ท่ามกลางไฟที่สว่างสลัว หยางหนิงเห็นศาลเ้าที่เสียหายอย่างชัดเจน ดูท่าหลายปีก่อนรอบๆ ที่นี่น่าจะมีคนอาศัยอยู่ไม่น้อยเลย แล้วทำไมตอนนี้ถึงได้กลายมาเป็แบบนี้ล่ะ
พระพุทธรูปในศาลเ้ามันหล่นลงมาจากแท่นวางแล้ว บ้างก็หัก บ้างก็แตก บวกกับฝุ่นที่หนากับหยากไย่ ก็มองไม่เห็นแล้วว่ามันเป็เทพองค์ไหน
แต่ว่าระดับของแท่นวางมันกลับสูงกว่าบริเวณอกของหยางหนิง คิดว่าตอนที่สร้างศาลเ้า คงหนื่อยมากไม่น้อยเลย
ในมือไม่มีหม้อชาม หยางหนิงหาอยู่พักหนึ่ง ก็เจอกระถางธูป คิดว่าน่าจะเอามาใช้บูชา แต่มันสกปรกมาก ก็เลยเอามาล้างน้ำฝนข้างนอก แต่ก็ไม่ได้สะอาดขนาดนั้น แต่ก็ได้แค่นี้ เขารองน้ำฝนมาครึ่งกระถาง แล้วนำกลับมาต้ม
เขากลับไปนำเสื้อผ้าของเซียวกวงมากองไว้หน้ากองไฟ เพื่ออบให้แห้ง ในใจก็คิดว่าข้าดีกับเ้าจนถึงที่สุดแล้ว หากไม่ได้ข้าคนนี้ ชีวิตเ้าคงไม่รอดแล้ว
ทันใดนั้นก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าม้ายังอยู่ข้างนอก ก่อนหน้านี้รีบ อุ้มเซียวกวงเข้ามาในนี้ ทรมานมาเกือบครึ่งวัน กลับลืมผูกม้าซะได้
เขารีบวิ่งออกไป ในใจรู้สึกกังวล ไม่ผิดจากที่คาดไว้ม้าหายไปแล้ว เขาตามหาไปจนทั่วศาลเ้า แต่ก็ไม่เห็นแม้เงาของมันเลย เขารู้สึกโกรธมาก โกรธตัวเองที่สะเพร่าแบบนี้ คิดจะตามหาม้ากลับมา แต่ว่าฝนตกหนักขนาดนี้ จะไปตามหาได้จากที่ไหน เขาเก็บความโกรธของเขาแล้วกลับเข้าไปในศาลเ้า เห็นเซียวกวงนอนนิ่งอยู่ ในใจก็คิดว่าหากไม่เพราะช่วยเ้า ข้าคงไม่เสียม้าไป เขาแทบอยากจะดึงตัวเซียวกวงขึ้นมากระทืบให้ตายตรงนั้น
เมื่อน้ำในกระถางธูปเริ่มเดือด หยางหนิงก็นำกระถางธูปออกจากกองไฟ รอจนมันอุ่นๆ ลองว่าร้อนไหม แล้วก็พยุงเซียวกวงขึ้นมา แล้วป้อนน้ำเข้าปากของเขาไป เซียวกวงสะลึมสะลือ แต่ก็อ้าปากแต่โดยดี เขาดื่มเข้าไปเล็กน้อย จากนั้นก็ส่ายหัวเบาๆ หยางหนิงปล่อยเขานอนลง จากนั้นก็ฉีกเสื้อผ้าส่วนหนึ่งมาจากชุดของเซียวกวง แล้วเทน้ำที่เหลือลงบนผ้านั้น หลังจากนั้นก็แปะไปที่หน้าผากของเซียวกวง
ฝนด้านนอกซาลงไปมาก ตอนนี้ไม่รู้กี่โมงแล้ว หยางหนิงเริ่มรู้สึกเหนื่อย กำลังคิดที่จะก่อกองไฟทิ้งไว้แล้วงีบสักหน่อย ทันใดนั้นเอง ก็รู้สึกเจ็บเหมือนโดนอะไรทิ่มที่หน้าอก หัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้น เส้นชีพจรบริเวณหน้าอกเหมือนกำลังกระตุก
หยางหนิงกุมไปที่หน้าอก อาการเจ็บมันมาหลังจากที่ชีพจรกระตุกสลับแรงเบาไปมา เหงื่อของหยางหนิงเริ่มออกจากหน้าผาก ในใจก็ใ “หรือว่าพิษาแจะกำเริบ?”
มู่เซิ๋นจวินใช้วิชามือไม้เปื่อยตายซัดจนชีพจรของหยางหนิงาเ็ มันก็เคยกำเริบขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่หลังจากนั้นหยางหนิงก็ไม่ได้รู้สึกว่าไม่สบายตัวตรงไหนอีก
หลังจากวันที่พลังภายในของมู่เซิ๋นจวินถูกดูดจนหมด หยางหนิงเคยกังวลว่าพิษาแนี้จะไม่มีใครสามารถแก้ได้ แต่หลังจากนั้นสองวัน ชีพจรภายในก็ไม่ได้มีอาการอะไรเลย หยางหนิงก็แทบลืมไปแล้วว่าตัวเองาเ็อยู่
ในตอนนี้อาการเ็ปของเขากำเริบขึ้นอีกครั้ง หยางหนิงนึกถึงมู่เซิ๋นจวินขึ้นมา
อาการเ็ปในครั้งนี้มันรุนแรงกว่าครั้งแรกมาก หยางหนิงเจ็บเจียนตาย ปวดหัวตาลาย ปวดทรมานไปทั่วทั้งตัวจนไร้เรี่ยวแรง เขากลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้น หวังว่าจะมีอะไรมาบรรเทาอาการปวดนี้ลงได้
หายใจลำบาก หยางหนิงเริ่มสะลึมสะลือ ในสมองว่างเปล่า
เมื่อเขาได้สติคืนมา ก็พบว่าตัวเองสลบล้มลงกับพื้น รอบๆ อากาศหนาวเย็น พอเขาลุกขึ้นนั่ง ก็พบว่ากองไฟมอดเกือบหมดแล้ว ถึงได้รู้ว่าตัวเขานั้นสลบไป
หยางหนิงรีบจับไปที่บริเวณหน้าอก ความเ็ปทิ่มแทงนั่นมันหายไปแล้ว
เขาจึงหยิบเศษไม้โยนเข้ากองไฟเพื่อเพิ่มไฟ ในตอนนี้เขาก็พบว่า เสื้อผ้าเปียกๆ ของเขามันแห้งจนหมดแล้ว
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงของเซียวกวงที่พูดด้วยเสียงอู้อี้ว่า “อาจารย์ รีบหนีไป...รีบหนีไปซะ!”
หยางหนิงมองไป เห็นเซียวกวงนอนคดอยู่กลางกองหญ้าแห้ง แต่ว่าสีหน้าซีดเซียวของเขาก่อนหน้านี้ มันเหมือนเริ่มมีเืฝาดขึ้นมาบ้างแล้ว เขาดึงผ้าที่แปะอยู่บนหน้าผากของเขาออกเพื่อวัดอุณหภูมิ ความร้อนลดลงไปไม่น้อย แต่ว่าก็ยังคงร้อนอยู่
“อาจารย์ ไม่ต้อง...ไม่ต้องห่วงข้า...!” ร่างกายของเซียวกวงสั่นเทา ในใจเอาแต่พูดว่า “ท่าน...ท่านไปก่อนเถอะ...!”
หยางหนิงคิดในใจว่าเ้าเด็กนี้เป็คนมีคุณธรรมจริงๆ ขณะละเมอยังนึกถึงแต่คนอื่น
เขากำลังคิดว่า “อาจารย์” ที่เซียวกวงพูดถึง น่าจะเป็ชายชุดเทา เซียวกวงเรียกเขาว่าอาจารย์ มันทำให้เขารู้สึกแปลกใจ สรุปแล้วเขาสองคนมีความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่
หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียง “อ๊าก” ดังขึ้น เซียวกวงดีดตัวลุกขึ้นนั่ง ท่ามกลางแสงไฟ เห็นเพียงสีหน้าที่ซีดเซียวขอเซียวกวง ที่เต็มไปด้วยเหงื่อ สายตาดูตื่นใกลัวมาก
หยางหนิงรู้ทันทีว่าเขาน่าจะใเพราะฝันร้าย ก็เลยนั่งมองเขาข้างๆ กองไฟ ไม่พูดอะไร
เซียวกวงใตื่นขึ้นมา เขามองไปที่กองไฟที่อยู่ด้านหน้า ยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่หน้า หนังตาของเขายังไม่เปิดเต็มตา เหมือนยังสะลึมสะลืออยู่ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีแรงว่า “ที่...ที่นี่ที่ไหน?” พูดจบ ร่างกายก็ล้มลงไปนอนอีก หยางหนิงยังไม่ทันพูดอะไร ดวงตาของเด็กหนุ่มก็ปิดลงอีก
ฝนด้านนอกถึงแม้จะซาไปไม่น้อยแล้ว แต่ก็ยังคงตกลงมาอย่างต่อเนื่องไม่หยุด
หยางหนิงนั่งพิงไปที่แท่นหิน ยื่นมือไปจับหน้าอก แล้วหยิบม้วนตำราภาพพลังเทพหกประสานออกมา ผ่านอะไรมาเยอะ ม้วนตำราภาพเหมือนจะเสียหายไปแค่เล็กน้อยเท่านั้น แต่มันก็ถือว่าหาได้ยากแล้ว
ตลอดทางที่ผ่านมา ทั้งตกบ่อน้ำบ้าง โดนฝนโดนลม ยังมีคลุกวงในกับเซียวกวงจนถูกโคลนอีก ม้วนภาพยังถือว่าอยู่ในสภาพที่ดีมาก ถือว่าตัวของตำราใช้วัสดุจัดทำที่ดีมากๆ
เขาเปิดดูมันหนึ่งรอบั้แ่ต้นจนจบ จำรายละเอียดทุกอย่างตามเส้นแดงได้จนหมด
วันนั้นมู่เซิ๋นจวินตายไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ หยางหนิงก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่วันนี้พอเขาลองทบทวนดูดีๆ ในใจก็แอบคิดว่า การตายของมู่เซิ๋นจวินน่าจะเกี่ยวข้องกับพลังเทพหกประสานแน่ๆ
มู่เซิ๋นจวินมีวรยุทธ์สูงส่งมาก เมื่อเทียบกับตัวเขาเอง ก็เหมือนแพะกับเสือหนึ่งตัว เพราะสุดท้ายเสือก็ตายด้วยเงื้อมมือของแพะ ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่มันจะต้องมีสาเหตุแน่ๆ ความเป็ไปได้หนึ่งเดียว ก็น่าจะเป็พลังเทพหกประสาน
เขาคิดพลันนึกขึ้นมาได้ว่า ขณะที่ล้มปราณพลังภายในของมู่เซิ๋นจวินทะลวงเข้าสู่ร่างกายของเขานั้น ตัวเขาไม่มีทางเลือก จึงเดินลมปราณั้แ่บริเวณไหล่ให้ไล่ไปตามเส้นสีแดงไปจนถึงจุดถานจง แล้วมันอาจจะเป็สาเหตุที่ทำให้มู่เซิ๋นจวินถึงแก่ความตาย หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ตัวเองปล่อยพลังเทพหกประสานออกมาโดยไม่รู้ตัวนั่นเอง
เขายังจำได้อีกว่ามู่เซิ๋นจวินวันนั้นคลั่งเพราะเคยสงสัยว่าม้วตำราภาพพลังเทพหกประสานนี้เป็ของปลอม แถมยังเคยพูดอีกว่าใช้เวลาเกือบสองปีในการตามหาม้วนตำราภาพนี้อีกด้วย
จึงเดาได้ว่า ม้วนตำราภาพนี้น่าจะมาจากวังห้าพิษ มู่เซิ๋นจวินไม่รู้ว่าไปได้ม้วนตำราภาพพลังเทพหกประสานจากวังห้าพิษได้อย่างไร เพราะถูกคนของวังห้าพิษตามล่าตัว
แต่หลังจากมู่เซิ๋นจวินฝึกฝนพลังเทพหกประสานแล้ว ร่างกายก็เกิดการเปลี่ยนแปลง
แต่ในใจของหยางหนิงก็สงสัยว่าในเมื่อมู่เซิ๋นจวินฝึกฝนพลังเทพหกประสานแล้ว เขาจะไม่รู้เคล็บลับของพลังเทพหกประสานเชียวหรือ ทำไมถึงได้ตายเพราะพลังเทพหกประสานได้ล่ะ?
ตัวเขาจำได้แค่เส้นทางการไหลเวียนตามเส้นแดงในม้วนภาพ แต่ในกรณีฉุกเฉิน จะปล่อยพลังเทพหกประสานออกมาอย่างไรนั้นเขาไม่รู้ หรือว่าตอนที่เขาสะลึมสะลืออยู่นั้นเขาเดินลมปราณเข้าไปที่จุดถานจง หรือนี่คือเคล็บลับของพลังเทพหกประสาน?
ในใจของเขามีข้อสงสัยมากมาย เวลาสั่นๆ คงไม่สามารถแก้ไขได้ แต่ก็รู้ว่า การที่ตัวเขาถือครองม้วนตำราภาพพลังเทพหกประสานไว้กับตัวมันจะเป็ภัยแน่นอน
วังห้าพิษชื่อนี้ฟังดูไม่ใช่ชี่อที่ดีนัก พวกเขาถึงขั้นทิ้งทุกอย่างตามหามู่เซิ๋นจวินเพื่อที่จะชิงม้วนตำราภาพพลังเทพหกประสานคืนไป งั้นก็จะไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ ม้วนตำราภาพพลังเทพหกประสานอยู่ในมือเขาตอนนี้ ก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกใครเห็น ตอนนี้เขาเองก็คุ้นเคยกับเส้นชีพจรแล้ว ก็ไม่จำเป็จะต้องเก็บมันไว้อีก
หยิบม้วนตำราภาพพลังเทพหกประสานขึ้นมาแล้วกำลังจะทิ้งมันเข้ากองไฟไป ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่ามู่เซิ๋นจวินก็แทบจะทิ้งทุกอย่างเพื่อชิงม้วนตำราภาพกลับคืนไปเหมือนกัน ตามหลักแล้วมู่เซิ๋นจวินน่าจะจำทุกอย่างในม้วนตำราภาพหมดแล้ว แต่กลับยังจะเอากลับไป หรือว่าในม้วนตำราภาพมีเงื่อนงำอะไรซ่อนอยู่อีก?
หยางหนิงหยิบมันพลิกดูอย่างงละอียดหลายรอบ แต่ก็ดูไม่ออกว่ามันมีเงื่อนงำอะไร ก็คิดอีกว่าหรืออาจจะเป็เพราะมู่เซิ๋นจวินฝึกวิชาจนธาตุไฟเข้าแทรก ดังนั้นถึงพยายามหาวิธีแก้ไขในม้วนภาพ ส่วนตัวเขานั้นไม่ได้ฝึกฝนม้วนตำราภาพพลังเทพหกประสาน ธาตุไฟเลยไม่ได้เข้าแทรก
แต่หากว่าเก็บม้วนตำราภาพนี้เอาไว้กับตัว เกิดฝึกจนถูกจับได้ขึ้นมา แล้วบ้าเหมือนมู๋เซิ๋นจวินจะทำอย่างไรล่ะ
ในเมื่อมันมีแต่ภัย ทำลายมันซะให้มันจบๆ ไปน่าจะดีกว่า
เขาเป็คนง่ายๆ อยู่แล้ว ก็เลยโยนม้วนตำราภาพในมือลงกองไฟไป ไม่นานนัก ม้วนตำราภาพก็เผาไหม้จนเป็จุน
ม้วนตำราภาพถูกไฟเผาไหม้ไป หยางหนิงรู้สึกสบายใจขึ้นมาก คิดในใจว่ามีเพียงมู่เซิ๋นจวินเท่านั้นที่รู้ว่าเขามีม้วนตำราภาพในมือ แต่คนที่รู้เพียงคนเดียวคนนั้นก็ตายไปแล้ว อีกทั้งม้วนตำราภาพก็ถูกเผาไปแล้ว ในมือก็ไม่มีของแล้ว ในใต้หล้านี้ก็คงไม่มีใครรู้ว่าเขามีม้วนตำราภาพหรือเคยััพลังเทพหกประสานแน่นอน
เขาพิงตัวกับท่านหิน แล้วหลับไป เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าเช้าแล้ว เมื่อมองไปที่เซียวกวง เห็นสีหน้าของเขามีเลือเฝาดขึ้นมาอีกเยอะมากแล้ว ดูเหมือนจะได้นอนอย่างเต็มอิ่ม
หยางหนิงลุกขึ้นยืน ออกไปที่หน้าประตู ยืดเส้นยืดสาย ไม่ไกลจากศาลเ้าเป็ป่าไผ่เขียวชอุ่ม ฝนหยุดตกแล้ว หลังฝนหยุดกลิ่นไม้อ่อนๆ ก็ลอยโชยมา ราวกับอาศัยอยู่เมือง์ บรรยากาศสวยงามสุดบรรยาย สายลมพัดพาเอากลิ่นดินกลิ่นต้นไม้มา ทำให้รู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก
หยางหนิงสดชื่นปรอดโปร่งมาก แต่เมื่อคิดได้ว่าม้าหายไป ก็ต้องเดินไปยังเมืองหลวงอีก ก็หดหู่ ก็เลยเดินกลับเข้าไปในศาลเ้า กองไฟมอดหมดแล้ว หยางหนิงนั่งยองๆ ลงไปที่ข้างตัวเซียวกวง เห็นเขาหลับอยู่ ก็พูดเบาๆว่า “เ้าคนแซ่เซียว ข้าช่วยเ้าได้แค่นี้นะ ถือว่าข้ามีเมตตาสุดๆ แล้ว ข้ายังมีธุระต้องทำ คงอยู่ต่อไม่ได้อีก หลังจากนี้เ้าก็ต้องดูแลตัวเองแล้วนะ ขอให้เ้าปลอดภัยก็แล้วกัน” เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วบ่นกับตัวเองว่า “ตอนแรกคิดจะคิดค่าจ้างจากเ้านี่ ดูท่าจะไม่สำเร็จ”
เขาลุกขึ้น กำลังจะไป พลันได้ยินเซียวกวงพูดด้วยเสียงอันไร้เรี่ยวแรงว่า “เ้าจะไปไหน?” เซียวกวงตื่นขึ้นมาแล้ว
หยางหนิงใ ก้มหน้าไปดู รีบยิ้มแล้วพูดว่า “เ้าตื่นแล้วหรือ? ข้าคิดว่าเ้าจะไม่รอดซะแล้ว”
“หากข้าตายไปจริง เ้าก็คงเสียแรงเปล่านิจริงไหม?” เซียวกวงพูดอย่างไร้เรี่ยวแรง แต่ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา “เ้าช่วยข้าไว้หรือ?”
“ไม่น่าถาม” หยางหนิงมองบน “นี่เซียวกวง เ้าต้องขอบใจข้า หากไม่ใช่เพราะข้า เ้าคงตายไปแล้ว เห็นแก่ว่าเราก็คุ้นเคยกันดี เ้าให้เงินข้าสักร้อยสองร้อยตำลึงเป็ไง หากว่าตอนนี้เ้าไม่มีเงิน เอาของมีค่าของเ้ามาแทนก็ได้ ไม่มีอะไรจะพูดใช่ไหม? อย่าบอกนะว่าในตัวเ้าไม่มีอะไรเลยนะ? ถ้าเป็อย่างนั้น แม้แต่เพื่อนเราก็ไม่ได้เป็หรอกนะ”