ของขวัญมากมายจนกองเป็ูเานี้เสมือนตบใบหน้าของฉินฮุ่ยหนิงให้เ็ป
ทั้งหมดนี้ควรเป็ของนาง!
ไม่ว่าจะเป็สถานะบุตรสาวของไท่ซือหรือของขวัญซึ่งกองเต็มโต๊ะ รวมถึงการยกย่องนอบน้อมจากผู้อื่น ทั้งหมดนั้นมันควรจะเป็ของนาง!
ทว่านางกลับต้องมองคนอื่นมีความสุขและมีในสิ่งที่นางเคยมีอย่างภูมิใจ?
ฉินฮุ่ยหนิงไม่ยอม!
ยามนั้นไม่เพียงแต่ล่าวไท่จุน ยายของนางและซุนซื่อล้วนลำเอียงทั้งหมดแล้ว มิหนำซ้ำท่านพ่อยังให้ความสำคัญกับฉินหยีหนิงอีกด้วย
การออกไปพบปะกับชายข้างนอก เป็สิ่งที่ผิดร้ายแรงเท่าใด? ท่านพ่อกลับลงโทษให้ฉินหยีหนิงเพียงแค่ให้กินนอนอยู่ในศาลบรรพบุรุษเป็เวลาเจ็ดวัน จากนั้นเขาก็มอบเหยาฉินและยวี้ฉีให้นางอีกด้วย
สมัยก่อน ถึงแม้ว่าท่านพ่อจะไม่ได้ร้ายกับนาง แต่พูดกับนางด้วยน้ำเสียงเ็าเพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้น แต่ตอนนี้กลับรักและเอ็นดูฉินหยีหนิง
เห็นท่าทางสบายใจของฉินหยีหนิงแล้ว ฉินฮุ่ยหนิงยิ่งเกลียดชังมากเสียจนอยากจะไปขีดข่วนใบหน้าที่นางเกลียดให้หลงเหลือแต่รอยแผล ไฟแห่งความอิจฉาริษยาปะทุขึ้น จนจะทำให้หลักความคิดและเหตุผลของนางถูกเผาไปหมดแล้ว
“น้องเสี่ยวซีช่างมีวาสนาจริงๆ มาตอนที่ท่านพ่อขึ้นแท่นเป็ไท่ซือพอดีเลย นึกไม่ถึงว่าจะได้เติมเต็มคลังสมบัติส่วนตัวของตนเองแล้ว”
ฉินหยีหนิงเห็นฉินฮุ่ยหนิงเป็เช่นนั้น นางจึงหัวเราะเย้ยหยัน “ใช่ วันนี้ท่านป้ารองยังบอกอีกว่าข้าเป็ดาวฤกษ์น้อยแห่งความโชคดีอยู่เลย”
“สามารถใช้ชีวิตรอดในป่าโดยไม่ถูกสัตว์ร้ายกินเป็อาหาร โชคชะตาช่างดีเสียเหลือเกิน” คุณหนูหกกัดฟันพูด
ฉินหยีหนิงหัวเราะอย่างขบขัน “น้องหกช่างไร้เดียงสาเสียเหลือเกิน เ้าคิดว่ามีเพียงโชคก็สามารถมีชีวิตรอดได้อย่างนั้นหรือ? เ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงได้ไม่ถูกสัตว์ร้ายกินเป็อาหาร?”
ฉินหยีหนิงก้าวเข้าใกล้คุณหนูหกทีละก้าว
สายตาดุกร้าวเพียงชั่วขณะของนาง ทำให้คุณหนูหกอดไม่ได้ที่จะถอยหลังออกไปสองก้าว “ทำ...ทำไมหรือ?”
“ก็เพราะว่าสัตว์ร้ายถูกข้ากินไปแล้วอย่างไรล่ะ” เมื่อยืนอยู่เบื้องหน้าคุณหนูหก ฉินหยีหนิงยกมือที่มีรูหนอนเย็นๆ ตบที่หน้าคุณหนูหกเบาๆ “ฉินซวงหนิง เ้าดุร้ายมากกว่าสัตว์ดุร้ายหรือไม่?”
คุณหนูหกใถอยหลังออกไปอีกสองก้าว แผ่นหลังของนางเกือบจะชนฝาผนังแล้ว ท่าทางของนางเหมือนกำลังเจอสัตว์ร้ายจ้องขย้ำเหยื่อ จึงรีบวิ่งหนีออกไปจากที่ตรงนั้นในทันที
ฉินฮุ่ยหนิงเห็นคุณหนูหกมีท่าทีที่น่าอับอาย จึงจ้องมองดุนาง
ฉินหยีหนิงเบะริมฝีปาก คู่ต่อสู้ของนางมีระดับที่ต่ำเกินไปแล้ว ราวกับว่านางกำลังรังแกเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างไรอย่างนั้น
“ทั้งสองท่านชอบที่จะอยู่ที่นี่ ถ้าเช่นนั้นก็เชิญนั่งเถิด ตอนนี้ข้าจะต้องออกไปเทียบบัญชีกับหัวหน้าจง ไม่อยู่เป็เพื่อนพวกเ้าด้วยแล้ว ชิวหลู่นำของไปเก็บเถิด”
ชิวหลู่พยักหน้าตอบรับทราบ
ฉินฮุ่ยหนิงกับคุณหนูหกถึงแม้ว่าหน้าจะหนาถึงเพียงไหน ก็มิอาจจะอยู่ที่นั่นนานกว่านี้ได้ อีกทั้งหน้าถูกตบดังเพียะแตกกระจายถึงเพียงนั้น ทำให้เสียขวัญไปหมดแล้ว ฉินฮุ่ยหนิงดึงมือคุณหนูหก หันหลังเดินกลับไป
เมื่อเดินมาถึงลานหน้าบ้าน ฉินฮุ่ยหนิงกระซิบที่หูปี้ถงเหมือนกำลังสั่งการอยู่หลายประโยค
ปี้ถงตอบรับพยักหน้าทันที จากนั้นติดตามการก้าวเท้าของชิวหลู่ออกไป
ในห้องโถงหลัก เมื่อปราศจากแขกที่ไม่ได้รับเชิญ ฉินหยีหนิงจึงหันไปยิ้มให้กับเหยาฉินและยวี้ฉีเล็กน้อย “เมื่อสักครู่นี้มีแขกอยู่ด้วย จึงละเลยพวกเ้าทั้งสองแล้ว”
“บ่าวไม่กล้าเ้าค่ะ” หลังจากที่เห็นฉินหยีหนิงทำให้คุณหนูหกกลัวถึงเพียงนั้น แต่เดิมก็เคยได้ยินมาบ้าง แต่ตอนนี้ทำให้ทั้งสองรู้จักกับฉินหยีหนิงเสียใหม่
เหยาฉินยิ้มและคำนับ “นายท่านได้สั่งการพวกเราทั้งสองไว้ วันข้างหน้าพวกเราเป็คนของคุณหนูแล้ว ถ้าท่านมีอะไรให้รับใช้ เพียงแค่ออกคำสั่งพวกเราก็ได้แล้วเ้าค่ะ”
“เป็เช่นนั้นเ้าค่ะ” ยวี้ฉีก็คำนับ
“ความหวังดีของท่านพ่อข้าเข้าใจ ข้ารู้ว่าทั้งสองมีความรู้ความสามารถด้านพิณและหมากรุกอย่างลึกซึ้ง วันข้างหน้าข้าขอให้ทั้งสองได้โปรดช่วยสอนข้าด้วย” น้ำเสียงแยกออกได้ชัดเจนว่านางคิดว่าทั้งสองเป็เสมือนอาจารย์ที่ฉินหวยหยวนมอบให้
เหยาฉินกับยวี้ฉีต่างก็พูดออกมาว่าไม่กล้า
ฉินหยีหนิงเอ่ยขึ้น “ห้องของทั้งสองท่าน ข้าได้ให้หลิ่วหยาเป็คนจัดเตรียมไว้ให้แล้ว เรือนเสวี่ยลี่เล็กมาก จึงรบกวนให้ทั้งสองพักอยู่ที่ห้องข้างสักพักก่อนเถิด”
“เ้าค่ะ ขอบพระคุณคุณหนู”
เหยาฉินกับยวี้ฉีรู้ว่าเพิ่งเข้ามาที่นี่ เป็ไปไม่ได้ที่จะได้ทำการใดที่สำคัญ สามารถได้รับความสุภาพจากฉินหยีหนิง เท่านี้ก็มีความพึงพอใจเป็อย่างยิ่ง จากนั้นจึงเดินตามหลิ่วหยาไปที่ห้องที่ได้จัดเตรียมไว้ให้ ซึ่งแต่เดิมห้องนั้นเป็ห้องที่หยูเซียงและรุ่ยหลานเคยอยู่มาก่อน
ฉินหยีหนิงเองก็สวมเสื้อคลุมตัวนอก จากนั้นเรียกบ่าวให้ไปบอกรถม้าให้เตรียมตัว นางไม่ได้พาใครไปด้วยเช่นกัน เด็กสาวเดินออกจากประตูไปด้วยตัวคนเดียว
เมื่อรอให้หลิ่วหยาจัดเตรียมห้องเรียบร้อย เหยาฉินกับยวี้ฉีจึงเดินเข้าไป จากนั้นหลิ่วหยาได้พบว่าฉินหยีหนิงไม่ได้อยู่ในบ้านเสียแล้ว
เมื่อนึกถึงที่ฉินหยีหนิงบอกว่าจะไปเทียบบัญชี หลิ่วหยาก็รีบเข้าไปดูในบ้านว่ามีใครไม่อยู่บ้างหรือไม่ สุดท้ายกลับพบว่าฉินหยีหนิงไม่ได้พาใครไปด้วยเลย
คุณหนูยอมไม่พาคนไปด้วยและไม่ยอมพานางไปด้วย!
หยูเซียงกับรุ่ยหลานก็ออกไปแล้ว ชิวหลู่ได้ทำงานสำคัญคือการไปเก็บของขวัญที่ห้องเก็บของ เหยาฉินกับยวี้ฉีเป็คนใหม่เพิ่งมา แน่นอนว่าไม่สะดวกที่จะใช้งานเลย ตอนนี้สมควรให้นางติดตามด้วยถึงจะถูก
ทำไมคุณหนูถึงไม่ยอมใช้นางให้ทำงานสำคัญๆ นะ
หลิ่วหยาโกรธจนหน้าแดง จากนั้นก็เดินกลับเข้าห้องของตนด้วยความโมโห
ในเวลาเดียวกัน บริเวณห้องเก็บของสำคัญทางด้านหลัง ปี้ถงเดินย่องเข้ามาใกล้ๆ นางยืนนิ่งแอบมองอยู่ข้างประตูที่เปิดแง้มครึ่งหนึ่ง
ห้องด้านหลังนั้นไม่ได้ใหญ่มาก แต่ว่าภายในห้องมีกล่องผ้าบรรจุชุดผ้าไหมหลากสีจำนวนมาก บนพื้นยังมีกล่องไม้ขนาดใหญ่สองกล่องซึ่งเห็นเด่นชัด นั่นคือกล่องการบูร ข้างบนกล่องการบูรยังมีกล่องเครื่องประดับกำลังเปิดวางไว้ ข้างในกล่องมีอัญมณีไข่มุกเปล่งประกายแวววาวเข้าไปในดวงตา
นึกไม่ถึงเลยว่าคุณหนูสี่เพิ่งจะกลับมาไม่นาน นางจะร่ำรวยมหาศาลถึงเพียงนี้!
ดูเหมือนว่าการเป็เ้าของกิจการจ้าวหยุนซือ จะทำให้สถานะของนางไม่ธรรมดาเลยสินะ
ปี้ถงถอนหายใจเมื่อมองเข้าไปอีกครั้ง ทันใดนั้นนางถึงกับเบิกตาโต
ชิวหลู่หันหลังอยู่ตรงข้ามปี้ถง ฝ่ายนั้นกำลังหยิบสร้อยไข่มุกเส้นหนึ่งเข้าไปในอ้อมแขน เมื่อใส่ไข่มุกเข้าไปแล้ว จากนั้นก็หยิบเครื่องประดับหนึ่งกำเข้าไปไว้ในอ้อมแขนอีก มองจากมุมของนางไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจนว่าอีกฝ่ายหยิบอะไรไปแล้วบ้าง สิ่งที่นางเห็นนั้นเพียงแค่กำไลหยกสีแดงเืและจี้หูหยกสีเขียวส่องเป็ประกาย
ปี้ถงหัวใจสั่นเทาและฉับพลัน นางก็รู้สึกว่าเทพ์กำลังช่วยนางอยู่!
ตอนนี้ถ้าจับตัวชิวหลู่ จะทำให้บ่าวคนสนิทของฉินหยีหนิงต้องถูกปลดออกไปเป็สามคนสินะ คุณหนูฮุ่ยหนิงจะต้องให้รางวัลกับนางอย่างแน่นอน
คิดได้ดังนั้น ปี้ถงจึงรีบผลักประตูเปิดและพูดออกไปด้วยความโกรธ “ช่างกล้านัก เ้าทำอะไรหรือ ข้าเห็นทั้งหมดแล้ว”
ชิวหลู่ใจนมือสั่นด้วยความหวาดกลัว สีหน้าของนางซีดเซียวและนางรีบใช้มือมาปิดปากของปี้ถงไว้ “พี่ ได้โปรดเบาเสียงหน่อย”
“ให้ข้าเบาเสียง?” ปี้ถงหัวเราะ “ไป! ไปตัดสินกันต่อหน้าล่าวไท่จุน ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเ้าจะพูดว่าอะไรดี ความรู้สึกก็คือเรือนเสวี่ยลี่ของพวกเ้ามือเท้าสกปรก รุ่ยหลานเป็ขโมย ตอนนี้เ้าก็เรียนตามนางด้วยแล้วสิ ไป!”
ปี้ถงเอ่ยพร้อมกับดึงมือของชิวหลู่ออกมา
มือสองข้างของชิวหลู่จับที่ข้อมือของปี้ถง นางนั่งยองๆ บนพื้นไม่ยอมเดิน พลางลดเสียงอย่างจงใจและเอ่ยขึ้น
“พี่ อย่าเสียงดังเลย ของเหล่านี้คุณหนูยังไม่ได้ดูเลย เอาอะไรไปนางย่อมไม่มีทางรู้ พวกเราเป็บ่าวทำงานหนักมากก็ได้แค่เงินเดือนเล็กน้อยนั่นเท่านั้น นอกจากจะให้ที่บ้านกับเป็ค่าใช้จ่ายส่วนตัวแล้ว ที่เหลือก็มีอีกแค่ไม่เท่าไรแล้ว ตอนนี้พวกเรายังเป็สาวอยู่ แต่อนาคตล่ะ?”
รู้สึกว่าแรงของปี้ถงคลายลงมาหลายส่วน ชิวหลู่คุกเข่าลงมา แหงนมองหน้าปี้ถงและตะล่อมต่ออีกเล็กน้อย
“พี่คิดดูให้ดีๆ วิธีเดียวที่คนอย่างพวกเราจะมีทางรอด นั่นก็คือตัวเองเก็บเงินบางส่วนไว้ ถึงจะรับประกันได้ว่าจะมีอนาคตที่ดีได้ คุณหนูสี่มีของมากมายถึงเพียงนี้ อีกทั้งนางก็ไม่ได้นับด้วย...พี่ ขอแค่พี่ไม่บอกใคร ข้ายินดีนำสิ่งที่ได้มาแบ่งให้พี่ครึ่งหนึ่ง”
ปี้ถงถูกคำพูดของชิวหลู่กระแทกตรงกลางใจพอดี
นางไม่ใช่ลูกของบ่าว แต่ว่าถูกซื้อมาจากข้างนอกเพื่อรับใช้ ตอนนี้นางก็อายุสิบหกปีแล้ว อีกไม่กี่ปีก็อยากจะขอล่าวไท่จุนเปลี่ยนสถานะของนาง จากนั้นออกไปข้างนอก
ที่บ้านของนางมีมารดาที่ป่วยอยู่ น้องชายได้แต่งงานแล้ว มีหลานอยู่สองคน สมาชิกในครอบครัวพึ่งพาการเฝ้าแผงลอยขายผักดำรงชีวิต สมาชิกในครอบครัวทั้งหมดต่างก็หวังเงินเดือนที่นางทำงานกันทั้งหมด
นางไม่อยากถูกจับคู่แต่งงานโดยไม่ได้เลือกเอง และไม่อยากเป็อนุภรรยาของคนอื่นอีกด้วย นางเพียงแค่อยากจะเก็บเงิน รอให้เก็บเพียงพอที่จะสามารถไถ่ตัวเองออกมาได้แล้ว จากนั้นก็จะแต่งงานกับคนตระกูลเล็กๆ แต่งเป็ภรรยาเอก เท่านี้ก็พึงพอใจแล้ว
แต่การได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้จะต้องใช้เงินทั้งหมด
นี่จึงเป็สาเหตุว่าทำไมนางถึงได้ทุ่มเทต่อฉินฮุ่ยหนิง เพียงเพราะหวังว่าจะได้รับรางวัล
คุณหนูทั้งหลายให้รางวัลแก่พวกนางเล็กๆ น้อยๆ ก็มากกว่าเงินเดือนที่พวกนางทำงานทั้งปีเสียอีก
แต่ว่าถึงแม้ว่าฉินฮุ่ยหนิงจะมอบรางวัลให้ แต่คงไม่เยอะเท่าที่ชิวหลู่แบ่งให้นาง
โอกาสดีๆ เช่นนี้อยู่ตรงหน้า
ปี้ถงก้มศีรษะมองชิวหลู่อย่างสงสัย นางเห็นเพียงหน้าแดงตื่นกลัวของชิวหลู่ น้ำตาและน้ำมูกไหลออกมาแล้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยการขอร้องรอความหวังจากนาง
“พี่ปี้ถง พวกเราต่างก็เป็บ่าวเหมือนกัน จะทำให้พวกเราลำบากกันเองได้อย่างไร พวกเราน่าจะคว้าโอกาสนี้ในการเก็บเงินไว้สิ วันข้างหน้ายังมีอนาคตที่สงบสุขให้ใช้ชีวิตอีก ขอร้องพี่ปี้ถงปล่อยข้า หรือไม่ก็...หรือไม่ก็ข้าแบ่งให้เ้ามากกว่าครึ่งหนึ่งก็ได้ ข้าขอเก็บแค่เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ข้ารับรองได้ว่า ข้าจะไม่บอกเื่นี้กับใครเด็ดขาด พี่ปี้ถง”
ปี้ถงรู้ว่าแต่เดิมชิวหลู่เป็บ่าวอยู่ที่เรือนซิ่งหนิง นางเป็คนที่ซื่อตรงและไม่ค่อยพูด
เห็นว่านางเป็เช่นนี้ ปี้ถงเชื่อนางแล้ว นางกัดฟันและเอ่ยขึ้น “ได้ เ้าแบ่งให้ข้ามากกว่าครึ่ง มิเช่นนั้นข้าก็จะเอาเื่นี้บอกออกไป”
ชิวหลู่ดีใจ นางรีบลุกขึ้นมา เอาของจากอ้อมแขนของนางออกมา ส่งไข่มุกเส้นหนึ่งให้ปี้ถง แหวนโมราหนึ่งวงและกำไลหยกสีแดงเือีกหนึ่งวง ตุ้มหูทองรูปกุหลาบหนึ่งคู่ ตุ้มหูรูปหยดน้ำหนึ่งคู่ ปิ่นปักผมนิลดอกดาดตะกั่วทั้งหมดนี้ล้วนส่งให้ปี้ถง
ปี้ถงดูแล้ว เมื่อเห็นว่ามีมากขนาดนี้ นางดูโมรา นิลรูปหยดน้ำก็รู้สึกพึงพอใจแล้ว นางจ้องมองตาไม่กะพริบ จากนั้นรีบนำของเ่าั้ใส่เข้าไปข้างในอ้อมแขน
นางชี้ไปที่ชิวหลู่และเอ่ยขึ้น “เ้าระวังไว้นะ ปิดปากให้สนิทล่ะ”
“ข้ากล้าที่ไหนกันล่ะ นี่ก็เกี่ยวโยงกับความเป็ความตายของข้าด้วยนะ” ชิวหลู่หยิบของเข้าไปในอ้อมแขนของนางไว้อย่างดีและเอ่ยขึ้น “พวกเรารีบออกไปเถิด อยู่ที่นี่นานเดี๋ยวมีคนมาเห็นเข้า มันจะไม่ดี”
ทั้งสองออกจากห้องเก็บของ
ชิวหลู่รีบวิ่งออกไป
ปี้ถงกัดริมฝีปากล่างครุ่นคิด ของเยอะขนาดนี้ หากเอากลับไปวางไว้ในห้องนอนอาจทำให้คนอื่นเจอก็ได้ นางเป็เพียงแค่บ่าวจะมีของมีค่าพวกนี้มากมายได้อย่างไรกัน? ถ้าเช่นนั้นคงไม่รู้จะตอบอย่างไรแล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ปี้ถงก็ไม่สามารถกลับไปรายงานฉินฮุ่ยหนิงก่อนได้ นางก้าวเดินออกไป ผ่านห้องครัวเล็กๆ จะพบบานประตูที่มุมหนึ่ง จากนั้นก็วิ่งออกจากจวนไป นางวิ่งราวกับบินกลับไปบ้านของตัวเอง
บ้านของนางห่างจากจวนฉินไปไม่ไกลนัก นางวิ่งประมาณธูปจุดหนึ่งดอกก็มาถึง บ้านของนางอยู่ถัดจากตลาดสด มีสามครอบครัวอาศัยอยู่ที่นั่น สมาชิกในครอบครัวของนางอาศัยอยู่ในห้องทางทิศตะวันตก
สิ่งเหล่านี้ เก็บไว้ที่บ้านได้โดยให้แม่ของนางเป็คนเก็บไว้เท่านั้นถึงจะดี
เป็เพราะมีสามครอบครัวอาศัยอยู่ในบ้านนี้ บริเวณบ้านในตอนกลางวันจึงไม่เคยลงกลอนประตูเลย ปี้ถงผลักประตูสีดำน้ำมันจนเปิดออก จากนั้นวิ่งตรงไปยังห้องทางทิศตะวันตกทันที
เอี๊ยด เสียงเปิดประตูตาข่ายดังออกมา “แม่ ข้ากลับมาแล้ว ท่าน...”
ดวงตาของปี้ถงเบิกกว้าง ริมฝีปากของนางสั่นระริกในทันใดและนางก็ไม่พูดอะไรออกมาเลย
เพียงแค่เห็นฉินหยีหนิงนั่งอยู่บนที่นั่งหลัก ข้างหลังนางมีชายอายุประมาณห้าสิบปียืนอยู่ มีเสี่ยวซือที่เป็ชายหนุ่มสองคนและชายหนุ่มอีกสองคนเหมือนกับคนรักษาประตูอยู่ด้วย
มารดาของปี้ถงยืนอยู่ข้างๆ กำลังพูดคุยกับฉินหยีหนิงอย่างระมัดระวัง
เมื่อเห็นนางเข้ามาเช่นนี้ ฉินหยีหนิงยิ้มให้ “แม่นางปี้ถงวันนี้รีบกลับบ้าน? ช่างบังเอิญจังเลย”