฮุ่ยหนิงกับคุณหนูหกจับแขนเดินมาด้วยกัน ข้างๆ ของทั้งสองนั้นมีบ่าวของตัวเองติดตามมาด้วย
“ว่างไม่มีอะไรทำ มานั่งเล่นที่บ้านพี่สี่ พี่สี่คงไม่ว่าอะไรนะ” คุณหนูหกพูดบอกขณะหย่อนตัวลงนั่งยังโต๊ะสี่เหลี่ยมข้างๆ อย่างถือวิสาสะ
ฉินฮุ่ยหนิงก็นั่งลงอย่างช้าๆ
ฉินหยีหนิงเลิกคิ้ว “แน่นอนว่าไม่ถือสาอะไร เพียงรู้สึกแปลกๆ เห็นได้ชัดว่าน้องหกกับคุณหนูฮุ่ยหนิงไม่ชอบข้า เหตุใดถึงมาหาข้าที่นี่ ไม่มาด้วยมันไม่สนุกหรือ ชิวหลู่ นำภาพวาดไปเก็บ หลิ่วหยายกน้ำชา”
คุณหนูหกกับฉินฮุ่ยหนิงต่างก็ไม่นึกว่าฉินหยีหนิงไม่ได้เสแสร้งเลย นึกไม่ถึงว่านางจะพูดออกมาตรงๆ เช่นนี้ ใบหน้าจึงกระด้างขึ้นมาชั่วขณะ
ชิวหลู่และหลิ่วหยาไปทำหน้าที่ตามคำสั่ง
ครั้นคุณหนูหกเห็นชิวหลู่กำลังจะม้วนภาพวาดอาชาแปดตัว ดังนั้นนางจึงคว้ามันมา แล้วเอ่ยขึ้น “ไม่คิดเลยว่า ที่นี่จะมีภาพวาดด้วย เ้าชื่นชมภาพวาดเป็ด้วยหรือ?”
คุณหนูหกหัวเราะเยาะเย้ยและนำภาพนั้นปาทิ้งลงบนพื้น นางหัวเราะจนหยุดหายใจและเอ่ยขึ้น “บอกว่าเ้าเป็คนป่าเถื่อน เ้าก็ไม่ยอมรับ ภาพวาดปลอมก็ควรค่าแก่การเป็สมบัติล้ำค่าจนต้องให้คนมาเก็บเช่นนี้หรือ”
ฉินฮุ่ยหนิงก้มลงมอง ได้เห็นนามปากกาแล้วเช่นกัน ด้วยไหวพริบปฏิภาณทำให้เข้าใจในทันที นั่นเป็ภาพวาดขององค์ชายรัชทายาทหรือ?
ชิวหลู่รีบเก็บภาพอย่างรีบเร่ง เพราะกลัวว่าคุณหนูหกจะเหยียบภาพซ้ำจนเสียหาย
ฉินหยีหนิงเริ่มโมโหแล้ว “แน่นอนว่าข้าไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ เพราะว่าข้าเติบโตมาในชนบท หรือว่าคุณหนูหกเติบโตมาในป่าหรืออย่างไร? ถึงได้ไม่รู้ว่าอะไรเรียกว่ามารยาท? คุณหนูหกกับคุณหนูเจ็ดความจริงเกิดจากมารดาคนเดียวกัน แต่เหตุใดอุปนิสัยถึงได้แตกต่างกันมากถึงเพียงนี้? ดูเหมือนว่าถูกเลี้ยงดูข้างๆ แม่ใหญ่นั้นที่แท้ก็มีความรู้และมารยาทมากกว่าอยู่หลายส่วน เหตุผลเหล่านี้ที่แท้ก็ไม่ได้เป็เท็จเลยจริงๆ”
เสียงหัวเราะของคุณหนูหกหยุดชะงักอย่างกะทันหัน จากนั้นกลับหัวเราะเยาะดังอีกหน “เ้าอย่าภูมิใจนักเลย มันก็แค่เพียงภาพวาดปลอมๆ ภาพวาดขององค์ชายรัชทายาทไม่เคยส่งให้ใครอย่างง่ายดาย เ้าก็เป็เพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ก็อย่าเอาขนไก่มาคิดเป็ศรธนูเสียล่ะ ”
“ข้ามีอะไรจะภูมิใจหรือ? สิ่งที่ข้ามีอยู่เป็สิ่งที่แน่นอนอยู่แล้ว เหตุใดข้าถึงต้องภูมิใจ?” ฉินหยีหนิงไม่ได้สนใจคำพูดประโยคครึ่งหลังของนาง
ฉินฮุ่ยหนิงได้ยินเสียงก็เหมือนมีสัญญาณเตือนภัยดังขึ้น หรือว่าภาพวาดนั้นเป็ภาพวาดที่องค์ชายรัชทายาทส่งมาจริงๆ? ฉินหยีหนิงกับองค์ชายรัชทายาทได้พบกันแล้ว? ฉินหยีหนิงจะกลายเป็พระชายาเอกขององค์ชายรัชทายาทในอนาคตจริงๆ หรือ?
ฉินฮุ่ยหนิงไม่สบอารมณ์มาก และสีหน้าของนางเหมือนไม่สามารถควบคุมได้ นางมีรอยยิ้มเกร็งๆ ดวงตาของนางมีความขุ่นเคืองและความเกลียดชัง ก่อนเอ่ยขึ้น
“ดูสิ ตอนนี้บ่าวในเรือนของน้องเสี่ยวซีขาดไปสองคน จึงไม่เป็บ้านเสียแล้ว ทำไม? แม้แต่ชาร้อนๆ สักถ้วยก็ไม่ให้เราดื่ม?”
“คนขาดไปสองคนก็ไม่ใช่เพราะว่าเบื้องบนคดเคี้ยวเบื้องล่างเลยคดเคี้ยวไปด้วย? เ้ากีบป่าเลี้ยงขโมยออกมา ยังขโมยของของล่าวไท่จุน” คุณหนูหกเอ่ยพูดพร้อมกับหัวเราะ “เ้าก็สามารถใช้ภาพวาดปลอมมาแสดงอำนาจหรือ”
ฉินหยีหนิงกำหมัดแน่น
ทำอย่างไรดี นางอยากจะตบคนอีกแล้ว!
ใครจะรู้ว่าตอนนั้นได้มีเสียงฝีเท้าสับสนย่ำเหยียบดังมาจากลานหน้าบ้าน ฉินหยีหนิงลุกขึ้นออกไปดู เห็นหญิงสาวหน้าตาสวยงาม อายุสิบห้าปีทั้งสองคนเดินเข้ามาพร้อมกับกลุ่มผู้หญิงร่างกายแข็งแรงกลุ่มหนึ่ง
เมื่อเห็นว่าฉินหยีหนิงยืนอยู่ที่ระเบียงทางเดิน บ่าวทั้งสองก็คำนับอย่างเป็ทางการ
“บ่าวเหยาฉิน (ยวี้ฉี) น้อมทักทายคุณหนูสี่ ข้างที่จัดเลี้ยงขอบคุณของไท่ซือแหย่ แขกที่เป็สตรีชนชั้นสูงส่งของขวัญเหล่านี้มาให้คุณหนูเ้าค่ะ ไท่ซือแหย่ได้มีคำสั่งให้พวกบ่าวที่จะมาที่นี่อยู่แล้ว นำของเหล่านี้มาให้คุณหนูเ้าค่ะ”
บ่าวทั้งสองพูดพลางหลีกทางออกไป ข้างหลังมีบ่าวร่างใหญ่แบกกล่องของขวัญหลากสีเข้ามาในเรือน
ฉินฮุ่ยหนิงกับคุณหนูหกเมื่อเห็นของขวัญจำนวนมากถึงเพียงนี้ สายตาจึงเป็ประกาย แต่พริบตาสีหน้าความหม่นหมองกลับปรากฏทดแทนขึ้นมาทันที
นี่หมายความว่าอย่างไร? เพิ่งจะหัวเราะเยาะเย้ยนาง คนนั้นคนนี้ก็ส่งของขวัญมากมายมาให้นาง เพื่อตบหน้าพวกตนหรือ