ตอนที่อวิ๋นซีได้ยินว่าเฉินซินหลานให้กำเนิดบุตรชายฝาแฝดนั้น นางก็ดีใจเป็อย่างยิ่ง ความรักนอกขนบของพี่รองได้ทิ้งทายาทไว้ให้ตระกูลเฉียว นางตื่นเต้นจนต้องกัดริมฝีปากด้วยกลัวว่าตนจะเผลอหลั่งน้ำตาออกมา
“เฉินซินหลานเป็สตรีที่เฉลียวฉลาดและมีความสามารถ ในเมื่อยามนั้นยังไม่อาจพาลูกๆ ไปยังเมืองหลวงได้ นางจึงนำเงินที่เหลืออยู่มาเปิดร้านขายผ้าเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพทั้งสามชีวิต ลายผ้าที่นางออกแบบนับว่าไม่เลว อีกทั้งความสามารถในการเย็บปักก็ดีมาก กิจการร้านผ้าจึงไปได้ดียิ่ง และก็ร้านผ้านี่แหละที่ช่วยให้นางสามารถเลี้ยงลูกๆ ให้อยู่รอดมาได้ กระทั่งรัชศกเสี้ยวเหวินปีที่ยี่สิบ นางคิดว่าลูกตนมีอายุได้ขวบกว่าแล้ว ก็สมควรที่จะพาพวกเขาไปยังเมืองหลวงได้แล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่นางคาดไม่ถึงก็คือ วันที่นางไปถึงเมืองหลวงนั้นเป็วันเดียวกับที่คนทั้งตระกูลเฉียวโดนตัดหัวปะาชีวิต นางได้เห็นคนที่รักและตระกูลของเขาถูกสังหารสิ้น และด้วยเหตุการณ์นั้นเองที่ทำให้นางทุกข์ระทมยิ่งจนในตอนหลังถึงขั้นล้มป่วยหนัก แต่เมื่อหายดีแล้วจึงได้พาลูกๆ กลับไปยังเมืองผิง และพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปิดบังฐานะของลูกๆ ไว้ เพราะนางอยากจะเหลือทายาทไว้ให้ตระกูลเฉียว”
ยิ่งได้ฟัง ในใจของอวิ๋นซีก็ให้รู้สึกซาบซึ้งต่อพี่สะใภ้รองผู้ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเป็อย่างยิ่ง หากไม่ใช่เพราะสตรีผู้นั้น ตระกูลเฉียวคงได้สิ้นทายาทไปแล้วจริงๆ เมื่อฟังจบ อวิ๋นซีก็ได้แต่พยายามจดจำข้อมูลเ่าั้...เมืองผิง เฉินซินหลาน
ขณะเดียวกันนั้นจวินเหยียนเองที่พูดไปสังเกตสีหน้าของอวิ๋นซีไป ทันทีที่เล่าจบ เขาก็มั่นใจเต็มเปี่ยมว่า นางจะต้องมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับตระกูลเฉียวแน่ แต่ว่า ก่อนหน้านี้เขาเคยลองทดสอบอวิ๋นซานไปแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับบอกเพียงว่าไม่รู้จักมักคุ้นกับคนตระกูลเฉียวมาก่อนเลย
ด้วยเื่นี้ เขาเชื่อว่าอวิ๋นซานไม่ได้หลอกตน ขณะที่สีหน้าของอวิ๋นซีเองก็ไม่เหมือนว่าจะโกหก เื่เหล่านี้เขาคงได้แต่ต้องค่อยๆ สืบค่อยๆ วิเคราะห์ไปโดยละเอียดทีละจุด ทีละจุด เมื่อคิดมาถึงตรงนี้เขาก็ยื่นมือออกไปสวมกอดนางไว้แล้วพูดเสียงเบา “อวิ๋นซี เ้าต้องจำไว้ว่า เื่ของตระกูลเฉียวนั้นได้ผ่านไปแล้ว ดังนั้น ในวันหน้าก็อย่าได้คิดถึงเื่ราวเหล่านี้อีกเลย นับแต่นี้ไปไม่ว่าจะเกิดเื่อะไรขึ้น อนาคตของเ้าจะมีข้าอยู่ข้างกายเ้าเช่นนี้เสมอ”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินคำพูดปลอบโยนของเขา นางก็อึ้งไปเล็กน้อย “เื่ของตระกูลเฉียวก็ผ่านไปตั้งนานแล้วมิใช่หรือ? ” หรือว่าเมื่อครู่นางจะเผลอไผลแสดงกิริยาใดออกไปมากเกินจนเป็เหตุให้เขาสงสัยในตัวนางขึ้นมาแล้ว นี่เขากำลังทดสอบปฏิกิริยาของนางหรือ?
นางผลักเขาออก จากนั้นก็ยิ้มน้อยๆ “จวินเหยียน ข้าอยากพักผ่อนแล้ว”
จวินเหยียนที่เดิมทียังแอบดีใจด้วยนึกว่าตนคงจะไม่ต้องจากไปแล้ว แต่เมื่อได้ยินประโยคนี้เข้า สีหน้าอ่อนโยนพลันเปลี่ยนไปทันใด “ข้าจะนอนบนตั่งกุ้ยเฟย” นางเอาแต่จะไล่ให้เขาออกไป แต่ยามนี้เขาจะไม่ไปไหนทั้งนั้น เพราะหากยอมนางครั้งหนึ่งก็ต้องมีครั้งสอง จู่ๆ เขาก็ค้นพบว่า หากครั้งนี้เขายอมอ่อนข้อ ครั้งหน้าหากอยากรั้งอยู่ก็คงยากแล้ว ดังนั้น เขาจึงไม่ควรทำตามสิ่งที่นางปรารถนาั้แ่คราวแรก
ใครจะสนกันว่า ตอนแรกนางจะแต่งเข้ามาด้วยเหตุผลใด ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้พวกเขาก็เป็สามีภรรยากันแล้ว
อวิ๋นซีมองดูชายหนุ่มที่ไม่แม้แต่จะรอให้นางตอบตกลงหรือปฏิเสธ อีกฝ่ายก็เอาแต่เดินดุ่มๆ ไปอุ้มผ้าปูผ้าห่มมาจากตู้ที่อยู่อีกด้านแล้วจึงเดินไปบนตั่งกุ้ยเฟย จากนั้นก็ล้มตัวลงนอน คนผู้นี้ตั้งใจจะรั้งอยู่ต่อ?
เมื่อพิศท่าทางเช่นนี้ก็พอจะรู้แล้วว่า ตนคงไม่มีทางไล่ให้เขาออกไปได้แน่แล้ว อวิ๋นซีที่ได้แต่ต้องยอมรับในชะตากรรมจึงทำเพียงเอนกายลงบนเตียง อ่านหนังสือ...เพียงแต่นางที่อ่านไปได้ไม่นาน จู่ๆ ก็มีคนเรียก “อาซี”
นางเงยหน้าขึ้น เห็นเพียงคนผู้นั้นทำทีเป็หลับต่อ
และรอกระทั่งนางอ่านไปได้อีกครู่หนึ่ง คนคนนั้นก็เรียกอีก “อาซี”
เหตุการณ์ยังคงดำเนินไปเช่นนี้อยู่อีกหลายครั้ง ท้ายที่สุดเป็อวิ๋นซีที่ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว นางเดินเข้าไปแล้วดึงผ้าห่มบนร่างของจวินเหยียนออกจนมันร่วงหล่นลงไปบนพื้น “จวินเหยียน ท่านออกไปเลยนะ” นางทราบแน่ชัดแล้วว่าคนผู้นี้จงใจจะก่อกวน ทั้งยังรู้อยู่แล้วว่าตนไม่ควรปล่อยให้เขารั้งอยู่ในห้องตนเองต่อไป
จวินเหยียนเห็นนางะเิความโกรธออกมาก็รีบพูดขึ้น “หากยังดึงอีก ข้าจะนอนกอดเ้าแทน” เมื่อพูดจบ ชายหนุ่มก็ยื่นมือออกไปหวังจะดึงคนเข้ามาจริงๆ แต่อวิ๋นซีที่ตอบสนองได้อย่างรวดเร็วกลับสามารถหลบหลีกได้ทัน
“ท่านแน่มาก! ” ยามนี้นางกลัวเขาแล้ว หากข้าไม่อ่านหนังสือต่อก็คงดีกว่ากระมัง
เมื่อพูดจบ นางก็กลับไปนอน ส่วนจวินเหยียนเองก็รู้สถานการณ์ดีจึงไม่คิดรบกวนนางอีก แท้จริงแล้วเขาก็แค่ไม่อยากให้นางอ่านหนังสือตอนค่ำ เพราะการทำเช่นนั้นไม่ดีต่อสายตา
ยามนี้สวนชิงเฟิงเงียบสงบยิ่ง ทว่า เรือนฉิ่นเยว่ที่ตั้งอยู่ในเรือนชั้นสี่กลับแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง
หยวนอวี่มองดูห้องหับที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ซึ่งสวนทางกับอารมณ์ที่ไม่ดีของนาง ตอนนี้ใบหน้างามถึงกับดำคล้ำขณะเหม่อมองวงคลื่นกระเพื่อมไหวที่สะท้อนรับแสงจันทร์ในแม่น้ำฉิ่นเยว่ ยิ่งนึกถึงอวิ๋นซี นางก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นทุกขณะ
“เสี้ยนจู่ บ่าวไปสืบเื่ของสตรีนางนั้นมาแล้วเ้าค่ะ” สาวใช้ข้างกายคนสนิทของหยวนอวี่ อิ๋งอิ๋งเดินเข้ามา ก่อนจะกระซิบเสียงเบา “แท้จริงแล้วท่านอ๋องเพิ่งจะเข้าพิธีอภิเษกสมรสไปเมื่อสามวันก่อนนี้เองเ้าค่ะ ส่วนสตรีนางนั้นเดิมทีเป็หมอหญิงที่อยู่ในโรงหมออวิ๋นซานของนครหานโจวนี้ นางเป็เพียงสตรีต่ำศักดิ์ แต่ข่าวลือกลับบอกว่าวิชาแพทย์ของนางสูงส่งยิ่ง ทั้งยังเป็ที่ชมชอบของคนในนครหานโจวไม่น้อย แม้แต่บรรดาฮูหยินผู้รุ่มรวยสูงศักดิ์เองก็ยังชื่นชอบในสตรีที่มีนามว่าอวิ๋นซีผู้นี้มาก ทว่า ไม่มีใครรู้ว่านางไปรู้จักกับท่านอ๋องได้อย่างไร”
หยวนอวี่คิดไม่ถึงว่าสตรีที่ดูสูงศักดิ์ไปทั้งร่างผู้นั้นจะมีชาติกำเนิดที่ต่ำศักดิ์เช่นนี้ อีกทั้ง บรรยากาศรอบกายอีกฝ่ายก็หาได้เหมือนหมอหญิงธรรมดาๆ ไม่ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ นางก็รู้สึกได้ทันทีว่า ตนได้เจอกับคู่ปรับที่ร้ายกาจเข้าให้แล้ว ถึงกระนั้นเมื่อคิดถึงชาติกำเนิดของอีกฝ่าย หยวนอวี่ก็อดยิ้มไม่ได้ “เป็แค่หมอหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง แต่กลับกล้าเพ้อฝันถึงตำแหน่งชายาหานอ๋อง ช่างเป็ความฝันที่เหลวไหลสิ้นดี”
ก่อนจะมาที่หานโจวนี้ บิดาได้บอกกล่าวแก่นางว่า ขอแค่จวินเหยียนยอมแต่งงานกับนาง ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด เขาก็จะช่วยให้อีกฝ่ายได้กลับไปยังเมืองหลวงโดยเร็ว ทั้งยังจะช่วยอย่างเต็มที่เพื่อแย่งชิงบัลลังก์คืนมา
การได้แต่งกับนางจะช่วยให้จวินเหยียนได้รับการสนับสนุนจากหยวนจวิ้นอ๋อง อันที่จริงพี่จวินเหยียนจักต้องเป็คนที่รู้จักหนักเบาเป็อย่างดีแน่ และเหตุที่ตอนนี้สตรีชั้นต่ำนั่นยังคงวางท่าอยู่ในจวนนี้ได้ก็เป็เพราะพี่จวินเหยียนยังไม่ทราบถึงความตั้งใจของเสด็จพ่อ หากนางเร่งบอกเื่นี้กับเขา เขาจะต้องตัดสินใจได้อย่างแน่นอน
ในสายตาของนาง พี่จวินเหยียนต่างหากที่มีคุณสมบัติเหมาะจะเป็ฉู่จวิน ส่วนโอวหยางเทียนหัวเป็ใครกัน หากตอนนั้นไม่ใช่เพราะเฉียวอวิ๋นซีผู้นั้นมาช่วยเขาไว้ คนย่อมไม่มีทางได้กลายมาเป็รัชทายาทดังเช่นทุกวันนี้แน่ ทว่าตอนนี้เฉียวอวิ๋นซีก็ได้ตายไปแล้ว ด้วยเหตุนี้ ขอแค่ตนและพี่จวินเหยียนแต่งงานกัน เมื่ออีกฝ่ายได้กลับไปยังเมืองหลวง นางก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยพี่จวินเหยียนดึงโอวหยางเทียนหัวลงมาจากตำแหน่งนั้นให้จงได้
อิ๋งอิ๋งพยักหน้า “ถูกแล้วเ้าค่ะ คุณหนูเป็ถึงเสี้ยนจู่ แม้แต่ฮองเฮาและไทเฮาก็ล้วนตรัสว่าคุณหนูของบ่าวสง่างามเพียบพร้อม ดังนั้นบนโลกนี้ย่อมมีเพียงคุณหนูที่เป็ลูกรักของ์เท่านั้นที่จะเหมาะสมกับองค์หานอ๋อง ส่วนอวิ๋นซีอะไรนั่นสมควรที่ต้องหลีกไปเสีย”
สาวใช้ในชุดเขียวที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งรีบก้าวมาด้านหน้าแล้วพูดเสริม “คุณหนูเ้าคะ บ่าวเห็นว่า ถึงแม้อวิ๋นซีนางนั้นจะเพิ่งแต่งเข้ามาได้ไม่กี่วัน แต่คนของจวนอ๋องก็ดูจะเคารพนางเป็อย่างยิ่ง ตอนนี้พวกเราจึงยังไม่ควรคิดทำการใดให้มากมายนัก อย่างไรเสียคุณหนูก็รับพระบัญชาจากฝ่าาให้มาพักผ่อนอยู่ที่นี่ เหตุใดจึงไม่รอเวลาและโอกาสที่เหมาะสมกว่านี้เสียหน่อยเล่าเ้าคะ”
หากคิดจะต่อกรกับอวิ๋นซีขึ้นมาในยามนี้นับเป็ความคิดที่ไม่ฉลาดอย่างที่สุด นางหวังว่าคุณหนูของตนจะเข้าใจในสถานการณ์นี้
หยวนอวี่มองสาวใช้ชุดเขียว นางยิ้มแล้วจึงกล่าวตอบ “เตี๋ยอีพูดไม่ผิดสักนิด ตอนนี้สิ่งที่พวกเราควรทำก็คือสงบเสงี่ยมไว้ จะให้พี่จวินเหยียนเกลียดข้าไม่ได้ และยิ่งจะให้อวิ๋นซีกุมความลับจับพิรุธใดไปพูดว่าร้ายข้าต่อหน้าพี่จวินเหยียนก็ไม่ได้เป็อันขาด”
เมื่อได้ทราบว่าคุณหนูคิดได้เช่นนี้ ใจของเตี๋ยอีก็ยินดียิ่ง “คุณหนูเ้าคะ ยังมีอีกเื่เ้าค่ะ หานอ๋องมีพระธิดาอยู่องค์หนึ่ง ได้ยินว่าเป็บุตรสาวสายรองที่ได้รับความโปรดปรานจากท่านอ๋องเป็อย่างมาก บ่าวสังเกตจากที่คนในจวนอ๋องต่างเรียกขานนางว่าจวิ้นจู่น้อยก็พอจะทราบได้แล้ว ยิ่งกว่านั้น จวิ้นจู่น้อยที่เป็พระธิดาของหานอ๋องก็ย่อมหมายความว่า คนต้องมีโอกาสได้พบเจอกับอีกฝ่ายมากที่สุด” หากว่าคุณหนูสามารถทำให้จวิ้นจู่น้อยชอบตนได้ นางก็เชื่อว่าท่านอ๋องจักต้องมองคุณหนูใหม่อย่างแน่นอน