“อาจต้องรอผลแล็บหน่อยนะราม เพราะ่นี้ที่แล็บก็ยุ่งมาก ๆ”
“ครับ ผมรอได้ครับอาจารย์”
“เดี๋ยวยังไงพรุ่งนี้ผมจะให้ปริมกับน้อง ๆ คนอื่น ๆ มาเก็บตัวอย่างแทนละกัน พรุ่งนี้ผมติดสอน น่าจะยุ่งทั้งวัน”
“ครับ ขอบคุณอาจารย์ที่รบกวนมาเป็ธุระให้ผม ผมมืดแปดด้านเลย”
“เอาน่า ผลแล็บออกก็รู้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น ไปละ ๆ ฝากบอกแม่ด้วยว่าอาจารย์มา น่าเสียดายไม่ได้เจอกัน”
“สวัสดีครับอาจารย์”
หลังจากกล่าวล่ำลากันเสร็จเรียบร้อยรามสูรก็ใช้เวลาอยู่ที่ฟาร์มไข่มุกอีกพักใหญ่ เขาเดินสำรวจให้ถ้วนทั่วเพื่อให้แน่ใจอีกครั้งว่าไข่มุกทั้งฟาร์มนั้นมันได้รับความเสียหายทั้งหมด เพราะยังคงมีความหวังเล็ก ๆ ว่าจะยังมีเ้าพวกที่แข็งแรงรอดตายมาได้ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่สมหวัง
“รามจะไปไหน” ม่านหยี่โพล่งถามขึ้นมาเมื่อเห็นคนรักะโลงเรือหางยาว
“ม่าน...รามจะไปดูฟาร์มโน้นซักหน่อย แต่ม่านไม่ต้องไปก็ได้ มันร้อน”
“ไม่ ๆ เราไปด้วย ม่านอยากไป”
“แต่มันร้อนนะ”
“ไม่เป็ไร” รามสูรคงกลัวเกินกว่าเหตุ แดดร้อนแค่นี้จะไปทำอะไรม่านหยี่ได้ เพราะความเป็กังวลในใจของเขามันร้อนกว่าแดดตอนบ่ายเสียอีก ม่านหยี่ะโลงเรือไปกับคนรัก ด้วยรามสูรบังคับหางเสือออกทะเลมาไม่ถึงห้านาทีก็ถึงฟาร์มไข่มุกอีกแห่งที่ตั้งอยู่ในทะเลแล้ว ชาวบ้านสี่ห้าคนที่กำลังเดินสำรวจดูฟาร์มมุกของตนเองอยู่เมื่อเห็นนายหัวรามสูรก็พากันยกมือไหว้
“สวัสดีครับนายหัว”
“ลุงก้านของลุงเป็ยังไงบ้างครับ”
“ก็ดูดีอยู่นะครับ ไม่เป็ไรนะ”
“แต่ผมไม่วางใจเลยว่ะ” รามสูรจิ๊ปาก เขาครุ่นคิดมาั้แ่เมื่อเช้าแล้วว่าฟาร์มมุกของเขาต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล อยู่ ๆ ไข่มุกจะตายเป็หย่อม ๆ แบบนี้มันไม่ใช่เื่ที่ควรจะเกิดขึ้น สาเหตุก็คิดจนหัวแทบแตกแล้ว อย่างไรเขาก็คิดไม่ออก
“พี่ชัย เกณฑ์คนงานมาเก็บมุกเถอะ ผมปล่อยไว้อย่างนี้ไม่ได้ ไม่สบายใจ” หากสาเหตุมันเป็เื่ที่เขาสังหรณ์ใจอยู่แล้วนั้นเขาก็ควรจะเก็บไข่มุกขึ้นจากกระชังให้หมด
“นายหัวคิดว่ายังไงเหรอครับ”
“ผมว่าฟาร์มผมโดนวางยา”
ได้ยินเพียงเท่านั้นม่านหยี่ก็ตัวสั่นเทิ้ม รามเป็คนฉลาด ไม่แปลกใจเลยที่จะคิดหาเหตุผลได้เร็วขนาดนี้
“มุกผมตายทั้ง ๆ ที่วันก่อนมันยังดี ๆ อยู่เลย บางทีผมอาจคิดมากไปเองแต่ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้ก็ไม่ดีเหมือนกัน ถ้าหากมันเป็อย่างที่ผมคิดจริง ๆ ” ่ขายาวค่อย ๆ ก้าวไปตามแผ่นไม้กระดานที่ถูกนำมาตอกตะปูสร้างขึ้นเป็แพกลางน้ำ เสียงดังลั่นเอี๊ยดอ๊าดฟังไม่เสนาะหูสักเท่าไหร่ รามเดินสำรวจไปทีละก้าว ๆ ก่อนที่จะทรุดตัวลงนั่งมองเศษซากเปลือกหอยกองน้อย ๆ อีกกอง แพนี้เป็แพของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบมีหอยมุกตายเหมือนกัน
“เก็บเลยพี่ชัย! เรียกคนงานมา!” สิ้นคำสั่งของนายหัวรามสูร ความวุ่นวายบนแพก็เกิดขึ้นทันที ชาวบ้านที่เหลือพากันปรึกษากับนายหัวรามสูรว่าจะเอาอย่างไร เขาก็แนะนำว่าให้เก็บไข่มุกขึ้นทั้งหมด ส่วนพี่ชัยคนงานประจำที่เฝ้าฟาร์มมุกให้รามสูรก็โทรศัพท์เรียกคนงานมาสมทบนับสิบชีวิต ทุกคนลงมือเก็บกู้หอยขึ้นจากกระชังอย่างกระตือรือร้น นายหัวรามสูรและม่านหยี่เองก็ด้วย
“นาย นายหัวครับ!”
“ว่ายังไง”
“ไปดูตรงนั้นทีครับ ตรงฟากโน้น” หนิมซึ่งวันนี้ก็ขันอาสาลงมาเก็บมุกด้วยวิ่งหน้าตั้งมาเรียกนายหัวไปดูเหตุการณ์แปลก ๆ ที่เกิดขึ้น รามสูรจำต้องวางมือจากการเก็บมุกแล้วไปสำรวจบริเวณทางด้านทิศตะวันตกของแพ
“ตายหมดเลยครับนาย”
“อะไรกันวะเนี่ย”
“ตรงแพโน้นก็ตายนะนาย แต่มันตายไม่เยอะเท่านี้”
เป็อีกครั้งที่รามสูรไปไม่เป็ ซากปลาการ์ตูน ปลาผีเสื้อ ปลาสินสมุทรและปลาสลิดหิน ซึ่งเป็ปลาน้ำตื้นลอยเกลื่อนกันอยู่ข้างแพ สัตว์น้ำเ่าั้พากันหงายท้องและนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนซึ่งผิดวิสัยสิ่งมีชีวิต นั่นเพราะว่าพวกมันไม่มีชีวิตแล้ว
“นั่นนาย ตรงนั้นก็มี เหมือนเพิ่งตายเลยพึ่งโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำ” หนิมว่าอย่างนั้นซึ่งทุกคนในที่นี้ก็เห็นด้วย
“กูว่าแล้ว แม่งเอ๊ย!!! เก็บมุกให้หมดอย่าให้เหลือ แพโดนวางยา!!!” นายหัวรามสูระโก้องออกคำสั่งให้ทุกคนรีบเร่งดำเนินงานตามที่ตนเองได้รับมอบหมาย ครั้งนี้คนงานทุกคนต่างก็พากันวิ่งเก็บมุกเพื่อที่จะทำเวลาให้ทัน ไม่ให้น้ำในกระชังโดนปนเปื้อนไปมากกว่านี้ ม่านหยี่เห็นแล้วไม่อยากเอาตนเองไปขวางทาง เขาเลยเลือกที่จะเป็ฝ่ายรับเอาเชือกที่ร้อยหอยมุกมากองไว้แทนที่จะเป็คนวิ่งเก็บหอยพวกนั้น
กว่าจะเก็บมุกขึ้นจากกระชังเสร็จพระอาทิตย์ก็จวนจะลับขอบฟ้าแล้ว นายหัวรามสูรให้คนมานั่งแกะมุกออก ทำอย่างไรก็ได้ให้มุกได้รับความเสียหายน้อยที่สุด ด้วยเพราะเขาเก็บมุกก่อนเวลาที่ควร ดังนั้นจะมีพวกที่โตไม่เต็มวัย อย่างนั้นจะไม่สามารถนำไปจำหน่ายได้ ส่วนพวกที่พอจะขายได้ก็มีแต่น้อย
“ม่าน”
“หื้ม!”
“อ่ะ เราให้” มือแกร่งของรามยื่นวัตถุสีขาววาววับมาตรงหน้าเขา มันเป็ไข่มุกที่รามเก็บขึ้นมาจากกระชังนั่นเอง
“เม็ดนี้สวยที่สุดแล้ว นอกนั้นก็ไม่เต็มเท่าไหร่”
“เรา...รับไว้ไม่ได้หรอก” เพราะละอายใจเกินกว่าที่จะรับไข่มุกงามเม็ดนี้เอาไว้ทั้ง ๆ ที่ตนเองเป็คนตั้งใจทำลายพวกมัน
“รับไว้เถอะ รามอยากให้ มันขายไม่ได้หรอกน่า” เขาโกหกไปเพราะอยากให้ม่านหยี่รับมุกเม็ดนี้เอาไว้ ที่ผ่านมาเราเคยซื้อของขวัญแทนใจให้กันก็จริง แต่รามคิดว่าเขาควรจะให้ไข่มุกเม็ดนี้กับม่านเพื่อเก็บไว้ด้วยจะดีกว่า ทั้ง ๆ ที่มุกเม็ดนี้หากนำไปรวมกับอีกหลายเม็ดที่เหลือแล้วทำเป็เครื่องประดับก็สามารถสร้างมูลค่าให้เขาได้มากพอสมควรเลยทีเดียว แต่นั่นแหละ สำหรับเขาแล้วม่านหยี่มีค่ามากกว่าราคาไข่มุกรวมกันหลายสิบเท่า
“ให้เราจริง ๆ เหรอ”
“ครับ”
“ขอบคุณนะ” ต้องเป็คนไม่ดีขนาดไหนที่จะปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอได้ถึงเพียงนี้ ม่านหยี่ไม่เพียงแต่เล่นละครตบตาแสร้งว่าตนเองเป็คนบริสุทธิ์ไม่รู้ถึงเื่ราวที่เกิดขึ้น หากแต่เขายังรับเอาเศษซากไข่มุกที่เหลือของรามสูรมาไว้กับตนเองอีกด้วย เขาละอายใจจนไม่สามารถมองหน้ารามได้อีกแล้ว
‘ทำดีมาก’
ทั้งหมดที่ทำลงไป ทรยศหักหลังคนรัก หรือแม้กระทั่งพยายามปั้นหน้าว่าตนเองไม่เป็ไร สุดท้ายแล้วก็เพื่อคำนี้คำเดียวเท่านั้นหรือ...มีเพียงแค่คำว่าทำดีมากที่ได้รับจากบิดา ม่านไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้แม่ของเขาอาการเป็อย่างไรบ้าง เขาตัดสินใจโทรออกไปยังเบอร์โทรศัพท์ของบิดา ม่านต้องแอบหลบมาคุยโทรศัพท์ในยามวิกาลที่บริเวณสวนหย่อมหน้าบ้านเพื่อไม่ให้รามสูรและคนอื่น ๆ ในบ้านเห็น รามอาจเข้าใจว่าเขาลุกออกมาเข้าห้องน้ำ ส่วนคนอื่น ๆ น่าจะหลับไปแล้ว
แต่ม่านหยี่กลับคิดน้อยไปอีกเช่นเคย...
“มีอะไร โทรมาทำไมดึก ๆ ดื่น ๆ”
“แม่เป็ไงบ้าง”
“ให้คีโมแล้ว อาการก็ดีขึ้นตามประสาคนได้คีโม”
“พ่อหยุดทำอย่างนี้ได้มั้ย” นี่เป็ครั้งแรกที่ม่านหยี่ขอร้องอ้อนวอนผู้เป็พ่อ เขาเหนื่อยที่จะเล่นตามเกมของพ่อแล้ว เขาเหนื่อยที่จะทำร้ายรามสูร เขาเจ็บทุกครั้งที่เห็นคนรักต้องเ็ปและเสียใจ ทุกครั้งที่เห็นแววตาเหนื่อยล้าในดวงตาสีสนิมนั่นมันทำให้ม่านหยี่อยากสารภาพบาปทุกอย่างที่เคยทำออกไป เขาอยากมองหน้ารามสูรและบอกว่าเขานี่แหละคือคนร้ายในเื่นี้ เขาคือคนผิด อยากให้รามสูรเกลียดเขา อยากให้รามไล่เขาไปให้ไกลไม่ให้อยู่ในชีวิตของรามอีกต่อไป ไม่ใช่แบบนี้...ไม่ใช่แบบเมื่อตอนกลางวันนี้ ในตอนที่รามสูรยื่นไข่มุกมีมูลค่าให้กับม่านหยี่ ั์ตาของรามสูรมันเต็มตื้นไปด้วยความรักและเสน่หา ความรู้สึกนั้นเป็สิ่งที่คนอย่างม่านหยี่ไม่สมควรได้รับจากรามสูรเลย เขาไม่คู่ควรกับความรักของราม ไม่คู่ควรเลยจริง ๆ
“มึงคิดจะพูดอะไร”
“ม่านไม่อยากทำแล้ว ม่านอยากหยุด ม่านอยากพอแล้ว พ่อเข้าใจมั้ย”
“มึงลองไม่ทำดูสิ กูสาบานเลยว่าจะเดินไปดึงสายออกซิเจนแม่มึงออกตอนนี้เลย” นั่นไม่ใช่คำขู่ ม่านรู้ดีว่าพ่อทำแน่ บางทีตอนนี้มือของพ่อคงกำลังกำแน่นอยู่ที่สายระโยงระยางเ่าั้ เตรียมพร้อมที่จะดึงมันออกทุกวินาทีอยู่แล้ว
“พ่ออย่า...” เขาเหนื่อยจนไม่เหลือแม้แต่เรี่ยวแรงจะห้ามบิดาอย่างที่เคยทำ ทุกครั้งที่เขาพยายามขอร้องอ้อนวอนให้บิดาไว้ชีวิตมารดา ก็เป็ทุกครั้งที่เขาตั้งคำถามกับตนเองว่าทำไมชีวิตเขาต้องเป็แบบนี้ ทำไมม่านหยี่คนนี้ถึงต้องเกิดมาท่ามกลางครอบครัวที่พิกลพิการไม่สมบูรณ์แบบขาด ๆ หาย ๆ มันยากเหลือเกินที่จะดำเนินชีวิตเฉกเช่นที่คนปกติเขาทำกัน ในเมื่อพ่อก็ไม่ได้รักแม่และจ้องจะทำลายชีวิตแม่และเขาให้ย่อยยับอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ทำไมเขาถึงไม่มีเหมือนอย่างที่คนอื่นมีบ้าง...
“อย่าได้คิดจะทำอะไรไม่เข้าท่า มึงก็รู้ กูทำจริงแน่ ไม่ใช่แค่ขู่ ตราบใดที่ชีวิตแม่มึงอยู่ในกำมือของกู อย่าได้ตั้งคำถามหรือสงสัย อย่าแม้แต่จะขัดคำสั่งกู เข้าใจมั้ย”
“...”
“กูถามว่าเข้าใจมั้ย”
“...ครับ”
“แค่นี้นะ”
สุดท้ายแล้วสัญญาณของปลายสายก็ถูกตัดไป เหลือเพียงม่านหยี่ที่ยืนนิ่งท่ามกลางอากาศหนาวเย็นในยามค่ำคืนที่โรยตัวปกคลุมไปทั่วทั้งเกาะ ใหญ่ เสียงจิ้งหรีดเรไรร้องระงมแข่งกัน กลิ่นอายเค็ม ๆ ของทะเลพัดมากระทบกับใบหน้าวูบหนึ่ง ไม่มีทางออกสำหรับเื่นี้ แม้กระทั่งรามสูรก็ไม่สามารถยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือม่านหยี่ได้ ทุกทางออกของเขามีปัญหาและม่านก็ยอมรับว่าตนเองไม่มีปัญญาแก้ไขปัญหาเ่าั้เลย
เช้านี้เป็อีกวันที่ม่านหยี่ตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอรามสูรนอนอยู่ข้างกาย เขาไม่อาจพูดได้อีกแล้วว่ารามสูรเป็คนขี้เซานอนตื่นสาย เพราะตอนนี้กลับกลายเป็ตัวเขาเสียเองที่นอนหลับไม่ตื่น กระทั่งคนรักออกไปฟาร์มมุกั้แ่ตอนไหนเขายังไม่รู้เื่เลย สองสามวันมานี้ั้แ่เกิดเื่ที่ฟาร์มมุกรามก็มักจะออกจากบ้านไปั้แ่เช้าตรู่ และกลับถึงบ้านใน่เย็นย่ำ ม่านพยายามเอาข้าวเช้าและข้าวเที่ยงไปส่งให้รามอยู่เสมอ ๆ แต่ดูเหมือนว่ารายนั้นจะกินอะไรไม่ลง รามสูรรู้แล้วว่าฟาร์มมุกโดนวางยา แต่เื่นี้กลับจับมือใครดมไม่ได้ เพราะไม่มีกล้องวงจรปิด และไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นก่อนหน้านี้มาแล้วกี่วัน
มีเพียงม่านหยี่เท่านั้นที่รู้ดีแก่ใจทุกอย่าง
ม่านเลี่ยงที่จะอยู่กับรามสูรใน่นี้เพราะเข้าใจว่าคนรักต้องทำงาน มีทีมวิจัยและพัฒนาพันธุ์สัตว์น้ำเข้าออกเกาะทุกวัน ถึงแม้ว่าคุณปริมจะดูเหมือนไม่อะไรกับรามแล้ว แต่ภายในใจของม่านหยี่กลับไม่ได้คิดอย่างนั้น ความคิดของม่านหยี่น่ะไปไกลกว่านั้น ดังนั้นเขาเลยเลือกที่จะถอยตนเองออกมา ไม่ไปสร้างเื่เดือดร้อนหรือไม่สบายใจให้รามสูรจะดีกว่า
ทว่า...ม่านไม่คาดคิดว่าการถอยครั้งนี้จะเป็การเปิดโอกาสให้คุณนายรุ่งฤดีทำสิ่งที่เธอ้าทำมาตลอดได้
“นั่งก่อนสิ...ม่านหยี่” ทันทีที่เขาเดินกลับเข้ามายังภายในบ้านของรามสูรกลับพบว่าตอนนี้โต๊ะอาหารเที่ยงถูกตั้งขึ้นเป็ที่เรียบร้อยแล้ว วันนี้คนที่ร่วมโต๊ะออกจะเยอะเกินปกติสักหน่อย ด้วยเพราะคุณนายรุ่งฤดีเชิญทีมวิจัยมาร่วมรับประทานอาหารเที่ยงด้วย ม่านไล่สายตาหาคนรักก็พบว่ารามสูรนั่งอยู่ฝั่งขวามือที่ประจำของเขา ทว่าที่นั่งถัดมาซึ่งเคยเป็ของม่านหยี่บัดนี้มันกลับถูกแทนที่ด้วยหญิงสาวหน้าตาสะสวย ซึ่งก็คือคุณปริมนั่นเอง
“เดี๋ยวผม”
ม่านส่ายหน้าน้อย ๆ ให้กับคนรักที่ทำท่าจะลุกขึ้นมานั่งเป็เพื่อนเขายังที่นั่งว่างท้ายโต๊ะที่เหลืออยู่ เขาไม่อะไรกับที่นั่งกินข้าวหรอกนะเพราะตอนนี้เื่ที่ต้องคิดหนักคือคนที่นั่งข้าง ๆ รามต่างหาก
คุณนายรุ่งฤดีทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อีกครั้งแล้วที่ม่านหยี่กลายเป็เพียงอากาศธาตุในสายตาเธอ นั่นยังไม่ทำให้เขาเจ็บใจเท่าประโยคถัดมาของเธอ...
“เมื่อไหร่จะกลับมาคบกันอีกครั้งเนี่ยสองคนนี้ แม่รอจนจะแก่ตายแล้วนะ แต่งงานมีหลานให้แม่ซักคนหน่อยสิหนูปริม” คุณนายรุ่งฤดีพูดราวกับว่าการสร้างครอบครัวกับใครสักคนเป็เื่ง่ายดายยิ่งกว่าการปอกกล้วยเข้าปาก แต่ประโยคที่อาบไปด้วยยาพิษเ่าั้มันซึมซาบเข้าสู่ผิวกายของม่านหยี่อย่างจัง ที่เขาเคยคิดไว้นั้นไม่มีผิด รามกับคุณปริมเคยคบกัน และดูท่าว่าคุณนายรุ่งฤดีจะชอบใจในตัวคุณปริมมากเป็พิเศษเสียด้วย
“...ไม่น่าจะดีมั้งคะคุณแม่” ทางด้านหญิงสาวที่วันนี้บังเอิญได้กลับมาร่วมโต๊ะอาหารกับแม่ของแฟนเก่าก็ทำหน้าตากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ทำไมล่ะหนูปริม แม่ว่าดีออกนะ แม่ชอบตอนที่สองคนยังคบกัน น่ารักดี”
“แม่ครับ” รามสูรพยายามปรามมารดาไม่ให้ฟื้นฝอยเอาเื่ราวในอดีตขึ้นมาเล่าในขณะที่คนรักคนปัจจุบันของเขาซึ่งก็คือม่านหยี่นั่งหน้าเสียอยู่ตรงนั้น
“อ้าว! ก็แม่พูดเื่จริง นี่ถ้าสองคนคบกัน เรียนจบพอดีแม่ก็ให้แต่งงานกันแล้ว หนูปริมก็เรียนโทอยู่นี่ใช่มั้ยลูก หน้าที่การงานก็ดี หน้าตาก็สวย อย่างนี้มีหลานให้แม่ แม่รักตายเลย”
ม่านหยี่สบตากับคนรักก่อนที่จะก้มมองลงไปยังจานข้าวของตนเองที่มันไม่พร่องลงไปแม้แต่น้อย กับข้าววันนี้มีรสชาติขมปนมาแปลก ๆ ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองเจ็บมากเท่าที่ควรจะเป็ เพราะเมื่อคิดให้ถี่ถ้วนแล้วนั้นจะหาคนเหมาะสมกับความรักของรามสูรมากไปกว่าคุณปริมคงไม่มีอีกแล้ว คุณปริมเป็หญิงสาวที่เพียบพร้อมทุกอย่างจริง ๆ แค่เพียงคิดว่าคุณปริมสามารถอยู่ข้าง ๆ รามสูรได้ในวันที่ไม่มีเขา อย่างนั้นมันก็ดีกว่าไม่ใช่หรืออย่างไร
ม่านหยี่จะเห็นแก่ตัวแม้กระทั่งวันที่จากรามไปยังไม่ยอมให้รามรับใครเข้ามาไว้ในหัวใจแทนตนเองอย่างนั้นน่ะเหรอ เอาแต่ใจเกินไปแล้ว...
“ม่านโอเคมั้ย”
“หื้ม! อ๋อโอเค เราโอเค”
“แน่ใจนะ”
“แน่ใจสิ นี่โอเคมาก ๆ เลย ไม่เป็ไรหรอกน่า แม่ก็อย่างนี้แหละใช่มั้ย ตอนคุณมาก็ทีนึง”
“ครับ รามแค่ไม่อยากให้ม่านไม่สบายใจ” หลังจากการรับประทานอาหารเที่ยงจบลงและส่งทีมนักวิจัยกลับเข้าฝั่งไปแล้วนั้น รามสูรก็รีบปลีกตัวออกจากมารดาจนไม่ทันได้ฟังว่าแม่บ่นเขาเื่อะไร ร่างสูงตรงดิ่งกลับมาหาคนรักที่ซึ่งนั่งซึมอยู่บริเวณสวนหย่อมของโรงแรม
“เราโอเค แต่ที่ไม่โอเคคือออร์แกไนซ์เซอร์โทรมาว่าเื่งานแต่งมีปัญหา ม่านว่าพรุ่งนี้ม่านคงต้องกลับเข้าฝั่ง”
“อ้าว ทำไมล่ะ มีปัญหาเื่อะไร”
“ไม่รู้สิ น่าจะหลายอย่าง ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่โทรมา” ที่ไม่รู้เพราะว่าไม่มีใครโทรมาต่างหาก ม่านไม่ได้รับโทรศัพท์จากใครทั้งนั้น ไม่มีปัญหาจากออร์แกไนเซอร์ ไม่มีความจำเป็ที่ต้องกลับเข้าฝั่งไปคุยกับทีมงาน มีเพียงแค่ความ้าของม่านหยี่ที่จะไปเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาลเท่านั้น เขาแค่อยากแน่ใจว่าพ่อไม่ได้ทำในสิ่งที่เขากลัว
“อืม ได้ครับ แต่ม่านคงต้องไปคนเดียวนะ เพราะรามยังเคลียร์ทางนี้ไม่เสร็จเลย”
“ได้ ไม่เป็ไร สบายมาก” นั่นยิ่งทำให้ม่านหยี่ดีใจขึ้นไปอีกเมื่อเห็นว่ารามสูรไม่กลับเข้าฝั่งไปกับเขา เขาจะได้ทำอะไร ๆ ได้ง่ายขึ้น
“รามรักม่านนะ”
“รักเหมือนกัน”
แปลกที่ครั้งนี้เขาััถึงความรู้สึกจากคำพูดของม่านหยี่ไม่ได้เลย
“ขอบคุณนะครับ” ยังไม่ทันที่เรือจะจอดนิ่งสนิทดีม่านหยี่ก็ะโขึ้นโป๊ะเรือแล้วสาวเท้าวิ่งออกมายังถนนที่ซึ่งมีรถรับจ้างหลายคันจอดอยู่ เขาเลือกที่จะขึ้นรถคันที่ใกล้ที่สุดและบอกกับคนขับว่าไปโรงพยาบาลที่ซึ่งแม่ของเขานอนพักรักษาตัวอยู่
ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นม่านหยี่ก็มาถึงโรงพยาบาล เขาเคยมาที่นี่เพียงไม่กี่ครั้ง และมันก็เนิ่นนานมากแล้วที่เขามาเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาล วันนั้นเป็วันที่รู้ว่าแม่ไม่สบาย ป่วยเป็มะเร็ง เนื้อร้ายยังอยู่ในระยะเริ่มต้น คุณหมอบอกว่าถ้าหากเข้ารับวิธีการรักษาของแพทย์แผนปัจจุบันตามที่คุณหมอแนะนำ แม่ก็อาจหายเป็ปกติได้ แต่จากวันนั้นจนถึงวันนี้มารดายังไม่หายป่วยจากโรคร้าย ซ้ำยังดูทรมานมากกว่าเดิมเสียอีก เขาไม่แน่ใจแล้วว่าเนื้อร้ายมันดีขึ้นอย่างที่คุณหมอเคยบอกหรือเปล่า หรือไม่ใช่เพียงโรคนี้ที่ทำให้แม่อาการแย่ลง...
“แม่...” หลังจากถามพยาบาลจนได้ความและรู้ห้องพักของมารดาแล้วก็เขารีบตรงดิ่งมาทันที ม่านไม่อยากรอเพราะไม่รู้ว่าตนเองจะมีโอกาสแบบนี้อีกเมื่อไหร่
“แม่...” ม่านหยี่ทรุดกายลงนั่งข้าง ๆ เตียงผู้ป่วย พลางมองไปยังหญิงที่ตนเรียกว่าแม่ก็เกิดความเวทนา จากเส้นผมที่เคยดกดำตอนนี้กลับกลายเป็หลุดร่วงเหลือเป็หย่อมผมบาง ๆ อยู่บนหัว คงเป็ผลมาจากการทำคีโมรักษา ใบหน้าของแม่ซีดเซียว ริมฝีปากไร้สีเื หลังมือทั้งสองข้างถูกเจาะจนขึ้นรอยช้ำ ิัเหี่ยวย่นเหมือนคนแก่ แม่ของเขาเคยเป็ผู้หญิงสะสวยและสุขภาพดี ถึงแม้จะไม่มีความสุขในตอนที่อยู่บนเกาะนรกแห่งนั้นแต่ม่านก็เคยคิดว่าแม่น่าจะอายุยืนกว่านี้ ไม่ใช่เป็แบบนี้...
“ม่าน”
“แม่...” ชายหนุ่มปาดน้ำตาออกจากใบหน้า
“ม่านมาได้ยังไงลูก”
“ม่าน ม่านแอบมา ม่านหลอกรามว่างานแต่งมีปัญหา ม่านเลยขึ้นฝั่งมา”
“โถ่ม่าน...” สองคนแม่ลูกมีสภาพย่ำแย่ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ สภาพร่างกายของมารดาดูเหมือนจะไม่ไหว ส่วนสภาพจิตใจของม่านหยี่ก็แตกสลายไม่มีชิ้นดีเหมือนกัน
“แม่เจ็บตรงไหน เขาไม่พาแม่มาทำคีโมตามนัดเหรอ ทำไมเขา...เขา”
“ม่านไม่พูดแบบนั้น”
“แล้วทำไมแม่เอาแต่ปกป้องเขา! ทำไมแม่ แม่ไม่...” ม่านไม่อาจพูดอะไรได้อีกด้วยเพราะความรู้สึกเจ็บมันตีตื้นขึ้นมาจนจุกอก มารดาเอาแต่บอกไม่ให้เขาพูดอย่างนั้นไม่ให้เขาพูดอย่างนี้ ไม่ให้พูดไม่ดีเกี่ยวกับบิดา แต่แม่ไม่เคยบอกให้พ่อพูดดีกับเขาเลย
“ทำไมแม่! เขาเป็คนไม่ดี เขาเลวเขาชั่วยังไงทำไมแม่ไม่บอกให้เขาหยุดบ้าง! ทำไมต้องบอกแต่ม่าน ทำไมแม่ไม่...” แม่ไม่ด่าเขา ว่าเขา ตบตีเขา อย่างที่เราสองคนโดนกระทำบ้าง นั่นคือคำที่ม่านหยี่อยากพูดออกไป แต่เมื่อเห็นสีหน้าคนป่วยแล้วนั้นเขาก็ต้องกลืนคำพูดทั้งหมดลงคอไป
คนป่วยนอนน้ำตาไหลเงียบ ๆ เมื่อได้ยินลูกชายพูดแบบนั้น ที่ม่านหยี่พูดมาก็ถูกทุกอย่าง เธอเอาแต่ปรามลูกชายให้ระวังคำพูดเมื่ออยู่ต่อหน้าและลับหลังผู้เป็บิดา นั่นก็เพราะเธอกลัวว่าหากผู้ชายคนนั้นรู้ว่าม่านหยี่พูดเกี่ยวกับตนเองว่าอะไรบ้าง เขาจะสั่งลงโทษลูกของเธอ มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ส่วนคนที่ต้องเจ็บกายเจ็บใจคือม่านหยี่
“รามสบายดีมั้ย”
“ครับ สบายดี”
“แล้วแม่ของรามล่ะ เขาชอบม่านมั้ย”
ลูกชายส่ายหน้าน้อย ๆ เป็คำตอบ เธอเคยได้ฟังเื่ราวของรามสูรซึ่งเป็คนรักของลูกชายอยู่บ่อยครั้ง รามสูรดีอย่างนั้นรามสูรดีอย่างนี้ ม่านหยี่จะพูดถึงรามสูรด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสดใสกว่าที่เคย
“แม่...”
“หื้ม?”
“ม่าน ม่านเป็คนเลวมาก ม่านรู้สึกว่าตนเองไม่ควรถูกรามรัก ม่านทำไม่ดีกับราม”
“ม่านทำอะไรลูก”
“ม่านเป็คนวางยาฟาร์มไข่มุกของรามเอง มันตายทั้งฟาร์มเลย แล้วม่านก็เห็นแววตาของราม รามดูเหนื่อยมาก ม่านสงสารราม”
“ม่านลูก!...”
“ม่านไม่อยากทำแบบนี้อีกแล้วแม่ ม่านจะทำยังไงดี” ม่านหยี่พ่ายแพ้ต่อบิดา ไม่เพียงเท่านั้น เขายังทำให้รามสูรตกต่ำลงด้วยน้ำมือของเขาอีก
“พ่อบอกให้ทำใช่มั้ยม่าน พ่อสั่งม่านใช่มั้ย”
ดวงหน้าหวานพยักขึ้นลง ม่านหยี่ยอมรับอย่างเสียไม่ได้ เพราะถ้าบิดาไม่บังคับเขาคงไม่ทำเื่แบบนี้
“พ่อขู่ม่านว่าจะฆ่าแม่ พ่อจะทำร้ายแม่ถ้าม่านไม่ทำตามที่พ่อสั่ง”
“ม่าน...พอได้แล้ว ม่านหยุดเถอะนะ แม่...แม่ไม่เป็ไร ถ้าเขาจะทำจริง ๆ ”
“เขาทำแน่ ม่านรู้ เขาเลวร้ายได้มากกว่าที่แม่คิดอีกนะ...ผู้ชายคนนั้น” ผู้ชายคนนั้นที่ว่าคือพ่อผู้ซึ่งไม่เคยจะใส่ใจไยดีกับแม่หรือลูกชายเลย
“แม่ไม่เป็ไรม่าน แม่...” ที่เธออยากบอกกับลูกชายก็คือม่านหยี่ควรจบเื่ทั้งหมดนี้ได้แล้ว
“แม่จะไม่เป็ไรได้ยังไง! ชีวิตของเราขึ้นอยู่กับเขา ยารักษาแม่ การเดินทางมาโรงบาลฯ ไหนจะคนเฝ้าไข้แม่อีก ทุกอย่างต้องใช้เงิน แล้วเขามีเงิน เขามีสิ่งที่เรา้า ม่านไม่...” ม่านไม่อยากยอมรับว่าตนเองไม่มีเงินรักษาแม่ ถึงแม้ว่านั่นมันจะเป็ความจริงก็ตาม
“พอได้แล้วนะม่าน ม่านควรได้ใช้ชีวิตของม่านซักที ม่านไม่ควรเอาชีวิตของม่านกับความรักของม่านมาผูกไว้กับแม่นะรู้มั้ย”
“ม่านไม่...เข้าใจ”
“แม่รู้ ม่านเข้าใจ”
แม่กำลังจะบอกกับเขาว่าเขาควรปล่อยให้แม่ตายอย่างนั้นเหรอ...
“ฮึก...ม่านไม่ เข้าใจแม่...ฮึก” ชายหนุ่มไม่อาจพูดอะไรต่อไปได้อีกเมื่อได้ยินมารดาพูดอย่างนั้น ม่านหยี่เหมือนคนจมน้ำ เขาพยายามประคับประคองชีวิตแม่ด้วยสองมือของตน แต่ก็พบว่าเขาไม่สามารถทำได้เลย
“...ม่านหยี่”
“แม่อย่า...” ม่านไม่อยากให้แม่เรียกเขาด้วยน้ำเสียงแบบนั้น ไม่อยากให้มารดาเรียกชื่อม่านหยี่ที่มารดาเป็คนตั้งด้วยน้ำเสียงเศร้าโศก ถึงแม้ว่าชื่อของเขานั้นมันจะเต็มไปด้วยความรัก ไม่อยากให้มารดาใช้น้ำเสียงอาวรณ์เหมือนกลัวว่าจะลืมชื่อเขา เพราะเขากลัวว่าจะเป็การเรียกชื่อม่านหยี่เป็ครั้งสุดท้าย...
“ม่านปล่อยแม่ไปได้มั้ยลูก”
“ไม่...ฮึก ม่านไม่ให้แม่ไป”
“แม่ไม่อยากอยู่แล้วม่าน ม่านให้แม่ไปเถอะนะ...”