ยามนี้อวิ๋นซีอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก จึงโบกมือให้พวกสาวใช้ออกไปก่อน จากนั้นจึงลุกขึ้นมองไปรอบทิศ สวนชิงเฟิงนี้ไม่ใช่ซินฝาง แต่เป็ที่พำนักของจวินเหยียน ซึ่งเป็เช้าวันที่สองของการแต่งงานที่เขาให้คนขนสัมภาระของนางย้ายมาที่นี่
นางยังจำได้ ในตอนนั้นที่นางถาม แล้วเขาก็ตอบกลับมาเพียงว่า ‘เป็สามีภรรยากันไม่ควรอยู่ด้วยกันหรือ? หรือว่าเ้ายัง้าเรือนพักส่วนตัว เลิกฝันไปได้เลย’
ตอนนั้นนางไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะบรรยายความรู้สึกในใจของตนอย่างไร จำได้ว่ากาลก่อนตอนที่แต่งงานกับโอวหยางเทียนหัว นางยังมีตำหนักส่วนตัวเป็ของตนเอง ซึ่งตอนหลังนางเคยถามหาเหตุผลนั้น และได้ทราบมาว่า นี่เป็หนึ่งในกฎของบรรพชน
เมื่อหวนนึกถึงอีกครั้ง นางก็คิดไปว่า คงั้แ่ตอนนั้นกระมังที่เขากำลังคิดหาทางว่าจะจัดการกับคนตระกูลเฉียวอย่างไร เพราะหลังจากนั้นก็มีสามภรรยาสี่อนุ ทว่าเมื่อก่อนนางยังหลงเชื่อในคำพูดของอีกฝ่ายด้วยความโง่งม ทั้งยังคงเชื่อว่านี่เป็กฎที่บรรพชนทิ้งไว้จริงๆ
อวิ๋นซีทอดถอนใจ บางครั้งถ้อยคำที่จวินเหยียนพูดมักจะถูกนางนำมาเปรียบเทียบกับโอวหยางเทียนหัว และยิ่งนานวันเข้า นางก็ยิ่งใที่จู่ๆ เพิ่งจะรู้สึกได้ว่า คนทั้งสองแตกต่างอย่างไม่อาจนำมาเทียบกันได้เลยโดยไม่รู้ตัว หากจะให้พูด โอวหยางจวินเหยียนดีกว่าโอวหยางเทียนหัวมากเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็การจัดการสิ่งต่างๆ ของเขา หรือว่าท่าทีที่เขามีต่อนาง
“กำลังคิดอันใดอยู่หรือ? ” จวินเหยียนเดินเข้ามาข้างกายนาง และถามเสียงเบา ก่อนหน้านี้เื่ที่เกิดขึ้นในเรือนรับรองด้านหน้า เขาเองก็ทราบทั้งหมดแล้ว รวมถึงทุกถ้อยคำที่นางพูดกับสาวใช้ด้วย เมื่อคิดถึงว่านางเชื่อใจตนถึงเพียงนี้ เขาก็แทบรอไม่ไหวอยากจะเจอนางเสียเดี๋ยวนั้น
อวิ๋นซีเงยหน้ามองบุรุษข้างกาย จากนั้นก็ยิ้มๆ แล้วตอบ “ไม่มีอะไรมากหรอก ข้าแค่กำลังคิดอยู่ว่า วันพรุ่งนี้หยวนอวี่จะฟ้องท่านว่าอย่างไร”
เมื่อจวินเหยียนได้ฟังแล้วก็รีบตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจยิ่ง “ก็อย่างที่เ้าว่า ข้าไม่มีทางเชื่อนางหรอก อีกเื่หนึ่ง มันเทศที่เ้าเคยบอก ข้าหาเจอแล้ว ทั้งยังพาชาวบ้านจากเจียงหนานที่มีฝีมือในการปลูกมันเทศกลับมาด้วยอีกหลายคน เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะให้พวกเขาช่วยชี้แนะชาวบ้านเราเพาะปลูกมันเทศ”
อวิ๋นซีมองเขาด้วยความใเล็กน้อย มิคาดคนผู้นี้จะทำอะไรรวดเร็วเพียงนี้ สิ่งหนึ่งที่ควรต้องรู้ การจะเดินทางจากแดนตะวันตกเฉียงเหนือไปยังเจียงหนาน ต่อให้ควบม้าเร็วก็ยังต้องใช้เวลานานมาก อีกทั้ง หากนับระยะเวลาจากตอนที่นางเคยพูดเื่มันเทศกับเขา นี่ก็ผ่านไปแค่ครึ่งเดือนเท่านั้น บุรุษผู้นี้กลับสามารถให้คนของตนไปสรรหาพันธุ์มันเทศกลับมาได้แล้ว
“จวนอ๋องมีวิธีส่งสารในแบบของตัวเอง ต่อให้จะเป็สารจากเมืองหลวงส่งมาที่นี่ก็ไม่จำเป็ต้องใช้เวลาถึงเจ็ดวัน” เขาเดาความเคลือบแคลงของนางออก จึงแย้มยิ้มตอบไป
อวิ๋นซีที่เพิ่งนึกถึงปัญหาที่พบครั้นอยู่ในหมู่บ้านสกุลโจวออก นางจึงเล่าให้จวินเหยียนฟังทั้งหมด “ชาวบ้านใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ราชสำนักมีการออกกฎเป็ลายลักษณ์อักษรว่า พื้นที่รกร้างหรือพื้นทีู่เาที่ถางใหม่ในระยะเวลาที่กำหนดไม่ต้องส่งส่วย”
เมื่อจวินเหยียนได้ยินก็ถึงกับหน้าเขียว “วางใจเถิด เื่นี้ข้าจะให้คนไปสืบความให้แน่ชัด และทันทีที่ได้หลักฐานเ่าั้มาอยู่ในมือ เปิ่นหวางจะทำลายเ้าขุนนางสุนัขนั่นเสีย” ในเื่ร้ายๆ ก็พอจะมีเื่ราวดีๆ บ้าง อย่างน้อยเขาจะได้อาศัยโอกาสนี้เพื่อผลักดันคนของตนให้ขึ้นไปดำรงตำแหน่งเ่าั้แทน
“จวินเหยียน เื่มากมายนี้จำเป็ต้องดูให้มาก ฟังให้มาก ถามให้มาก แล้วท่านจะได้ทราบว่าเื่ที่คนอื่นรายงานท่านเ่าั้ล้วนผ่านการแต่งเติมให้ดีงามหรือจากผิดเป็ชอบมาแล้วทั้งสิ้น” หานโจวเป็เขตแดนที่จวินเหยียนได้รับพระราชทานมา ดังนั้น เขาถือเป็าาของดินแดนแห่งนี้ ไม่ว่าจะเื่ใหญ่น้อยในหานโจวล้วนมีเขาเป็ผู้จัดการดูแล ทว่าสารและฎีกาเ่าั้ที่มาถึงโต๊ะเขาจะมีกี่มากน้อยกันที่เป็เื่จริง?
เมื่อจวินเหยียนได้ยินคำของนาง เขาก็พยักหน้าแล้วตอบคำ “เปิ่นหวางรู้แล้ว ลำบากเ้าแล้ว” นางช่างเป็ภรรยาผู้คอยช่วยเหลือเขาได้ดีจริงๆ การได้มีภรรยาเช่นนี้อยู่ข้างกาย ชั่วชีวิตนี้ของเขานับว่าพอใจแล้ว
ก่อนหน้านี้เขามีโอกาสได้เห็นเหล่าภรรยาและอนุที่ต่างอิจฉาริษยาและตบตีแย่งชิงกันจนคุ้นชินสายตาแล้ว ด้วยเื่นี้จวินเหยียนจึงคิดได้ว่า การได้มีคนรู้ใจเพียงหนึ่งเดียวอยู่เคียงข้างตนถือว่าดีที่สุด เพราะหากอยากจะมีสตรีมากก็ต้องมีวาสนาในด้านนี้ถึงจะเป็สุขได้ หรือจะลองดูอย่างลู่เหวินเจิ้นนั่นก็ได้ อีกฝ่ายถูกภรรยาตนสวมหมวกเขียวให้ คิดๆ ไปแล้วนี่ก็ถือเป็การหยามเหยียดอย่างมากจริงๆ
นอกจากนี้ ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่า อวิ๋นซีได้ปิดใจตนเป็ที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งยังรู้ดีว่า หากอยากจะบุกเข้าไปให้ถึงใจนางได้นั้นก็หาใช่เื่ง่าย ทว่า ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่มีวันยอมแพ้
อวิ๋นซีส่ายหน้า “เป็เื่ที่ข้าควรทำอยู่แล้ว”
จวินเหยียน อืม ออกมาเสียงหนึ่ง “นี่เป็เื่ที่ชายาควรทำจริงๆ ”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินก็รู้สึกว่าประโยคนี้ฟังแล้วแปลกๆ เพราะคำที่นางบอกเขาว่าเป็สิ่งที่ตนควรทำ นั่นก็เพราะพวกเขากำลังร่วมมือกันอยู่ แต่พอเปลี่ยนเป็ปากเขาที่พูดคำคำนี้ออกมาบ้างกลับดูเหมือนว่า ความหมายของมันจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
รู้อยู่ว่าบุรุษผู้นี้เป็คนชอบพูดจาไร้สาระ นางจึงไม่อยากเก็บไปคิดเล็กคิดน้อย “ถ้าเช่นนั้น ท่านก็หาเวลารวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับหมู่บ้านและอำเภอต่างๆ ในหานโจวมาให้ข้า เพราะข้าจะต้องรู้สถานการณ์ในพื้นที่เ่าั้ให้ชัดเจนก่อน ถึงจะได้รู้ว่าควรจะเปลี่ยนแปลงสถานที่นั้นได้อย่างไร”
จวินเหยียนเผยรอยยิ้มเย้ายวนราวปีศาจออกมาอีกครั้ง “ได้ ทว่าหากถึงยามนั้นแล้ว ชายารักก็อย่าได้ลำบากจนเกินไป มิเช่นนั้นเปิ่นหวางจะปวดใจได้”
อวิ๋นซีแค่นเสียงเ็า “ยิ้มอะไรของท่าน ไม่รู้หรือว่าข้าเกลียดรอยยิ้มนี้ของท่านที่สุด”
จวินเหยียนมองตามแผ่นหลังนางที่สะบัดชายแขนเสื้อจากไป และอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นเสียงเบาๆ “หรือว่ารอยยิ้มของข้าไปหาเื่เ้าหรือไร”
แม้เสียงพึมพำของเขาจะไม่ดังนัก แต่อวิ๋นซีที่ยังเดินไปได้ไม่ไกลย่อมต้องได้ยินแน่ มุมปากหญิงสาวถึงกับโค้งขึ้น และได้แต่คิดอยู่ในใจ เป็ที่แน่นอนว่ารอยยิ้มท่านหาเื่ข้าแล้ว ก็ยิ้มของท่านน่ามองเพียงนั้น นี่ไม่ต่างกับการล่อลวงให้คนทำผิด
อวิ๋นซีเดินไปที่ห้องหนังสือ ก่อนจะเจอตำราบันทึกประวัติศาสตร์อย่างไม่เป็ทางการของรัชสมัยนี้อยู่เล่มหนึ่ง ทว่า ตอนที่กลับมาถึงห้องตนกลับพบว่า จวินเหยียนเองก็ยังอยู่ที่นี่เช่นกัน นางขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถาม “หรือว่าท่านคิดจะค้างคืนที่สวนชิงเฟิงนี้”
ตอนนี้ก็ยามไห่แล้ว แต่คนผู้นี้กลับยังไม่ยอมออกไปอีก อย่าคิดว่านางโง่จนไม่รู้ว่า ที่สวนชิงเฟิงนี้มีเส้นทางลับให้สามารถออกไปได้โดยไม่ต้องผ่านประตูหน้า ทว่าตอนนี้เขากลับยังรั้งอยู่ที่นี่
การไม่จากไปของเขานี้ก็เหมือนกำลังบอกนางว่า เขาจะรั้งอยู่ที่นี่
จวินเหยียนพยักหน้า “ใช่แล้ว เปิ่นหวางจะค้างคืนที่สวนชิงเฟิง” เขาเดินไปข้างกายนาง ขบคิดอีกชั่วครู่แล้วจึงเขยิบเข้าไปใกล้ พูดข้างหูนาง “หยวนอวี่เองก็พักอยู่ที่นี่ หากมีคนรู้ว่าเปิ่นหวางมิได้อยู่ร่วมหอห้องกับภรรยาที่ห้องนี้ นี่จะมิใช่เป็การบอกนางหรือว่า ความรักลึกซึ้งระหว่างเราเป็เื่โกหก”
“โอวหยางจวินเหยียน ท่านกำลังหลอกใครอยู่กันแน่ อย่าบอกข้านะว่า เส้นทางลับในสวนชิงเฟิงที่สามารถออกไปสู่ภายนอกได้นั่น ท่านไม่รู้” อวิ๋นซีกัดฟันมองเขาด้วยสายตาเ็า อย่าคิดว่าจะมาแกล้งโง่อยู่ที่นี่แล้วจะไม่เป็ไร
จวินเหยียนลูบๆ จมูกตนแก้เขิน ก่อนจะยิ้มถาม “เื่นี้เ้าก็รู้ด้วยหรือ? ”
อวิ๋นซีแค่นเสียงเ็า “จะไปไม่ไป”
“ข้าจะบอกให้นะแม่หญิง เปิ่นหวางเป็ท่านอ๋อง เป็สามีของเ้า เ้าจะทำเช่นนี้กับข้าไม่ได้” จวินเหยียนเองก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ต่อให้จะได้ยินนางพูดกับตนอย่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเช่นนี้ เขากลับไม่ได้รู้สึกว่านางสมควรมีโทษแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม คำพูดและการกระทำนี้กลับทำให้เขารู้สึกได้ถึงความจริงใจ และความน่ารักของนาง
เพียงแต่การไล่สามีตนให้ออกไปอย่างไม่เกรงกลัวเช่นนี้ เกรงว่าหากลองถามไถ่บุรุษทั่วหล้าก็คงจะมีอวิ๋นซีเพียงคนเดียวที่กล้าทำ เขาขมวดคิ้ว ทว่า สุดท้ายก็ได้แต่พูดออกไปอย่างปลงๆ “เอาเถิด ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
เมื่อพูดจบ เขาก็เดินไปยังภาพเขียนอักษรข้างกำแพง ทว่าในตอนที่เขากำลังคิดจะแตะกลไกนั่น จู่ๆ อวิ๋นซีก็ทักขึ้น “รอเดี๋ยว ข้ามีคำถามบางอย่างอยากจะถามท่าน”
เมื่อจวินเหยียนได้ยินดังนั้นก็รีบหันกายกลับมาด้วยท่าทีตื่นเต้น “อยากจะถามอะไรก็ถามมาเถิด” ขอแค่สามารถรั้งอยู่ที่นี่ได้ ต่อให้เ้าอยากจะถามสักหมื่นคำถามก็ไม่เป็ไร
อวิ๋นซีโบกตำราที่ถืออยู่ในมือ “นี่คือบันทึกประวัติศาสตร์อย่างไม่เป็ทางการของรัชศกนี้ ทว่า เหตุใดปีเสี้ยวเหวินที่ยี่สิบกลับว่างเปล่า เมื่อสองปีก่อนที่เมืองหลวงเกิดเื่อะไรขึ้น ใช่หรือไม่? ”