เขามองตำราในมือนาง ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็ตำราต้องห้ามแห่งหนานเย่าที่ถูกเขียนขึ้นเมื่อครึ่งปีก่อน เพียงแต่ต่อมาเมื่อราชสำนักได้ล่วงรู้เข้า ผู้เขียนตำราเล่มนี้ก็ถูกฆ่าล้างตระกูลไปแล้ว จวินเหยียนมิคาดว่าห้องหนังสือตนมีตำราตั้งมากมาย แต่นางหาได้สนใจ และเลือกกลับมาเพียงตำราเล่มนี้
เขายิ้มบางๆ แล้วกล่าวตอบ “เหตุใดจึงต้องอ่านตำราเล่มนี้? ” แท้จริงแล้วตำราเล่มนี้ไม่เหมาะที่นางจะอ่านแม้แต่น้อย ซึ่งด้านในได้มีการบันทึกเหตุการณ์ครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในรัชศกเสี้ยวเหวินตลอดยี่สิบเอ็ดปีมานี้ ทว่านางกลับไม่ได้ถามถึงปีอื่นๆ และเจาะจงถามเพียงรัชศกเสี้ยวเหวินปีที่ยี่สิบ
“ก็แค่สงสัยใคร่รู้ จึงได้อยากอ่าน ทำไมหรือ? ข้าอ่านไม่ได้หรือ? ” อวิ๋นซีมองเขาเรียบๆ เหตุใดอีกฝ่ายจึงต้องอ่อนไหวเพียงนี้เมื่อได้ยินตนถามถึงเื่ที่เกิดขึ้นในปีนั้น?
จวินเหยียนก้าวมาด้านหน้าสองสามก้าว ก่อนจะหยุดยืนพูดอยู่เบื้องหน้านางด้วยท่าทางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “รัชศกเสี้ยวเหวินปีที่ยี่สิบเกิดเื่ขึ้นมากมายจริงๆ ทั้งภัยแล้งใหญ่ที่เซวียนโจว อุทกภัยในอำเภออวิ๋น เ้าอยากจะฟังเื่ใดเล่า? ”
อวิ๋นซีมองเขาด้วยสายตาเ็า เื่เหล่านี้ล้วนไม่ใช่เื่ที่นางอยากรู้
“อ้อ เปิ่นหวางลืมไป รัชศกเสี้ยวเหวินปีที่ยี่สิบนี้ ชายารัชทายาทเฉียวอวิ๋นซีป่วยหนักจนสิ้นพระชนม์ ทั้งแม่และลูก ยิ่งกว่านั้น บ้านเดิมของพระชายา จวนเฉียวกั๋วกง...เฮ้อ เื่เหล่านี้ล้วนผ่านมานานแล้ว ช่างเถอะ ข้าคิดว่าเ้าคงไม่อยากรู้หรอก” จวินเหยียนส่ายศีรษะด้วยสีหน้าสลดใจ
ฉับพลันนั้นอวิ๋นซีก็พูดขึ้น “ตอนเด็กๆ ข้าเคยติดตามอยู่ข้างกายบิดาเพื่อร่ำเรียนวิชาแพทย์ จึงมีโอกาสได้พบเจอพ่อค้าเร่ที่ผ่านมาผ่านไป หนึ่งในนั้นมีไม่น้อยที่มาจากเมืองหลวง พวกเขาล้วนนำข่าวสารเกี่ยวกับเมืองหลวงมาบอกกล่าวแก่พวกเรา ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงพอจะทราบมาว่า ชายารัชทายาทนั้นมีนิสัยอ่อนโยน ดีงาม และมักมีเมตตาต่อผู้อื่น อีกทั้ง ตระกูลเฉียวกั๋วกงเองก็จงรักภักดีต่อองค์ฮ่องเต้ยิ่ง ทว่า เหตุใดรัชศกเสี้ยวเหวินปีที่ยี่สิบ ตระกูลเฉียวทั้งตระกูลจึงได้ถูกสังหารสิ้นที่หน้าประตูอู่เหมินเหมิน? ” ชายารัชทายาท สิ้นพระชนม์ ทั้งแม่ทั้งลูก เมื่ออวิ๋นซีได้ฟังคำตอบนั้นก็ได้แต่ทอดถอนใจ หรือว่าธิดาตนและหลันจือกับอาเถาจะไม่สามารถหลบหนีออกมาจากจวนรัชทายาทได้?
ไม่ หลันจือและอาเถาล้วนรู้ว่าทางลับของจวนรัชทายาทอยู่ที่ใด พวกนางจักต้องหนีออกมาได้แน่ เื่เหล่านี้ย่อมมิใช่ความจริง และคงเป็เพียงเื่ราวที่เ้าคนชั่วช้าโอวหยางเทียนหัวนั่นใช้เพื่อหลอกลวงคนทั่วหล้าแน่
เมื่อจวินเหยียนได้ยิน เขาก็คิดในใจว่า เป็เช่นนี้จริงๆ ด้วย
ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่า สตรีผู้นี้จะต้องมีความเกี่ยวพันกับคนตระกูลเฉียวอย่างแน่นอน เพราะสิ่งที่นางละเมอออกมาเมื่อตอนที่พักอยู่ในหมู่บ้านสกุลโจวนั้นจะต้องเป็ความคิดที่แท้จริงในใจของนางเป็แน่ ดังนั้น เหตุที่นางหาเื่ลู่เหวินเจิ้น แท้จริงแล้วคนเพียง้าจัดการนายผู้อยู่เื้ัลู่เหวินเจิ้นเท่านั้น หรือก็คือรัชทายาทองค์ปัจจุบัน โอวหยางเทียนหัว
เพียงแต่นางมีความเกี่ยวข้องใดกับตระกูลเฉียวกันแน่? เหตุใดถึงได้อยากแก้แค้นแทนคนตระกูลเฉียว?
“คนของข้าสืบทราบมาเพียงว่ามีใครบางคนฟ้องร้องตระกูลเฉียวอย่างลับๆ ว่าพวกเขาร่วมมือกับแคว้นศัตรูด้วยคิดจะขายชาติแลกยศถาบรรดาศักดิ์” นี่คือโทษของตระกูลเฉียวที่ราชสำนักประกาศให้คนทั่วหล้ารับรู้ ถึงกระนั้นผู้เป็ฮ่องเต้มักเป็ผู้ที่มีใจหวาดระแวงสงสัยมาแทบทุกพระองค์ ดังนั้น เื่สมคบศัตรูเพื่อขายชาติ องค์ฮ่องเต้ล้วนยึดหลัต่อให้สังหารผิดพันคนก็จะไม่มีทางปล่อยไปแม้แต่คนเดียว ด้วยเหตุนี้ ต่อให้เฉียวกั๋วกงจะไม่เคยกระทำเื่นี้ แต่หากมีความระแคะระคายเกิดขึ้น ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตายสถานเดียว
อีกประการ ตระกูลเฉียวเองก็มีอำนาจนำกำลังทหารมาหลายสิบปี ชื่อเสียงในกองทัพเป็ที่ร่ำลือถึงขนาดมีแม่ทัพนายกองบางคนเลือกที่จะเชื่อฟังเพียงคำสั่งของคนตระกูลเฉียว และไม่แม้แต่จะปฏิบัติตามคำสั่งตราพยัคฆ์ [1] ด้วยเหตุผลทั้งหลายนี้เอง ฝ่าาจึงไม่อาจไว้ชีวิตคนตระกูลเฉียวได้
อวิ๋นซีได้แต่หัวเราะเ็า “ตระกูลเฉียวทั้งตระกูลจงรักภักดีต่อแผ่นดินนี้ยิ่ง แต่สุดท้ายกลับต้องมามีจุดจบเช่นนี้ ทำให้คนรู้สึกสลดและหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจจริงๆ ” นางมองไปยังจวินเหยียน “ไม่รู้ว่าวันหน้า ท่านอ๋องเองก็จะเป็เช่นนี้ด้วยหรือไม่”
“ไม่มีทาง” เขาสบตานาง พูดด้วยท่าทีสงบนิ่ง “ในสายตาของเปิ่นหวาง มีเพียงฮ่องเต้ที่ไร้ความสามารถเท่านั้นที่จะต้องเป็กังวลด้วยเื่เหล่านี้”
ความจงรักภักดีของเฉียวกั๋วกง ประชาชนทั่วหล้าล้วนรู้ดี แต่น่าเสียดายที่ฮ่องเต้กลับถูกความหวาดระแวงนั้นปิดหูปิดตาจนมองไม่เห็นกระทั่งความเสียสละที่ตระกูลเฉียวหลายชั่วอายุคนมีต่อหนานเย่า ผนวกกับมีพวกโอวหยางเทียนหัวคอยเติมเชื้อไฟอยู่เื้ั การถูกฆ่าล้างตระกูลจึงกลายมาเป็จุดจบของตระกูลเฉียว
“ตระกูลเฉียวน่าสงสารนัก ทายาทแม้แต่คนเดียวก็ไม่มีเหลือ” เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ในใจของอวิ๋นซีก็เ็ปรวดร้าว
จู่ๆ จวินเหยียนก็ยิ้มออกมา เขายื่นมือไปเคาะศีรษะนางเบาๆ “ใครเป็คนบอกเ้ากันว่าตระกูลเฉียวไม่หลงเหลือทายาทอยู่เลย? ”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินแล้วก็เงยหน้าขึ้นอย่างกะทันหัน นางจ้องมองบุรุษเบื้องหน้าอย่างไม่กล้าปักใจเชื่อ “ท่านกำลังจะบอกข้าว่า ตระกูลเฉียวยังเหลือทายาทอยู่งั้นหรือ? เช่นนั้นท่านรีบบอกข้ามาเถิด ข้าอยากรู้ ข้าชื่นชมในความกล้าหาญเกรียงไกรของตระกูลเฉียวมาั้แ่เด็ก หากคนตระกูลเฉียวยังมีทายาทที่รอดชีวิตอยู่จริงๆ ละก็ นี่คงเป็ความเมตตาของ์แล้ว”
นางได้แต่ต้องพยายามกดข่มความตกตะลึงและปรีดาในใจลงไป เนื่องจากจวินเหยียนไม่ใช่คนที่จะกล่าวอะไรมั่วซั่ว เมื่อเขาพูดเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องมีหลักฐานที่จับต้องได้
“ข้าไม่บอกเ้าหรอก เื่เหล่านี้หาได้เกี่ยวข้องกับตัวเ้าเสียหน่อย เหตุใดจึงต้องสงสัยอะไรเพียงนี้? ” ยิ่งนางอยากรู้ เขาก็ยิ่งไม่พูด นอกเสียจากนางจะทำทีเอาอกเอาใจ และขอร้องให้เขาบอก
อวิ๋นซีโกรธจนกัดฟันกรอด “ข้าต้องรู้ให้ได้! ” ยามนี้นางไม่มีเวลามาสนใจอะไรมากแล้ว หากคนตระกูลเฉียวยังมีเหลือรอดอยู่จริงๆ นางก็ใคร่รู้ว่าคนผู้นั้นเป็ใคร ทว่าจำนวนผู้เสียชีวิตที่ลู่หลิงฉิงพูดในวันนั้นกับจำนวนคนตระกูลเฉียวก็สอดคล้องกันจริงๆ ...ดังนั้น ใครกันแน่ที่ยังมีชีวิตอยู่?
“จูบข้าทีหนึ่ง แล้วข้าจะบอกเ้า” เขายิ้มชั่วร้าย ในใจเต็มไปด้วยการรอคอยการตัดสินใจของนาง
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินคำขอของเขาก็ได้แต่เหยียบเท้าเขาโดยแรงไปทีหนึ่ง ก่อนจะพูดจาด้วยความโกรธเกรี้ยว “โอวหยางจวินเหยียน ท่านเป็อันธพาลหรือ? ” ต้องจูบเขาทีหนึ่งก่อนถึงจะยอมบอก นี่บุรุษผู้นี้กำลังขู่ตนอยู่หรือ?
จวินเหยียนหมุนกายไป “เช่นนั้นก็ช่างเถิด ในเมื่อเ้าไม่อยากรู้ เปิ่นหวางเองก็ไม่ชอบบังคับฝืนใจใคร” เขาลอบคิดอยู่ในใจว่า ตนคงเป็บุรุษที่น่าสงสารที่สุดในโลกนี้ เพียงอยากให้ภรรยาจูบตนสักทียังต้องมีข้อต่อรอง
เมื่ออวิ๋นซีเห็นว่าเขากำลังจะจากไปจริงๆ นางก็รีบดึงมือเขาไว้ แล้วก้าวไปด้านหน้าเพื่อโอบกอดรอบคอของชายหนุ่ม จากนั้นจึงเขย่งปลายเท้า แล้วจูบไปเบาๆ บนริมฝีปากเขาทีหนึ่ง ทว่าในตอนที่นางกำลังจะผละกายออกมานั้นเอง จู่ๆ เขาก็ยื่นมือมากอดเอวนางไว้แน่นแล้วประทับจูบอีกครั้งอย่างหนักหน่วง
จากจูบเบาๆ ในตอนแรก สุดท้ายกลับบานปลายอย่างยากจะถอยกลับ เขาจูบอยู่เป็นานถึงได้ปล่อยนางจากพันธนาการ แท้จริงแล้วในใจเขา้ามากกว่านี้ ทว่าเขาเองก็รู้ดีว่าตนไม่อาจจะรีบร้อนเกินไปได้ “เลิกจ้องเปิ่นหวางได้แล้ว หากยังจ้องอยู่ ไม่แน่ว่าอาจทำให้ข้าหลงลืมเื่ราวของตระกูลเฉียวไป เมื่อนั้นหากคิดจะมากล่าวโทษเปิ่นหวางก็ย่อมกระทำมิได้”
อวิ๋นซีแค่นเสียงเ็า ก่อนจะพูดเสียงเรียบ “ไม่เคยมีใครบอกท่านมาก่อนหรือว่า จริงๆ แล้วตัวท่านนั้นไม่ต่างจากอันธพาลเท่าใดนัก”
จวินเหยียนไม่สนใจคำพูดของนาง ไม่ว่านางจะพูดอย่างไรก็ไม่มีทางทำให้ตนอารมณ์หม่นหมองลงได้ ไม่ว่าอย่างไรการได้จูบนางในวันนี้ย่อมต้องส่งผลให้คืนนี้เขาได้นอนหลับฝันดี
“เมื่อสี่ปีก่อน คุณชายรองสายตรงของตระกูลเฉียวกั๋วกง เฉียวอวิ๋นชงได้รับาเ็ระหว่างปฏิบัติภารกิจ โชคดีที่ได้สตรีนามว่าเฉินซินหลานจากตระกูลชาวประมงช่วยเหลือไว้ได้ทัน ซึ่งตัวนางนั้นเป็เพียงเด็กกำพร้า ในตอนหลังเมื่อคนทั้งสองได้อยู่ร่วมกันหลายเช้าค่ำก็เกิดตกหลุมรักจนได้กลายมาเป็สามีภรรยากันในที่สุด ยิ่งกว่านั้น ก่อนเฉียวอวิ๋นชงจะกลับเข้ากองทัพ เขาก็ได้มอบป้ายหยกไว้ให้สตรีผู้นั้น เพื่อที่นางจะได้นำป้ายหยกนี้ไปหาคนตระกูลเฉียวกั๋วกง ทั้งยังให้คำมั่นว่า คนในครอบครัวเขาจะปฏิบัติต่อนางเป็อย่างดีอย่างแน่นอน และให้นางรออยู่ที่นั่นจนกระทั่งเขาได้กลับไปเมืองหลวงอีกครั้ง แล้วทั้งสองก็จะได้แต่งงานกันอย่างถูกต้อง”
อวิ๋นซีฟังเขาเล่าเื่เก่าๆ เหล่านี้ให้ฟัง นางรู้สึกไม่อยากจะเชื่อเล็กน้อย พี่รองเองก็เคยประสบกับความรักนอกขนบเช่นนี้ด้วย
“หลังจากที่เฉียวอวิ๋นชงละจากไป ครึ่งเดือนต่อมาเฉินซินหลานก็ได้นำป้ายหยกและเงินที่เขาเหลือไว้ให้มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวง แต่ว่าระยะทางนั้นช่างไกลแสนไกล อีกทั้งนางเองก็เพิ่งพบว่าตนกำลังตั้งครรภ์ จึงได้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากต้องหยุดพักการเดินทางไปเสียก่อน แต่แล้วในตอนหลังสุขภาพร่างกายนางไม่ค่อยดีนัก หากยังคงดื้อดึงจะเดินทางต่อไปก็คงไม่อาจรักษาลูกในท้องไว้ได้ ดังนั้น นางจึงทำได้เพียงพักอยู่ที่เมืองผิง ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงไปสามร้อยลี้เพื่อดูแลครรภ์ให้ดี ดีที่ตอนนั้นเฉียวอวิ๋นชงนอกจากจะทิ้งป้ายหยกที่เป็สิ่งยืนยันตัวตนไว้ให้แล้ว ก็ยังมีกำไลอีกวงหนึ่ง ซึ่งสิ่งๆ นั้นเป็ของที่เขาตั้งใจซื้อมาจากชายแดนด้วยหวังจะมอบให้ชายารัชทายาทเฉียวอวิ๋นซี ในตอนนั้นเพื่อจะประทังชีพ เฉินซินหลานจึงตัดสินใจนำป้ายหยกนั้นไปจำนำจนได้เงินมากว่าสามพันตำลึง จากนั้นก็นำไปเช่าบ้านหลังเล็กๆ ในเมืองผิง นอกจากนี้ สิ่งที่ทำให้คนคิดไม่ถึงก็คือ เฉินซินหลานได้ให้กำเนิดบุตรชายฝาแฝด ทว่าในเมื่อสถานการณ์เป็เช่นนี้ นางจึงยังไม่อาจเดินทางไปเมืองหลวงได้”
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] ตราพยัคฆ์(虎符)สัญลักษณ์ที่ใช้ในการยืนยันสิทธิ์การเคลื่อนทัพของจีน