ทั่วทั้งตระกูลเฟิงรอดพ้นจากหายนะนี้ไปได้ กู้หนานเฟิงก็พาหลานอวี้ไปยังห้องที่เตรียมไว้พิเศษสำหรับนาง และเชิญหมอที่ดีที่สุดมาดูแลนาง ก่อนจะพูดกับนางเบาๆ
“ขอโทษ”
หลานอวี้ตอบกลับมาด้วยน้ำตา
“ตราบใดที่คุณชายเฟิงขอให้ข้าทำ ไม่ว่าจะต้องบุกน้ำลุยไฟข้าก็ยินดี”
“ขอบใจ ข้าสัญญากับเ้าแล้ว ข้าก็ต้องทำได้ ในจวนตระกูลเฟิงแห่งนี้ เ้าใหญ่ที่สุด”
อันที่จริง วิธีการในวันนี้ถือเป็ชัยชนะสั้นๆ เท่านั้น แม้ว่าจะเกือบตาย ั้แ่วันแรกที่หลิวเยว่ได้รับาเ็ และฮ่องเต้ก็ออกคำสั่งให้ค้นหาคนจนทั่วจวน เขาก็คิดวิธีนี้ได้แล้ว
เขาแอบขังหลานอวี้เอาไว้ในห้องนี้ แล้วใช้ลูกธนูกับนาง แม้ว่าลูกธนูนี้จะไม่ลึกเท่ากับของหลิวเยว่ แต่ก็ทำให้ร่างกายของนางาเ็ ดังนั้นเขาจึงสัญญาว่าจะมอบสิ่งที่นาง้าตอบแทน
เขาไม่กล้าบอกแผนการนี้กับหลิวเยว่ เขารู้ว่านางไม่ยอมให้เขาทำร้ายใครเพราะนาง เขาจึงพาหลานอวี้ออกมาในตอนสุดท้าย
เมื่อพูดถึงการแสดง มีความจำเป็ต้องแสดงให้สมจริง และตอนนี้ก็เป็เื่ดีที่ประสบความสำเร็จ
แต่การแสดงออกของฮ่องเต้ในวันนี้ มันยังคงลอยวนอยู่ในความทรงจำของเขา ตอนที่องครักษ์บอกว่าพบตัวสตรีที่ถูกธนูยิงได้แล้ว ดวงตาของเขาเป็ประกาย แม้ว่าเขาจะไม่ได้แสดงออกมา แต่ก็มองออกว่าเขากำลังคาดหวังและกระตือรือร้น บวกกับความตึงเครียดจางๆ และเมื่อเขาเห็นว่าสตรีที่ได้รับาเ็คือหลานอวี้ สายตาของเขาพลันหมดหวังในทันที
กู้หนานเฟิงเป็คนที่ฉลาดและมีไหวพริบ เขาสังเกตอาการของฮ่องเต้ได้อย่างแม่นยำไม่มีพลาด ความสิ้นหวังนั้นฉุดรั้งฮ่องเต้เอาไว้ แต่เมื่อเขาก้าวเข้าไปในวัง และก้าวเข้าไปในห้องทรงอักษร เขากลับไม่ได้เผยออกมาให้เห็น อันกงกงรู้สึกตึงเครียดตลอดเวลา ขณะที่เดินตามอีกฝ่ายไปทีละก้าว เขาแทบไม่กล้าหายใจ เขารับใช้ฮ่องเต้มาหลายปีแล้ว จะบอกว่าเข้าใจพระองค์ทุกเื่ก็คงเป็ไปไม่ได้ แต่คราวนี้ ความเงียบสงบเช่นนี้ต้องเป็ลางสังหรณ์ของเค้าพายุที่กำลังจะมาอย่างแน่นอน
ในห้องทรงอักษรเต็มไปด้วยฎีกาของขุนนาง นอกเหนือจากเื่ประจำวัน สิ่งที่พบเจอบ่อยที่สุดคือการเอาชนะแคว้นเสวียนที่ชายแดนได้ในปีหลังๆ มานี้
แคว้นเสวียนตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของแคว้นทง มีเพียงแม่น้ำกั้นกลางที่กำหนดเขตแดน เมื่อสองสามปีก่อนตอนที่ฮ่องเต้องค์ก่อนยังอยู่ แม้ว่าจะมีาระหว่างทั้งสองแคว้น แต่เพราะไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่ชัดเจน พวกเขาจึงอยู่ร่วมกันอย่างสันติ แต่ใน่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตทางประมงที่อุดมสมบูรณ์จากกลางแม่น้ำ ชาวประมงทั้งสองฝั่งจึงมักมีข้อพิพาทเื่การพื้นที่แม่น้ำสายนั้น ถ้าราชสำนักไม่ออกหน้าทำา เกรงว่าเหตุการณ์จะรุนแรงมากขึ้น
แต่ตามนิสัยของอวิ๋นซู่ ถ้าเขาไม่เคลื่อนไหว ทุกอย่างก็จบ แต่ถ้าเขาเคลื่อนไหว แคว้นเสวียนเล็กๆ ต่อให้มีความสามารถคับฟ้า เขาก็สามารถเหยียบลงพื้นได้
ในบรรดาฎีกาเหล่านี้ ส่วนใหญ่คือการแนะนำให้ส่งแม่ทัพเจินออกไปทำา เขาเผชิญหน้ากับแคว้นเสวียนั้แ่ครั้งฮ่องเต้องค์ก่อนยังอยู่ ส่งเขาไปรับหน้าที่นี้นับเป็เื่ที่เหมาะสมที่สุด
อวิ๋นซู่ไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจน ไม่ได้เปิดเผยว่าจะบุกแคว้นเสวียนเมื่อไรหรือส่งใครไป
แสงสว่างในห้องทรงอักษรเริ่มมืดลง อันกงกงจุดตะเกียงและวางไว้ด้านหน้าโต๊ะทรงงานอย่างระมัดระวัง หลังจากที่อวิ๋นซู่อ่านฎีกาฉบับสุดท้ายเสร็จแล้ว เขานวดหัวคิ้วที่ปวดตุบๆ หลังจากวันที่ยุ่งวุ่นวายจบลง อารมณ์ของเขาก็สงบลงอย่างมาก
อันกงกงเอ่ยเกลี้ยกล่อม
“ฝ่าา พระองค์ทรงพักผ่อนสักหน่อยเถอะพ่ะย่ะค่ะ เดี๋ยวกระหม่อมจะนำพระกระยาหารเย็นมาให้พระองค์”
“ไม่ ข้าจะไปเดินเล่นที่ตำหนักลิ่วฉือ”
หลังจากอวิ๋นซู่พูดจบ เขาก็เริ่มเดินไปที่ตำหนักลิ่วฉือ ระหว่างทางแสงจันทร์ได้ส่องประกายแล้ว ทั่วทั้งวังก็เงียบสงบไม่เหมือนในยามกลางวัน
อันกงกงเดินถือตะเกียงตามอยู่ด้านหลัง ขณะที่อวิ๋นซู่เดินไปข้างหน้า ฝีเท้าเร็วเล็กน้อย จนกระทั่งถึงตำหนักลิ่วฉืออันเย็นะเื เขาหยุดยืนอยู่หน้าประตูตำหนักลิ่วฉือ มองสามคำบนป้ายแขวนอย่างเงียบๆ
ทุกคนในวังต่างคิดว่าตำหนักลิ่วฉือที่ประสบกับหายนะนี้คือตำหนักเย็นที่ใช้กักขังสตรีที่ถูกฝ่าาลงโทษ แม้แต่สนมซิน และชางรั่วอวี้ ต่างยังไม่รู้ว่านี่คือสถานที่ที่ฮ่องเต้มาประทับอยู่บ่อยที่สุดนอกเหนือจากห้องทรงอักษร
อันกงกงก้าวไปข้างหน้า เปิดประตูตำหนักลิ่วฉือ ด้านในมีกลิ่นเครื่องหอม ธูปและหมึกลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณ
“บ่าวจะเฝ้าอยู่นอกประตูเอง หากฝ่าามีสิ่งใดจะรับสั่งก็เรียกกระหม่อมได้ทุกเมื่อ” อันกงกงก้าวถอยหลังไปอย่างรู้งานเหมือนกับที่ผ่านมา ปล่อยให้ฮ่องเต้เข้าไปในตำหนักลิ่วฉือเพียงลำพัง ใน่หกปีที่ผ่านมา เขาได้ติดตามฮ่องเต้มาที่นี่นับครั้งไม่ถ้วน แต่เขาไม่รู้ว่าฮ่องเต้ทำสิ่งใดอยู่ภายใน เขาเพียงทำหน้าที่เฝ้าหน้าประตูให้ดี
แม้ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในตระกูลเฟิงในวันนี้ ฮ่องเต้จะไม่ได้เผยสิ่งใดออกมา แต่เขารู้ว่าในพระทัยของฮ่องเต้นั้นจะต้องเ็ปอีกครั้ง
ณ เวลานี้ ดวงจันทร์ได้วาดผ่านกิ่งก้านของต้นไม้ ราวกับว่ามันอยู่ไม่ไกลนัก แสงจันทร์ส่องสว่าง ในสวนของตำหนักลึกแห่งนี้ ไม่ว่าใครที่เข้ามาย่อมรู้สึกว่าหัวใจด้านชาและเย็นะเื
ในตำหนักลิ่วฉือ ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ จนกระทั่งกลางดึกได้ยินเสียงดังลอยมาจากด้านใน อันกงกงใ เงี่ยหูฟัง ได้ยินคล้ายเสียงของบุรุษที่อู้อี้ เสียงนั้นเบามาก แต่ก็เหมือนกับค้อนหนักๆ ทุบมาที่ศีรษะของอันกงกงอย่างรุนแรง ท่ามกลางแสงจันทร์เช่นนี้ ได้ยินเสียงของความเ็ปไม่รู้จบของฮ่องเต้ดังลอยมา อันกงกงปวดใจยิ่งนักที่ตนช่วยอะไรไม่ได้
ผ่านไปนาน เสียงนั้นค่อยๆ หายไป จากนั้นก็กลายเป็เสียงที่หนักแน่นและทรงพลัง
“อันกงกง เข้ามา”
เมื่ออันกงกงได้ยินดังนั้น เขาแทบจะล้มลุกคลุกคลานเข้าไปในตำหนักลิ่วฉือทันที เมื่อเขาผลักประตูเข้าไป เขาก็ใจนทรุดตัวลงกับพื้น
ที่แท้บนผนังทั้งสี่ด้าน ล้วนถูกแขวนด้วยภาพเหมือนของสตรีที่ชื่ออาซีคนนั้น มีทั้งตอนเป็เด็กหญิง ตอนที่โตเป็หญิงสาวเต็มวัย รวมถึงตอนก่อนเข้าวัง และหลังจากเข้าวัง
มีทั้งตอนหัวเราะ ร้องไห้ หรือตอนที่มีเสน่ห์ ภาพแบบต่างๆ หลายร้อยแผ่นถูกแขวนอยู่เต็มห้อง
ขาของอันกงกงอ่อนลง คุกเข่าลงกับพื้น
อวิ๋นซู่ไม่สนใจท่าทีที่น่าเกลียดของอันกงกง เอาแต่จ้องมองภาพใหม่ตรงหน้าโต๊ะทรงงานแล้วกล่าว
“เ้ามาดูสิว่าเหมือนหรือไม่? ข้าใกล้จะจำลักษณะของนางไม่ได้แล้ว”
ขาของอันกงกงยังอ่อนแรงเพราะรูปวาดเสมือนนี้อยู่ เขาโค้งกายเดินไปที่ด้านข้างของฮ่องเต้ มองดูภาพวาดบนโต๊ะ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งวาดเมื่อคืนนี้
หญิงสาวสวมชุดสีขาวคนนั้น นางม้วนผมขึ้น เหมือนว่ากำลังยืนยิ้มอยู่ใต้ต้นสาลี่ และภาพวาดก็ดูเหมือนจริง ราวกับว่าสตรีนางนั้นกำลังจะะโออกมาจากภาพวาดก็ไม่ปาน
มีคำสั้นๆ เขียนอยู่บนภาพวาดนั้น “ความรักของข้า”
ดูเหมือนอวิ๋นซู่กำลังพูดกับตัวเอง และยังดูคล้ายว่ากำลังถามอันกงกงด้วย
“เหมือนหรือไม่?”
ความทรงจำของอันกงกงที่มีต่อสตรีที่ชื่อลิ่วซีนี้ค่อนข้างคลุมเครือ จำได้เพียงว่านางชอบหัวเราะ ชอบสร้างปัญหา และมักจะแสดงอำนาจควบคุมเมื่อครั้งที่ฮ่องเต้ยังเป็เพียงองค์ชายสาม เมื่อได้มาเห็นภาพวาดนี้ ความทรงจำเกี่ยวกับสตรีนางนั้นก็ลอยขึ้นมาราวกับขนนก เขาจึงรีบตอบไปว่า
“เหมือน เหมือนมากพ่ะย่ะค่ะ”
อันกงกงรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย เมื่อเขาตอบคำถามนี้ไปก็แทบจะร้องไห้ โชคดีที่อวิ๋นซู่ไม่ถามอะไรอีก เขาค่อยๆ ม้วนภาพวาดอย่างระมัดระวัง
ม้วนไป ก็พูดคุยไป
“กี่ปีแล้ว? นางจากไปกี่ปีแล้ว?”
อันกงกงเริ่มมีเหงื่อแตกพลั่ก นี่เป็ครั้งแรกที่ฮ่องเต้ได้ตรัสกับเขาเกี่ยวกับสตรีที่ชื่ออาซี เป็ครั้งแรกที่ฮ่องเต้ยอมตรัสถึงการจากไปของนาง
เขาใกลัว ก่อนจะตอบกลับไปด้วยหัวใจที่สั่นสะท้าน
“ั้แ่ปีที่ฮ่องเต้เสด็จขึ้นครองบัลลังก์ ตอนนี้ก็เป็เวลาหกปีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากที่เขาพูดจบ ฮ่องเต้ก็ไม่ตอบ ภายในห้องพลันเงียบสงัด หัวใจราวกับกำลังจะะโออกมา ผ่านไปเนิ่นนาน เขาถึงได้ยินฮ่องเต้ตรัสด้วยเสียงเบา
“หกปี นี่ก็หกปีแล้ว ไม่รู้ว่าหกปีนี้ลงโทษข้าพอหรือยัง”
“อันกงกง ข้าควรได้สติแล้วหรือยัง?”
“ฝ่าา พระองค์มีพระสติอยู่เสมอ” อันกงกงไม่รู้จะตอบอย่างไรดี จึงได้แต่พูดเช่นนั้น
“หลายปีมานี้ ข้าไม่ยอมบอกว่านางจากโลกนี้ไปแล้ว แม้แต่แม่ทัพเจิน ข้าแค่บอกว่านางทำผิด และถูกขังอยู่ในตำหนักลิ่วฉือ ข้าแค่กลัว ข้านึกว่าการไม่ยอมรับว่านางจากไปแล้ว จะหมายถึงนางยังไม่ตาย ยังไม่จากข้าไปไหน นางแค่โกรธข้า เลยออกไปวิ่งเล่นข้างนอก เดี๋ยวพอนางเล่นจนพอใจแล้ว นางก็จะกลับมา”
“แต่นางไม่มีวันกลับมา แม้แต่ในความฝันนางก็ไม่ยอมกลับมา”
“ได้เวลาตื่นแล้ว”
หลังจากที่เขาพูดกับตัวเองเสร็จแล้ว เขาก็เงยหน้าขึ้นมองอันกงกง ดวงตาของเขาเปลี่ยนจากความอ่อนแอเป็ความเย่อหยิ่งที่เยือกเย็นตามปกติ
“เผาทุกอย่าง รวมทั้งตำหนังลิ่วฉือด้วย อย่าเหลือสิ่งใดทิ้งไว้”
น้ำเสียงและท่าทางของเขาไร้ความปรานีและเด็ดขาด ไม่มีช่องว่างให้เจรจาแม้แต่น้อย
อันกงกง้าเกลี้ยกล่อมเขาอีกครั้ง กลัวว่าหากต้องเผาจริงๆ โดยไม่หลงเหลือความรู้สึกใด ภายหลังหากเขารู้สึกเสียใจขึ้นมาจะทำเช่นไร?
แต่ฮ่องเต้เป็คนที่ตรัสคำไหนคำนั้น และเมื่อเขาตัดสินใจแล้ว ย่อมจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ช่างเถอะๆ เผาแล้ว เริ่มต้นใหม่ ลืมตำหนักลิ่วฉือและลืมสตรีที่ชื่ออาซี
อวิ๋นซู่เอ่ยเสียงเ็า
“จัดการตอนนี้เลย”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าา”
ตำหนักลิ่วฉือแห่งนี้ เป็ตำหนักที่ทุกคนในวังหลังล้วนหลีกเลี่ยง กำลังจะเปลี่ยนเป็เถ้าถ่านในค่ำคืนนี้ และความคับข้องใจทั้งหมดล้วนจะกลายเป็เถ้าถ่าน
เมื่อไฟไหม้ที่ตำหนักลิ่วฉือส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้าเหนือพระราชวัง ในวังหลังก็เริ่มวุ่นวาย
ชางรั่วอวี้รีบเร่งมาในตอนดึก กู้ซินและสนมคนอื่นๆ ต่างมายืนอยู่หน้ากองเพลิงขนาดใหญ่
ชางรั่วอวี้ ถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา
“มีใครอยู่ในนั้นหรือไม่”
“เหตุใดไม่มีคนไปช่วยดับไฟเล่า?”
ทุกคนต่างมองหน้ากัน และมองไปยังฮ่องเต้ที่ประทับอยู่ตรงหน้า ท่ามกลางกองเพลิงที่โหมกระหน่ำ ใบหน้าของทุกคนมืดมนและไม่ชัดเจน มีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่จ้องมองกองเพลิงโดยไม่มีการเคลื่อนไหว สีหน้าของเขาเยือกเย็นและโเี้จนไม่รู้จะหาคำใดมาอธิบาย
ในที่สุดชางรั่วอวี้ก็อดไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่อดไม่ได้เสียทีเดียว เพราะนี่เป็การถามหยั่งเชิง
“ฝ่าา น้องหญิงยังอยู่ข้างใน”
ทันทีที่นางพูดจบ ก็เห็นฮ่องเต้หันกลับมามองทุกคน ก่อนจะรับสั่งอันกงกง
“ไปจัดงานศพที่ตระกูลเจิน”
หลังจากที่เขาพูดจบ ไฟที่โหมกระหน่ำเื้ัของเขาก็ค่อยๆ เผาไหม้ทุกสิ่งจนกลายเป็เถ้าถ่าน และท้องฟ้าที่เป็สีแดงก็เริ่มกลับมาเป็ปกติ
กลางดึก มีคนมาเคาะประตูใหญ่จวนตระกูลเจิน พ่อบ้านสวีตื่นขึ้นมาเปิดประตูด้วยอาการงัวเงีย ทหารที่เฝ้าประตูอยู่ก็พูดว่า
“มีข่าวมาจากวังขอรับ”
ข่าวจากวังนี้ทำให้พ่อบ้านสวีสร่างจากอาการงัวเงียอย่างสมบูรณ์ เมื่อเปิดประตูก็เห็นกงกงที่ในวังให้มาส่งข่าวยืนอยู่ข้างนอกจริงๆ ก่อนจะโค้งคำนับและเชิญเข้ามาทันที การเคลื่อนไหวที่นี่ได้ปลุกแม่ทัพเจิน เจินฮูหยินและเจินลิ่วเจิ้ง พวกเขาทั้งหมดออกมาคุกเข่าที่ลานบ้านเพื่อรับราชโองการ พวกเขาไม่รู้ว่าฮ่องเต้้าจะรับสั่งเื่ใดในเวลากลางคืนเช่นนี้