“สวัสดีครับ”
“...”
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะ แพงกำลังเรียนสายกับคุณรามสูรใช่มั้ยคะ”
“เอ่อ...ใช่ครับ” รามไม่เข้าใจว่าเหตุใดปลายสายที่โทรเข้ามาถึงถามเขาอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่เป็ฝ่ายโทรมาหาเขาแท้ ๆ
“สวัสดีค่ะคุณราม แพงเองนะคะ จากเดอะเวดดิ้ง”
“เดอะเวดดิ้ง” รามสูรพยายามคิดทบทวนว่าเดอะเวดดิ้งคือใคร จนกระทั่งหญิงสาวปลายสายทวนขึ้นมา
“เดอะเวดดิ้ง รับจัดงานแต่งงานที่คุณรามกับคุณม่านเข้ามาใช้บริการเราเมื่ออาทิตย์ก่อนน่ะค่ะ”
“อ๋อครับ” อาจเป็เพราะ่นี้รามนอนน้อย เขามีเื่ให้ต้องคิดต้องทำและต้องแก้ปัญหาเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด จำได้ราง ๆ ว่าม่านขึ้นฝั่งไปเพราะเห็นบอกว่าออร์แกไนเซอร์ติดปัญหา ซึ่งเขาก็คิดว่าม่านอาจจัดการได้เรียบร้อยแล้ว แต่ความจริงคงไม่เป็อย่างนั้น
“แพงจะโทรมาอัปเดตเื่งานแต่งน่ะค่ะ ว่าตอนนี้เรากำลังดำเนินงานกันไปได้สามสิบเปอร์เซ็นต์แล้วนะคะ ไม่มีปัญหาติดขัดเลย ทางทีมงานเราวางแผนออกแบบและตกแต่งตามธีมที่คุณรามและคุณม่านอยากได้ อุปกรณ์และแบ็กดรอปต่าง ๆ ก็เกือบจะเข้าร่องเข้ารอยแล้ว เดี๋ยววันนี้แพงจะส่งแบบงานให้ดูรอบแรกนะคะ ถ้าคุณรามอยากแก้ตรงไหน คุณรามสั่งแก้มาได้เลยค่ะ”
“ไม่ได้มีปัญหาอะไรเหรอครับ” เสียงเข้มถามไปอย่างไม่เข้าใจ ก็ไหนม่านหยี่บอกว่าออร์แกไนซ์เซอร์มีปัญหาต้องขึ้นฝั่งไปเพื่อจัดการปัญหา
“ไม่นะคะ”
“แก้แบบคุณแพงถามม่านรึยังครับ”
“ยังนะคะ แพงโทรหาคุณรามเป็คนแรกเลยค่ะ ตามเบอร์ที่คุณรามให้ไว้กับทางเรา”
“อย่างนั้นเหรอครับ...ผมนึกว่ามีปัญหา”
“ไม่นะคะ”
“แล้ว...” รามสูรเกือบจะพลั้งปากถามออกไปว่าม่านหยี่อยู่ที่นั่นหรือไม่
“คะ?”
“ไม่มีอะไรครับ ถ้าผมดูแล้วมีอะไรต้องแก้เดี๋ยวผมติดต่อกลับไปครับ”
“ค่ะ ขอบคุณคุณรามมากเลยนะคะ” บางทีอาจเป็การประสานงานที่ไม่ตรงกันของเซลล์ขาย ออร์แกไนซ์เซอร์ และม่านหยี่เอง ทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น บางทีออร์แกไนซ์อาจมีปัญหาจริง ๆ ก็ได้ แต่พี่แพงที่เป็เซลล์ไม่รู้ บางทีทางออร์แกไนซ์อาจมีเบอร์โทรศัพท์ของม่านหยี่และโทรติดต่อกันโดยตรงโดยไม่บอกผ่านตัวกลางซึ่งคือเซลล์คนนั้น เพราะท่ามกลางความวุ่นวายที่ถาโถมเข้ามาในชีวิตตอนนี้รามสูรก็ไม่อาจหาความจริงว่าม่านหยี่คนรักที่คบกันมาสี่ปีโกหกเขาไปทำไม
“รามโอเครึเปล่า”
“...”
“ราม”
“ฮะ? ครับ?”
“สีหน้าไม่ค่อยดี ไหวมั้ย ไปพักก่อนก็ดีนะ”
“ไม่เอาหรอก น่าอายแย่เลย ปริมเป็ผู้หญิงปริมยังไม่พักเลย”
“เราทำตรงนี้มากี่ปี แค่นี้เราทนได้ แต่รามเถอะเดี๋ยวเป็ลมเอานะ” แฟนเก่าท้วงเพราะเธอเห็นสีหน้ารามสูรที่ดูซีดเซียวลงแล้วก็อดที่จะสงสารไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะรู้ดีแก่ใจว่ารามสูรมีเงินถุงเงินถังมากมาย ต่อให้จะล้มอีกซักกี่รอบก็ไม่เป็ไรอย่างนั้นก็เถอะ แต่เห็นแบบนี้เธอก็อดห่วงไม่ได้
“เป็ไงบ้าง สบายดีมั้ย เราไม่ค่อยได้คุยกันเลยเนอะ” หญิงสาวเป็ฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อน
“อืม สบายดี พึ่งกลับมาจากกรุงเทพได้ไม่เท่าไหร่ ก็เกิดเื่แบบนี้เลย”
“เรียนบริหารใช่มั้ย เราจำได้ราง ๆ”
“ครับ”
“...”
“ปริมล่ะเป็ไงบ้าง”
“เราก็สบายดี ยุ่ง ๆ นิดหน่อย แต่ก็นั่นแหละ...พอดีได้ทุนเรียนปริญญาโทน่ะก็เลยทำงานอยู่ที่แล็บทั้งวันทั้งคืนเลย ค่อนข้างเหนื่อยอยู่เหมือนกัน”
ปริมคือแฟนคนแรกและคนเดียวของรามสูร เราสองคนเคยคบกันในตอนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้า ถึงแม้มันจะเป็่เวลาสั้น ๆ แต่ความรักในครั้งนั้นมันก็ดีไม่ใช่น้อย
“ผู้ชายคนนั้นที่รามพามา ที่ชื่อม่าน เขา...เขาเป็” รามสูรสังเกตเห็นถึงความกระอักกระอ่วนในดวงตา และคำพูดนั้นที่เพื่อนของเขาไม่กล้าเอ่ยมันออกมา
“ครับ ม่านเป็แฟนราม”
“อ๋อ...ค่ะ”
“ทำไมเหรอ”
“ไม่ได้ทำไม”
“รู้สึกไม่ดีเหรอ”
“เปล่า เราแค่...ไม่คิดว่า...คือแต่ก่อนเราคบกันน่ะ แบบเราก็เป็ผู้หญิง รามก็เป็ผู้ชาย”
ทำไมคนรอบตัวเขาถึงเป็แบบนี้กันไปหมด ยกเว้นอัสนีพี่ชายของเขา แล้วก็ไม่มีใครเข้าใจเื่ชายรักชายหรือการรักเพศเดียวกันเลย ทำไมทุกคนถึงทำกับเขาราวกับว่าเขาและม่านหยี่เป็ตัวประหลาด ราวกับว่าความรักของเขาทั้งคู่เป็เื่ประหลาด ไม่แม้แต่กระทั่งจะกล้าเอ่ยออกมา
“คิดถึงแต่ก่อนเนอะ” หญิงสาวหน้าตาสะสวยพูดพลางมองออกไปยังท้องทะเลกว้าง ั์ตาของเธอเสมือนว่ายังคงอาลัยอาวรณ์กับความรักครั้งเก่า
“...”
“เราไม่คิดว่าคุณแม่จะพูดแบบนั้น ตอนที่ทานข้าวกันน่ะ” เื่เมื่อวันก่อนเธอยังคงเก็บเอามาใส่ใจ คิดว่าคงมีโอกาสอีกสักครั้ง
“เพราะตอนนั้นมันไม่ใช่แบบนี้ เรากับรามกับคุณแม่ มันไม่ได้เป็แบบนี้เลย เราเลยค่อนข้างใน่ะ” เพราะเมื่อหลายปีก่อนตอนที่ทั้งสองคนยังคบกัน มารดาของรามสูรพยายามทำทุกทาง เพื่อที่จะให้เธอและรามสูรเลิกกัน คุณนายรุ่งฤดีไม่อาจยอมรับในตัวเธอได้ ในวันที่รามสูรพาเธอมากินข้าวที่บ้านหลังใหญ่บนเกาะนี้ คุณนายรุ่งฤดีเอ่ยถามถึงชาติกำเนิดและสั่งให้เราทั้งคู่เลิกกันท่ามกลางโต๊ะอาหาร นั่นเป็เื่ที่รุนแรงต่อจิตใจของเธอมากจนกระทั่งเธอไม่อาจทนได้และเอ่ยขอเลิกรากับรามสูรไป
“แม่เราไม่เคยจะชอบใครอยู่แล้วล่ะ ที่ถามออกไปแบบนั้นก็เพราะอยากประชดม่าน”
“เหรอ”
“ครับ ปริมอย่าเก็บเอามาใส่ใจเลยนะ” เขาต้องตัดไฟั้แ่ต้นลม มารดาพยายามจะโหมไฟให้ลุกโชนอย่างไรแต่เขาต้องไม่ดึงปริมมาเกี่ยวในเื่นี้ ไม่สมควรจะต้องมีใครเ็ปเพราะคำพูดของมารดาอีกแล้ว ไม่ใช่แฟนเก่าที่คิดว่าเื่ของเขาและเธอมันพอจะมีโอกาสเป็ไปได้ ไม่ใช่ม่านหยี่ที่ต้องทนเจ็บช้ำกับคำดูถูกและการพยายามกันเขาทั้งคู่ออกจากกัน
“แม่ไม่ได้คิดอยากให้เรากลับมาคบกันหรอก แม่แค่พูดไปอย่างนั้นเพราะแม่ไม่ชอบม่าน ถ้าเราคบกันจริง ๆ แม่ก็จะพูดแบบนั้นกับคนอื่นเพื่อให้ปริมรู้สึกไม่ดีเหมือนกัน เหมือนตอนนั้นที่เราโดนไง” อดีตที่ผ่านมามันสอนเขา มารดาไม่ได้อยากให้เขาคบกับใคร ไม่ได้มีความจริงใจในน้ำคำนั้น
“เหรอ รามคิดอย่างนั้นเหรอ”
“ครับ”
“บางทีแม่อาจจะ แม่อาจหมายความอย่างที่พูดจริง ๆ ก็ได้นะ”
“ปริมก็รู้ว่าแม่เราเป็คนยังไง”
“บางทีแม่อาจเปลี่ยนไปแล้วก็ได้”
“ถ้าแม่เปลี่ยนจริง ๆ ก็เื่ของแม่แล้วกัน เพราะรามมีแฟนอยู่แล้ว” แค่เพียงคำพูดของมารดาที่สุดแสนจะใจร้ายมันกลับจุดประกายไฟในใจให้แฟนเก่าของเขาคิดเป็ตุเป็ตะไปไกลเื่กลับมาเริ่มใหม่กับเขา แววตาของเธอเต็มตื้นไปด้วยความหวังว่าเราสองคนจะกลับมาเป็เหมือนเดิมได้
“ทำไมล่ะราม เรา...ปริมทำผิดตรงไหน ปริมยังรักราม ปริมคิดถึงรามนะ ตอนนี้เื่ของเรามันเป็ไปได้แล้วไง” นักวิจัยสาวถามออกไปอย่างนั้นเพราะเธอคิดว่าตอนนี้ตนเองมีความหวัง แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์มันชัดเจนขึ้นมากกว่าตอนนั้นเป็ไหน ๆ ทำไมเธอจะรู้สึกไม่ได้ในเมื่อแม่ของรามสูรก็เปิดทางเสียขนาดนี้แล้ว
“มันเป็ไปไม่ได้ เราไม่ได้รู้สึกกับปริมแบบนั้นแล้ว”
“ราม...”
“แม่เรา
“ขอโทษด้วยนะ ถ้าปริมรู้สึกไม่ดี” รามสูรพูดแค่นั้นก่อนที่จะหันหลังเดินจากไป ทิ้งให้หญิงสาวยืนนิ่งท่ามกลางความไม่เข้าใจและไม่อาจยอมรับได้ว่าเื่ของเรามันจบลงจริง ๆ แล้ว ที่เธอรับงานนี้เพราะเห็นว่าเป็ฟาร์มหอยมุกของรามสูร แอบมีความหวังเล็ก ๆ ว่าเราจะได้เจอกันอีกครั้งหลังจากที่แยกย้ายกันไปเติบโตเมื่อหลายปีก่อน และเชื้อไฟแห่งความหวังของเธอก็โหมลุกขึ้นมาอีกครั้งเพราะไม่ใช่แค่แฟนเก่าอย่างรามสูรกลับมาอยู่ที่นี่อีกครั้ง แต่รวมถึงคำพูดของคุณนายรุ่งฤดีคุณแม่ของรามที่ยุยงและสนับสนุนให้เธอและรามได้มีโอกาสกลับมาคบกันอีกครั้ง ถึงแม้ว่าบนโต๊ะอาหารนั่นเธอจะทำเขินอายจนไม่กล้าพูดอะไรออกไป แต่หัวใจมันเต้นไม่เป็ส่ำเมื่อคุณนายรุ่งฤดีพูดอย่างนั้น เสมือนว่าคุณนายเปิดทางแล้ว แค่อีกไม่เท่าไหร่ถ้าเธอทำสำเร็จ เราสองคนก็จะได้กลับมาคบกันดังเดิม อย่างที่เธอคิดฝันมาตลอด
แต่ตอนนี้ความฝันของเธอกำลังพังทลายลง...เพราะรามบอกว่าที่มารดาพูดนั้นไม่เป็ความจริง และรามก็มีแฟนอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าแฟนรามสูรจะเป็ผู้ชายอย่างนั้นน่ะเหรอ...
เธออุตส่าห์ร่ำเรียนให้สูง เพื่อที่จะได้ลบคำสบประมาทของคุณนายรุ่งฤดีที่พูดกับเธอเอาไว้เมื่อหลายปีก่อนว่าเธอเป็คนไม่มีหัวนอนปลายเท้า เป็ได้แค่ผู้หญิงที่จ้องจะมาเกาะรามสูรกินเพียงเท่านั้น ไม่สามารถจะโบยบินให้สูงไปได้กว่านี้ ชีวิตเธอมันจะดีไปกว่านี้ไม่ได้หรอกถ้าหากไม่มีรามสูรคอยอุ้มชูเอาไว้อย่างนั้นแล้วล่ะก็เธอก็ไร้ค่า ไร้ราคา เป็ได้แค่คนหาเช้ากินค่ำไปวัน ๆ คำพูดดูถูกเ่าั้มันติดอยู่ในหัวปริมมาั้แ่หกปีที่แล้ว ความเ็ปไม่อาจเลือนหายไปตามกาลเวลา เธอจึงพยายามเรียนให้สูง คว้าทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าเพื่อที่จะพิสูจน์ตนเองว่าเธอก็มีดีพอที่จะยืนเคียงข้างรามสูรได้ แต่ถึงอย่างนั้นพอกาลเวลาหมุนเวียนให้เราได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ทุกอย่างมันกลับสายไปเสียแล้ว...
“ม่านปล่อยแม่ไปได้มั้ยลูก”
“ไม่...ฮึก ม่านไม่ให้แม่ไป”
“แม่ไม่อยากอยู่แล้วม่าน ม่านให้แม่ไปเถอะนะ...”
ประโยคขอร้องเ่าั้ยังดังก้องอยู่ในหัวของเขาไม่ไปไหน มารดาขอให้ปล่อยไป ปล่อยที่หมายความว่าม่านหยี่ควรให้แม่ตายได้แล้ว คำขอร้องนั้นออกจากปากผู้เป็แม่ อ้อนวอนขอความตายจากลูกชายอย่างนั้นเขาจะทำได้เหรอ ม่านหยี่ไม่ใช่คนใจร้ายใจดำเขาไม่อาจปล่อยให้แม่ตายได้ ไม่ใช่แบบนี้ บั้นปลายชีวิตที่วาดหวัง เขาก็แค่คิดเอาไว้ว่าจะมีวันที่เขาและมารดาจะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ไม่ใช่ว่าสุดท้ายแล้วเขาจะไม่เหลือใครเลยไม่ว่าจะเป็รามสูรหรือแม่เองก็ตาม
“ไง ดื้อด้านมาจนได้สินะ”
“...”
“สภาพมึงไม่เหมือนกับคนที่กำลังจะแต่งงานเลยว่ะ เหมือนคนที่กำลังจะตายมากกว่า ฮ่า ๆ ๆ ๆ”
“...” แค่เพียงเห็นหน้าบิดาผู้ให้กำเนิดเขาก็อยากเดินหนีออกไปให้ไกลจากตรงนี้ ไม่อยากหายใจร่วมชายคาโรงพยาบาลเดียวกันด้วยซ้ำ
“เกลียดกูมากงั้นเหรอ”
“ผมยังไม่ได้พูดอะไร”
“เกลียดก็บอกเกลียด กูไม่ได้คิดว่ามึงจะรักกูหรอก เพราะจำไว้ว่ากูก็ไม่เคยจะรักมึงหรือแม่มึงเหมือนกัน”
“ถ้าพ่อจะเกลียดม่านกับแม่ขนาดนั้น ทำไมไม่ให้เราสองคนออกไปจากชีวิตวะ ทำไมต้องให้เราอยู่กันแบบนี้ด้วย”
“เื่อะไรกูจะให้พวกมึงสองคนไปมีความสุขด้วยกันสองคนแม่ลูกล่ะ ในเมื่อมึงก็มีประโยชน์กับกู แม่มึงก็มีประโยชน์กับกู” นายหัวศิลาพ่นควันบุหรี่คละคลุ้งไปทั่วทั้งบริเวณ กลิ่นเหม็นฉุนของมันทำให้ม่านหยี่ต้องหันหน้าหนี
“ถ้าเื่นี้จบแล้วและมึงสองแม่ลูกทำตัวดี ๆ หน่อยนะ กูก็คงจะปล่อยพวกมึงสองคนไป”
“ปล่อยไปในตอนที่พ่อได้ทุกอย่างแล้วน่ะนะ”
“แน่นอนสิ”
ลูกชายจ้องมองบิดาด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย ม่านหยี่ทอดถอนหายใจเป็ครั้งที่ร้อย ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เขาและพ่อจะคุยกันด้วยดีได้ ไม่เคยมีแววตาแห่งความรักจากบิดา ไม่เคยมีคำว่าเห็นใจ มีแต่ผลประโยชน์และเงินทองเท่านั้นที่บิดาเฝ้าฝันถึง
“แล้วพ่อมีม่านทำไม ทำไมไม่-...”
“มึงอย่าให้กูได้พูดนะม่าน เื่มึงน่ะ กูไม่ได้อยากมีมึงแม้แต่น้อย แต่แม่มึงมันไม่ยอมเอามึงออกไง แล้วพ่อกูแม่กูก็เห็นดีเห็นงามกับแม่มึงด้วย พวกมึงสองคนเลยกลายมาเป็เสี้ยนหนามให้กูเลี้ยงจนถึงทุกวันนี้ไง”
“แล้วพ่อไม่ไล่เราออกไปจากชีวิตล่ะ!!!”
“อย่า! ให้กูต้องพูดซ้ำ!!!” มือหยาบกร้านของนายหัวศิลากำรวบเข้าที่ลำคอลูกชายอย่างที่เคยทำเวลาม่านหยี่ทำเขาโมโหหรือไม่ได้ดั่งใจ มันเป็แบบนี้เรื่อยมา เขาไม่สนใจว่าคนตรงหน้าจะเป็เด็กชายม่านหยี่ตัวเล็กเท่าลูกหมา หรือเติบโตมาเป็ไอ้ม่านตัวผอมสูง นายหัวศิลามักจะลงไม้ลงมือกับลูกชายเป็ประจำ
“กูบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าบังอาจมาขึ้นเสียงกับกู!!!”
“...อึก...”
“และอย่าได้คิดว่ากูจะยอมปล่อยให้มึงสองแม่ลูกออกไปลอยหน้าลอยตา มีความสุขกันสองคน”
“...พ่อ...ปล่อย” แรงกดจากมือหนาของบิดาทำให้อากาศไม่ไหลเข้าปอดของเขา ม่านพยายามแกะมือนั่นออกทั้งตบทั้งตีก็พบว่าไม่เป็ผล
“พ่อแม่กูตายแล้ว ไม่มีใครปกป้องมึงสองคนแม่ลูกได้แล้ว มึงก็รับกรรมที่ทำกับชีวิตกูไปแล้วกัน”
“แคก ๆ ๆ ๆ” ดวงหน้าสวยขึ้นสีแดงเถือกเมื่อบิดาคลายมือออกจากลำคอขาวและผลักเขาให้ออกห่างจากตัว ม่านหยี่ไอโขลก เส้นเืในหัวสมองเต้นตุบ ๆ เขานึกว่าตนเองจะตายเสียแล้วเมื่อครู่นั้น
ม่านมองตามหลังผู้เป็พ่อที่เดินห่างออกไปเรื่อย ๆ ระหว่างเขาและบิดาเราไม่เคยใกล้กันเลย ระยะห่างที่พ่อค่อย ๆ สร้างขึ้นมันขยายเบียดทั้งเขาและแม่ให้ตกขอบออกจากวงโคจรของบิดาไปตั้งนานแล้ว เราไม่มีทางที่จะเป็ครอบครัวสุขสันต์กันได้ มันจะไม่มีวันนั้น...
“หายไปไหนล่ะ”
“...”
“รามสูร...”
“ครับ”
“แม่ถามว่าแฟนเธอหายไปไหน”
“ม่านเข้าฝั่งไปจัดการเื่งานแต่งของเรา”
“อ้อ! นี่คือตกล่องปล่องชิ้นตัดสินใจไปแล้ว โดยที่ฉันค้านหัวชนฝาสินะ!”
“ใช่ครับ”
“ใช่สิ! ใครมันจะดีไปกว่าแฟนที่เป็ผู้ชายด้วยกัน ไม่มีหรอก แม่มันยังดีไม่เท่าเขาเลย”
“แม่อย่าเริ่มได้มั้ย”
“เริ่มอะไรรามสูร ฉันยืนอยู่ตรงนี้ทั้งคน ฉันค้านหัวชนฝาไม่ให้พวกเธอแต่งกันแต่พวกเธอยังดื้อด้านไม่ฟังฉัน เอาแต่ใจจะแต่งกันอีท่าเดียว! ใครล่ะมันอยากแต่ง เดาว่าคงเป็ผู้ชายคนนั้นสินะ ถึงขั้นขึ้นฝั่งไปจัดการเื่ทั้งหมดเอง คงอยากได้เธอจนตัวสั่นสิท่า ยิ่งเห็นบ้านเห็นเกาะเห็นเงินเธอแล้ว!!!”
“แม่อย่าพูดแบบนั้นได้มั้ย เขาไม่ได้เป็คนอยากแต่งด้วยซ้ำ ผมขอเขาแต่งเอง ผมอยากแต่งงานกับเขาใจจะขาดเอง ม่านไม่ได้อยากแต่ง ม่านจะไม่จัดงานด้วยซ้ำในตอนแรก แต่ผมเป็คนมัดมือชกม่านเอง” รามสูรเริ่มจะทนไม่ไหวกับคำพูดดูถูกดูิ่ของมารดาที่มีต่อม่านหยี่ ไม่ว่าใครต่อใครที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเขาและอัสนีพี่ชาย ทุกคนต้องโดนคำพูดลดทอนคุณค่าจากปากแม่ของเขาอยู่เรื่อยจนคนพวกนั้นทนไม่ไหวและเลือกที่จะเดินออกไปเอง เขาไม่ยอมให้แม่ทำอย่างนั้นกับม่านหยี่ได้อีกแล้ว
“ปกป้องกันเข้าไป ถึงเวลาที่มันพังลงมานะรามสูร ฉันจะยืนหัวเราะให้กับความโง่เง่าของพวกเธอ พวกเธอน่ะบูชาความรักเหมือนคนโง่ เวลาที่ได้รักก็รักกันไม่ลืมหูลืมตา เธอไม่คิดซักนิดว่าเขากับเธอมันคนละชั้นกัน กำแพงชนชั้นน่ะมันสูงกว่าที่เธอคิดนะรามสูร ไม่ใช่แค่รักกันแล้วมันจะพอ”
“แม่ก็พูดแบบนี้ตลอด ต่อให้ผมหรือไอ้อัสรักใคร เขาจะเป็ผู้หญิงผู้ชาย จะรวยหรือจนแม่ก็จะพูดแบบนี้อยู่ดี!”
“ใช่! เพราะไม่มีใครเหมาะสมกับเธอนอกจากคนที่ฉันจะหาให้!”
“งั้นแม่ก็แต่งเองเถอะ ผมไม่เอา!”
“รามสูร!!!”
“หมดธุระแล้วใช่มั้ย ผมจะได้ไปเคลียร์งานต่อ”
“ยัง! ่นี้ได้ไปดูท้ายเกาะฝั่งโน้นบ้างมั้ย”
“ผมก็ไปดูแค่ฟาร์มมุก”
“มีคนมาบอกฉัน ว่าหลายวันมานี้มีเรือเข้าออกทั้งตอนเช้าตอนบ่าย ดึก ๆ ดื่น ๆ ก็มีมา ไม่น่าใช่เรือของชาวบ้าน”
“...แม่คิดว่าเป็ใคร”
“ไม่รู้สิ ทางนั้นก็มีอยู่แค่เกาะของคนคนเดียว”
“นายหัวศิลา วันนั้นมันก็ขึ้นเกาะเรามากล่อมชาวบ้านให้ขายที่บนเกาะให้มัน”
“แกไปเจอมันเหรอ”
“ครับ ผมจะไปโรงจอดเรือ แต่บังเอิญไปเจอมันก่อน”
“...”
“ฉันจะจัดเวรยามเฝ้าทางเข้าออกเกาะเอาไว้ ตรงนั้นก็เหมือนกัน แกก็คอยดูเอาไว้ด้วยแล้วกันถ้าเห็นอะไรผิดปกติ”
“ครับ”
นี่อาจเป็หนึ่งในหลายวันมานี้ที่เขาและแม่คุยกันด้วยบทสนทนาปกติ อารมณ์ปกติ และไม่มีการโต้เถียงกัน ถึงแม้ว่ามันจะเกิดขึ้นก่อนหน้านี้แค่ไม่กี่วินาที แต่สุดท้ายแล้วเราก็ยังสามารถกลับมาคุยเื่งานกันได้อย่างเป็ปกติ นั่นถือเป็เื่ดี แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเขากับแม่จะดีกันไปได้ซักกี่น้ำ เพราะดูท่าแล้วหากม่านหยี่กลับมาแม่ก็คงจะทำตัวเป็หมีกินผึ้งเอาอารมณ์ไม่ดีไปลงที่ม่านหยี่อีกเช่นเคย
“แม่...”
“อะไร”
“อย่าพูดอย่างนั้นกับปริมอีกได้มั้ย”
“ฉันพูดอะไร” คุณนายรุ่งฤดีทำหน้าซื่อตาใสจำไม่ได้ว่าตนเองพูดอะไรออกไป
“ก็ที่พูดว่าให้ผมกับปริมกลับมาคบกัน”
“ทำไม มันจะพูดไม่ได้รึไง!”
“ถ้าแม่ไม่เห็นแก่ม่านที่เป็แฟนผม ก็เห็นแก่ปริมบ้างได้มั้ย”
“...”
“แม่ไปลากปริมเข้ามาเกี่ยว ทำให้เธอคิดว่าเธอยังมีโอกาสในเื่นี้ มันไม่ใช่แค่ผมหรือม่านที่จะเจ็บ แต่ปริมก็จะเจ็บด้วยถ้าหากรู้ว่าโอกาสที่แม่หยิบยื่นให้เธอมันไม่เคยมีอยู่จริง”
“...”
“บางทีถ้าหลายปีก่อนแม่ไม่ผลักไสไล่ส่งให้ปริมออกไปจากชีวิตผม ถ้าแม่ไม่ดูถูกปริม บางทีคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผมตอนนี้อาจเป็ปริมก็ได้” ทันทีที่คำพูดนั้นหลุดออกไปจากปากเขา รามก็ต้องตบตีกับตนเองอยู่ในใจ หากม่านได้ยินประโยคนี้ม่านหยี่คงจะรู้สึกไม่ดีแน่ ๆ
“แล้วมันจะกลับมาคบกันไม่ได้เลยหรือไง”
“ไม่ได้ครับ ผมเลือกม่านแล้ว ตอนนี้คนที่ผมรักคือม่าน ไม่มีปริมอยู่ในนี้แล้ว ไม่ว่าจะยังไงแม่ก็อย่าให้ความหวังปริมเลยนะ เพราะผมไม่อยากให้ปริมเสียใจในฐานะที่เป็เพื่อนกัน”
“...” คุณนายรุ่งฤดีไม่พูดอะไร ทำได้เพียงแค่ยืนเงียบและปล่อยให้ลูกชายเดินจากไป เธอไม่ได้สนใจหากว่าใครจะเ็ปในเื่นี้ แต่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าที่เธอทำไปนั้นมันผิด เด็กผู้หญิงคนนั้นเป็คนเดียวกันกับคนที่เธอเคยผลักไสให้ออกไปจากชีวิตของลูกชาย เธอปรามาสปริมเอาไว้ ถ้อยคำเ่าั้มันรุนแรงจนไม่อาจมีใครยอมรับได้ จนทำให้ลูกชายของเธอและหญิงสาวต้องยุติความสัมพันธ์ไป แต่ในตอนนี้กลับเป็ตัวเธอเสียเองที่พยายามลากผู้หญิงคนนั้นกลับเข้ามาเป็หมากตัวหนึ่งในเกมกระดานครั้งนี้ โดยที่ไม่สนใจเลยว่า หลายปีก่อนเคยทำร้ายเด็กผู้หญิงคนนั้นเอาไว้อย่างไร
“ราม ฮัลโหลราม ได้ยินม่านมั้ย”
“...ม่าน”
“อื้อ รามได้ยินม่านมั้ย”
“ครับได้ยินครับ”
“ราม เรากลับไปหารามวันนี้ไม่ได้อะ พายุเข้า ตอนนี้ที่นี่ฝนตกหนักมากเลย”
“เหรอครับ”
“อื้อใช่ ไม่มีเรือออกเลย ถ้ายังไงม่านจะค้างที่ฝั่งซักคืนสองคืนนะ”
“...”
“ราม...รามได้ยินม่านมั้ย” ไม่ใช่เพราะว่าสัญญาณโทรศัพท์ไม่ดีหรืออะไร แต่เป็เพราะเขาไม่ได้ตอบรับม่านหยี่กลับไป นั่นทำให้ปลายสายไม่ได้ยินอะไรและคิดไปเองว่าสัญญาณโทรศัพท์บนเกาะนั้นถูกพายุรบกวน
“...ครับ ได้ยินครับม่าน”
“...”
“ม่าน...”
“อื้อว่า”
“งานแต่งเป็ไงบ้าง” ร่างสูงชั่งใจอยู่นานว่าจะถามคนรักดีไหม สุดท้ายแล้วเขาก็เลือกที่จะถามออกไป
“ฮะ? อ๋อ...ก็มีปัญหาเื่ของตกแต่งนิดหน่อย กับพวกชุดอะไรพวกนี้น่ะ”
“แล้วเคลียร์กันเสร็จรึยัง”
“ถ้าตอนนี้ก็เสร็จแล้วล่ะ”
“อ๋อครับ” น่าจะเป็อย่างที่เขาคิด ทางทีมงานกับเซลล์คงไม่ได้ประสานงานกันหรืออาจมีเื่ให้เข้าใจผิดกัน อย่างนั้นเลยทำให้ม่านหยี่ต้องขึ้นฝั่งไปเคลียร์ปัญหา ในเมื่อม่านบอกกับเขาว่ามันมีปัญหาจริง ๆ และตอนนี้ปัญหาพวกนั้นมันก็ได้รับการแก้ไขแล้ว เขาก็ควรต้องเชื่อใจม่านหยี่ไม่ควรคิดว่าม่านหยี่จะโกหกกัน เพราะเขาก็หาเหตุผลไม่ได้เหมือนกันว่าม่านจะโกหกกันไปทำไม
“พายุเข้าหนักเลยเหรอ”
“อื้อก็หนัก ฝนตกหนักมากเลยตอนนี้”
“แล้วม่านพักที่ไหน ให้รามโทรไปบอกไอ้อัสมั้ยว่าม่านจะ-...”
“ไม่ ๆ ๆ ไม่ต้องหรอก ไม่อยากรบกวน เดี๋ยวพักแถวโรงพยาบาลก็ได้”
รามสูรขมวดคิ้ว เพราะเขากำลังคิดว่าที่ตั้งของบริษัทรับจัดงานแต่งนั้นมันอยู่คนละฟากกับโรงพยาบาลใหญ่ประจำจังหวัด ม่านไม่มีความจำเป็ต้องนั่งรถอ้อมเมืองไปพักไกลขนาดนั้น
“ทำไมไปพักที่ใกล้โรงพยาบาลล่ะ”
“เอ่อ...มันเต็มน่ะ ที่ใกล้ ๆ มันเต็มเลยนั่งรถเล่นมาจนถึงนี่ พอดีมีห้องว่างเลยจองแล้วล่ะ”
“...ครับ”
ม่านหยี่โกหกอีกครั้ง ไม่มีห้องว่างหรือที่พักเต็มอะไรทั้งนั้น เขาโกหกรามสูรทั้งหมดเลย เขาแค่อยากอยู่กับมารดาต่ออีกสักวันสองวันก็ยังดี
“ราม อย่างนั้นม่านวางก่อนนะ เดี๋ยวโทรหาอีกที”
“ครับ”
สองคนวางสายกันไปโดยที่ในใจของรามสูรเต็มไปด้วยคำถาม เขาไม่อาจห้ามใจไม่ให้คิดได้เลย อย่างนั้นชายหนุ่มจึงเลือกที่จะกดเบอร์โทรออกไปหาพี่ชายอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เสียงสัญญาณให้รอสายดังขึ้นเกือบหนึ่งนาทีเขาจึงได้ยินเสียงขลุกขลักจากปลายสาย
“ไอ้อัส บนฝั่งพายุเข้าเหรอ”
“เออ ทำไมวะ”
“เปล่าไม่มีอะไร แค่อยากรู้”
“มึงกวนตีนกู”
“เออน่า แค่อยากรู้ไม่ได้รึไง”
“สัส” พี่ชายพ่นคำด่าก่อนที่จะตัดสายไป นั่นทำให้รามสูรพอยิ้มออกมาได้บ้าง อย่างน้อยม่านหยี่ก็ไม่ได้โกหกเขาเื่ที่มีพายุเข้าบนฝั่ง แต่กับเื่อื่นเขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน...