บทที่ 137 งานเลี้ยงระบำกระบี่
ข้างทะเลสาบผืนเล็ก สายลมพัดผ่านโชยความเหน็บหนาวมาเบาๆ
คนกลุ่มหนึ่งที่ถูกคนงามมองข้ามต่างออกอาการละเหี่ยใจ
จริงๆ แล้วพวกเขาในที่นี้ใช้เงินจำนวนไม่น้อยเพื่อขอรับคำเชิญจากฉู่เจิ้นหนาน ให้ได้มีโอกาสเข้าร่วมในงานเลี้ยงใหญ่นี้ หากพวกเขาไม่ได้รับความสนใจจากคนงามก็แสดงว่าได้ไม่คุ้มเสีย
ในหมู่พวกเขามีหลายคนที่ยอมยกธงขาว เพราะเมื่อเทียบกับหลายๆ คน พวกเขายังห่างไกลนัก ไม่ว่าจะเื่ของภูมิหลัง กำลังทรัพย์ หรือความแข็งแกร่ง ซึ่งไม่อาจเทียบได้
อาจกล่าวได้ว่าการแข่งขันครั้งต่อไปเป็เพียงการแข่งขันระหว่างอัจฉริยะเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
แน่นอนว่า สิ่งที่ทำให้ทุกคนไม่มีความสุขมากที่สุดก็คือคนป่าเถื่อนที่ไม่มีภูมิหลังและไม่มีกำลัง เป็คนแรกที่ได้รับความโปรดปรานจากสาวงาม ซึ่งทำให้พวกเขาโกรธมาก
ในความเป็จริง หากทุกคนรู้ว่าไม่ว่าจะทำอย่างไรฉู่ซินเหยาก็ไม่มีทางสนใจ พวกเขาอาจจะกระอักเืตายได้
ไม่นาน ฉู่เจิ้นหนานก็แบ่งที่นั่งออกเป็ด้านซ้ายและด้านขวาโดยเหลือพื้นที่ว่างไว้ตรงกลาง จากนั้นก็ตั้งโต๊ะยกเหล้าและอาหารเข้ามา โดยบอกว่าเขาจัดงานเลี้ยงนี้เพื่อความบันเทิงของทุกคน
สาวใช้พริ้มเพรานำอาหารจานเด็ดออกมาทีละอย่าง ได้กินกันทุกคน กลิ่นหอมของเนื้อทำให้ผู้คนเริ่มแลบลิ้นเลียริมฝีปาก
อาหารเหล่านี้ล้วนทำจากเนื้อิญญา มีคุณค่าทางโภชนาการและพลังงานมากมาย เทียบกับจวนตระกูลเสวี่ยแล้วไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน เป็ประโยชน์ต่อพวกเขายิ่งนัก
“ผู้นำตระกูลฉู่ใจป้ำจริงๆ อาหารรสล้ำพวกนี้ล้วนเป็อาหารทางิญญา ไม่ใช่หากินได้ง่ายๆ การเดินทางครั้งนี้คุ้มค่าจริงๆ”
“ทำให้ผู้าุโฉู่ต้องควักกระเป๋าสร้างความบันเทิงให้พวกเราได้เช่นนี้ นับว่ามีหน้ามีตาแล้ว!”
บางคนหัวเราะและชมเชยไม่หยุดปาก เพราะคนงามนางนั้นเ็าเหลือเกิน พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากเปลี่ยนเป้าหมายมาทำให้ฉู่เจิ้นหนานพอใจ
“ฮ่าๆ พวกท่านเดินทางมาที่เมืองชุยเสวี่ยก็เพื่อนังหนูซินเหยาของข้า ในฐานะผู้าุโ แน่นอนว่าข้าย่อมต้องแสดงความเคารพ ต้องทำให้ทุกท่านรู้สึกเหมือนอยู่บ้านอย่างแน่นอน”
ฉู่เจิ้นหนานหัวเราะอย่างเ้าเล่ห์ แม้ว่างานเลี้ยงเนื้อิญญาและอาหารที่หรูหรานี้ต้องใช้หินิญญาจำนวนมากแลกมา แต่เมื่อเทียบกับ “ค่าเข้างาน” ของทุกคน ก็เป็เพียงขนหนึ่งเส้นจากวัวเก้าตัว[1] ไม่นับว่าสำคัญอะไร
“ซูด ซูด-”
ทว่าในตอนนั้นก็มีเสียงดูดเส้นดังขึ้น เสียงนั้นดังไปทั่วลานเรือน ทำให้ทุกคนที่มีมารยาทต่างอับอาย
พบว่าเป็คนป่าคนนั้นที่กำลังรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่สนใจภาพลักษณ์ของตน ราวกับว่าเขาอยู่ในดินแดนรกร้าง...
“บะหมี่อายุยืนเนื้อปลารุ้งนี่อร่อยและมีพลังมาก แม่นาง ขอให้ข้าอีกชาม!”
ฉู่อวิ๋นใช้มือขวาเท้าคาง ชี้ไปที่ชามกระเบื้องที่ว่างเปล่าบนโต๊ะด้วยมือซ้าย และะโด้วยสีหน้าหิวโหย
ทุกคนขมวดคิ้วและส่ายหัว คนป่าคนนี้สบายเกินไปแล้ว เขาเป็แขกที่นี่ แต่กลับคิดว่าที่นี่เป็ครัวของตัวเองหรือ? ถึงขั้นขอเนื้อิญญาที่เป็อาหารอันล้ำค่าอีกชามหนึ่ง
นอกจากนี้ คนงามยังนั่งอยู่ในศาลาภายในงานเลี้ยงด้วย คนป่าถ่อยทราม ไร้มารยาทจนทุกคนปิดปากหัวเราะเยาะ
สาวใช้ที่ถูกฉู่อวิ๋นะโใส่ก็ตื่นตระหนก ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร
ในเวลานี้ ฉู่ซินเหยาพูดสั่งขึ้นมา “ในเมื่อคุณชายท่านนี้มีความอยากอาหารไม่น้อย เช่นนั้นก็เพิ่มมาอีกสองสามชาม เสี่ยวเถา อย่าปล่อยให้เขาหิว”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนต่างใจนเกือบทำตะเกียบหล่น นี่มันอะไรกัน? คนงามผู้สูงศักดิ์กำลังบอกให้คนป่านั่นกินข้าวให้เต็มที่ในงานเลี้ยงนี้หรือ?
ทั้งยังใช้น้ำเสียงที่ค่อนข้างใส่ใจ ไม่ใช่คำพูดที่สุภาพ
สาวใช้ที่ชื่อเสี่ยวเถาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง มองดูฉู่เจิ้นหนานจากไกลๆ เมื่อเห็นเขาพยักหน้า นางก็กลับไปที่ห้องครัวและสั่งให้พ่อครัวทำบะหมี่เพิ่มอีกสองสามชาม
ในตอนแรก พวกเขาเตรียมอาหาริญญาไม่มากนัก ทั้งหมดล้วนปรุงด้วยวัตถุดิบล้ำค่ามากมาย จึงมีค่าและมีประโยชน์อย่างมากต่อพลังยุทธ์
ในท้ายที่สุด ฉู่อวิ๋นกินไปมากกว่าสิบชาม ก่อนจะเรอออกมาอย่างพึงพอใจและตบท้องเบาๆ
“ขอบคุณสำหรับการต้อนรับ” เขาจับจ้องไปยังฉู่เจิ้นหนานที่มีใบหน้าบึ้งตึงและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ทำให้ใบหน้าของสุนัขจิ้งจอกเฒ่าบูดบึ้งยิ่งกว่าเดิม
ฉู่เจิ้นหนานกล้าหาเงินอย่างโจ่งแจ้งโดยใช้การคัดเลือกเ้าบ่าวมาบังหน้า เช่นนั้นฉู่อวิ๋นก็จะทำให้ไก่เหล็ก[2]ตัวนี้หลั่งเืเสีย เขาจึงต้องทำให้ตนเองเป็ที่สนใจก่อน
ความแค้นนี้ยังอยู่อีกนาน!
และแน่นอนว่าเพราะพลังปราณไฟหยาง ความสามารถในการย่อยอาหารของฉู่อวิ๋นจึงแข็งแกร่งมาก ทันทีที่เขากินบะหมี่เนื้อิญญาสิบชามนั้นเสร็จ ก็รู้สึกได้ว่าทั่วร่างกายของเขาเปี่ยมไปด้วยพลัง
ตอนนี้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้พลังปราณ แต่ก็ยังเอาชนะนักรบขั้นมหาสมุทรได้ด้วยความแข็งแกร่งทางกาย ถือว่าค่อนข้างน่ากลัว
เื่ตลกจบลงอย่างรวดเร็ว และหลังจากดื่มเหล้าเคล้าอาหารกันเพียงพอแล้ว หลายคนก็เริ่มสนใจเื่ใหม่
ทุกคนต่างคิดอยากอวดตนต่อหน้าคนงาม บางคนก็เล่าเื่ตลก บางคนก็อวดประสบการณ์การล่าสัตว์ และบางคนก็ชื่นชมความงามของฉู่ซินเหยา เป็ฉากที่ดูมีชีวิตชีวายิ่งนัก
แต่ฉู่ซินเหยาในม่านไม่ขยับเลย หากใครที่สนใจนางอยู่ตลอด ก็คงสังเกตได้ว่าดวงตาของนางกะพริบถี่และมักจะเอาแต่จ้องมองคนป่า
ในสายตาของฉู่ซินเหยา นอกจากฉู่อวิ๋น สิ่งที่เรียกว่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์คนอื่นๆ ล้วนแต่เป็ตัวตลก นางดูแคลนพวกเขา
แต่อัจฉริยะทั้งสาม ได้แก่ โม่ซิว ตงฟางสยง และเสวี่ยหานเฟยต่างนิ่งสงบ ในใจคิดหาวิธีอื่นเพื่อสร้างความประทับใจให้กับฉู่ซินเหยา
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ดวงตาของโม่ซิวก็เปลี่ยนเป็เ็า เขาพูดด้วยรอยยิ้มที่น่ากลัว “่นี้นายน้อยเช่นข้าได้ศึกษาวิชากระบี่ชุดหนึ่ง ที่คิดค้นมาเพื่อคุณหนูฉู่โดยเฉพาะ ไม่สู้ให้ข้าแสดงให้ท่านดู ทุกคนจะได้รับชมไปพร้อมๆ กัน?”
ก่อนที่ใครจะทันโต้ตอบ เขาก็ะโออกจากกลางงานเลี้ยงและผายมือไปที่ฉู่ซินเหยา
“คุณชายโม่ คุณหนูฉู่บอกไปแล้วไม่ใช่หรือว่าไม่ชอบกระบี่? ท่านอยากระบำกระบี่ตอนนี้ คงคิดน้อยไปหน่อยกระมัง” ตงฟางสยงยกยิ้มอย่างชั่วร้าย กระดกเหล้าขึ้นดื่มอีกหนึ่งแก้วด้วยสีหน้าดูถูก
“เหอะๆ ผีน้อยเช่นเ้าจะไปเข้าใจอะไร? แม้ว่าเคหาสน์เขากระบี่ของข้าจะเชี่ยวชาญกระบี่สังหาร แต่ก็ชำนาญทักษะกระบี่อื่นไม่น้อย”
“และกระบวนท่ากระบี่ที่ข้าจะแสดงนี้เรียกว่าบุปผาร่วงหลากสี แม้ว่ากระบวนท่าของกระบี่จะประณีต แต่ก็ไม่ได้ใช้ฆ่าคนอย่างแน่นอน ข้ามั่นใจว่าแม่นางจะชอบมัน!”
โม่ซิวชักกระบี่แหลมคมสีขาวเงินออกมา ยืนตัวตรงพร้อมกระบี่อย่างค่อนข้างภาคภูมิใจ
ยามนี้ นักพรตหญิงบางคน ณ ที่นั่งต่างจ้องมองไปที่โม่ซิวด้วยดวงตาสั่นไหว
ต้องบอกว่า แม้โม่ซิวจะมีนิสัยเ็า เย่อหยิ่งและทำท่ารังเกียจคนอื่นไปทั่ว แต่รูปร่างหน้าตาของเขาก็หล่อเหลาเอาการ ทัดเทียมได้กับเสวี่ยหานเฟย
ทุกคนต่างตั้งตารอว่ากระบี่ที่เขาเรียกว่าบุปฝาร่วงหลากสีจะเป็อย่างไร?
เมื่อเห็นสายตาชื่นชมรอบตัว โม่ซิวก็ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ จากนั้น เขาก็เหวี่ยงกระบี่ในแนวนอน ขยับก้าวเข้าหากัน และเริ่มแสดงทักษะกระบี่ที่เรียบง่ายและประณีต
“ควับ ควับ——”
เงากระบี่ปลิวไปรอบๆ แสงใสส่องไปทุกที่ และทุกที่ที่ปลายกระบี่ตวัดผ่าน ดอกไม้สีชมพูที่เต็มไปด้วยพลังปราณก็จะบานสะพรั่ง ตรงข้ามกับทักษะกระบี่ที่เ็าและกระหายเืของโม่ซิวโดยสิ้นเชิง ล้วนเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา รื่นรมย์ และสวยงามยิ่ง
เขาแสดงกระบวนท่ากระบี่ออกมาทีละท่า ดอกไม้ล่องลอยสวยสง่า ช่างชวนฝันและน่าหลงใหล ย่างก้าวของเขาไร้ที่ติ ทำให้ทุกคนประหลาดใจกับทักษะกระบี่อันแข็งแกร่งของเขา
“ผู้ฝึกกระบี่ที่มุ่งเน้นไปที่การฆ่าสามารถแสดงท่ากระบี่ที่สวยงามได้ด้วย พร์ด้านกระบี่ของโม่ซิวช่างน่ากลัวจริงๆ” บางคนก็เต็มไปด้วยความชื่นชมและรู้สึกละอายใจ
“เฮ้อ ทักษะกระบี่นี้สมบูรณ์แบบจริงๆ ยิ่งคนแข็งทื่ออย่างโม่ซิวนำมาใช้ เห็นได้ว่าเขาพยายามอย่างหนัก ใช้เวลาวันคืนนับไม่ถ้วนเพื่อสร้างทักษะกระบี่นี้ขึ้นมา”
ในเวลาเดียวกัน ยังมีนักพรตหญิงอีกหลายคนที่มีดวงตาเป็ประกายคล้ายเมาสุรา หากตัดนิสัยแปลกประหลาดและหยิ่งผยองของโม่ซิวออกไปแล้ว เขานับได้ว่าเป็วีรบุรุษหนุ่มที่หาได้ยากคนหนึ่ง
ในลาน โม่ซิวเริ่มตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าเริ่มแต่งแต้มรอยยิ้ม
แต่ทันใดนั้น! ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็เ็า เร่งความเร็วขึ้น กลายเป็เงาดำที่พุ่งไปยังที่นั่งของฉู่อวิ๋น!
“ควับ!”
ด้วยแสงกระบี่ แสงพลังเองก็เพิ่มขึ้นทันที โม่ซิวยิ้มอย่างชั่วร้ายและสะบัดข้อมือที่เต็มไปด้วยพลัง ราวกับจะโจมตีฉู่อวิ๋นด้วยการเคลื่อนไหวอันดุเดือดนี้!
“เชอะ!” ฉู่อวิ๋นแค่นเสียงอย่างเ็า กำลังจะยกมือขึ้นสู้กลับ
แต่ในขณะที่เขากำลังจะลงมือ ดอกไม้จากกระบี่ก็กลับคืนไปในทันที ล่องลอยผ่านไปต่อหน้าต่อตาเขา เจตนาฆ่าดูเหมือนจะหายไปในพริบตา กลับคืนสู่สภาพที่นุ่มนวลและสวยงาม
โม่ซิวยิ้มเยาะ หันหลังกลับไปที่ลาน แสดงท่ากระบี่ออกไปอีกสิบกระบวนท่าก่อนที่จะหยุดกะทันหันและยุติการแสดง
“แค่ล้อเล่น!” โม่ซิ่วยกมือขึ้นประสาน แสร้งทำเป็สุภาพ แต่ทุกคนต่างก็มองเห็นความเย่อหยิ่งในดวงตาของเขา
“แปะ แปะ——”
ผู้ชมรอบด้านปรบมือและพยักหน้าซ้ำๆ แม้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่เข้าใจศิลปะกระบี่ แต่บุปผาร่วงหลากสีที่โม่ซิวแสดงนั้นงดงามมาก พร่างพราวตระการตา น่าอัศจรรย์จริงๆ
ทว่าใบหน้าของฉู่อวิ๋นกลับบึ้งตึง การที่โม่ซิวโจมตีเขาเมื่อครู่นี้ เห็นได้ชัดว่า้ายั่วยุและทำให้เขาอับอาย
“อืม ทักษะกระบี่ของคุณชายโม่นั้นยอดเยี่ยมมาก เป็นักกระบี่หนุ่มที่เก่งที่สุดที่ข้าเคยเจอมา” ฉู่เจิ้นหนานกล่าวด้วยรอยยิ้ม
แต่จริงๆ แล้ว จิ้งจอกเฒ่าก็อดนึกถึงร่างของชายหนุ่มอีกคนไม่ได้
ไม่นานมานี้ ชายหนุ่มคนนั้นบรรลุถึงจิตไหวกระบี่ได้ก่อนการต่อสู้ พร์ด้านกระบี่ของเขานั้นสูงมาก
ฉู่เจิ้นหนานลอบถอนหายใจ น่าเสียดายที่เ้าหนุ่มนั่นไม่รู้ความ ไม่เชื่อฟังเขา จึงได้ตกตายอยู่ในปากของสัตว์ปีศาจ
“คุณชายโม่สมแล้วที่เป็นายน้อยแห่งเคหาสน์เขากระบี่ ทักษะกระบี่ของเขาช่างเปิดหูเปิดตาข้าจริงๆ” หญิงสาวคนหนึ่งแอบชื่นชมเขา
“ไม่ทราบว่าในวันหน้าคุณชายโม่จะช่วยแนะนำวิชากระบี่ให้ข้าได้บ้างหรือไม่เ้าคะ?” ผู้ฝึกกระบี่หญิงคนหนึ่งถือกระบี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม นางชื่นชมระบำกระบี่ของโม่ซิวจริงๆ
แม้ว่าหญิงสาวคนอื่นๆ จะยังคงนั่งเงียบ แต่ก็เห็นได้จากสายตาของพวกนางว่าต่างก็ชื่นชมโม่ซิวอย่างมากเช่นกัน เพียงแต่ไม่ได้พูดออกมา
ทักษะกระบี่ของคนเรานั้นมีจำกัด แต่การที่สามารถใช้ทักษะกระบี่สองชุดที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงได้ในเวลาเดียวกันและร่ายรำได้อย่างสวยงามนั้น อัศจรรย์มาก
“คุณหนูฉู่ ระบำบุปผาร่วงหลากสีที่ข้าคิดค้นมาเพื่อท่าน ท่านคิดว่าเป็อย่างไรบ้าง?” โม่ซิวยกยิ้มอย่างภาคภูมิใจด้วยท่าทีสง่างาม ้าคำชมจากคนงาม
ใบหน้าของฉู่ซินเหยายังคงเ็าและแสดงถึงความดูถูก นางกำลังจะบอกให้ชายหนุ่มที่น่ารำคาญคนนี้ถอยออกไป สำหรับนางแล้ว การระบำกระบี่ของฉู่อวิ๋นนั้นงดงามที่สุด โม่ซิวคนนี้จะสู้อะไรได้?
แต่ในยามนี้ ฉู่อวิ๋นก็เอาแต่ส่ายหน้าและเอ่ยว่า “กระบวนท่ากระบี่ของเ้านี่ เป็ขยะไปไม่ได้กว่านี้อีกแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนก็ตกตะลึงต่างหันไปมองฉู่อวิ๋นด้วยสีหน้างุนงง คนป่าคนนี้จะพูดคำที่น่าใอะไรออกมาอีก?
ทักษะกระบี่ของโม่ซิวรู้กันทั้งบางว่ายอดเยี่ยม หรือว่าคนป่าคนนี้้าจะหาเื่หรือ?
----------
[1] ส่วนเล็กน้อยในปริมาณมหาศาล น้อยนิดจนไม่มีค่าพอที่จะพูดถึง
[2] คนตระหนี่