อันกงกงมองดูคนในตระกูลเจินก็ให้รู้สึกหดหู่ใจ อดไม่ได้ที่จะพูดออกไปพร้อมกับรีบเข้าไปช่วยพยุงแม่ทัพเจินลุกขึ้นมา
“ท่านแม่ทัพเจิน ท่านไม่ต้องมากพิธี ข้ามาที่นี่เพื่อบอกพวกท่านปากเปล่าเท่านั้น”
“กงกง ท่านพูดมาเถอะ”
อันกงกงครุ่นคิดว่าสมควรจะพูดอย่างไรดี
“คืนนี้ ที่ตำหนักลิ่วฉือเกิดเพลิงไหม้จนกลายเป็เถ้าถ่าน” เขาไม่พูดอ้อมค้อม ตรงเข้าประเด็นทันที และเห็นใบหน้าของแม่ทัพเจินซีดเผือด เจินฮูหยินก็ร้องะโออกมาเหมือนคนใบ้ที่ไม่สามารถพูดอะไรได้
คำพูดของอันกงกงไม่จำเป็ต้องอธิบายอะไรมาก ทุกคนต่างคงรู้ดี ดังนั้นเขาจึงเอ่ยเกลี้ยกล่อม
“ข้าขอแสดงความเสียใจด้วย”
“ไม่ ลูกที่น่าสงสารของแม่…” เจินฮูหยินส่งเสียงร้องโหยหวนโดยไม่สนใจภาพลักษณ์ของนาง จนนางทรุดตัวลงเพราะความใ เจินลิ่วเจิ้งรีบเร่งเข้าไปพยุงมารดาทันที และกดจุดฝังเข็มเพื่อให้นางผ่อนคลายลง
แม่ทัพเจินนิ่งเงียบ
“อันกงกง เกิดเื่ขึ้นได้อย่างไร เหตุใดอยู่ดีๆ ตำหนักลิ่วฉือถึงถูกไฟไหม้ได้ เหตุใดซีเอ๋อร์ถึงหนีออกมาไม่พ้น?”
“ท่านแม่ทัพเจินท่านก็รู้ ว่าตำหนักลิ่วฉือสร้างขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลและไม่มีใครผ่านไปผ่านมาใน่ไม่กี่ปีมานี้ ดังนั้นเมื่อรู้ว่าไฟไหม้ ทุกอย่างก็สายไปแล้ว” เจินฮูหยินผลักเจินลิ่วเจิ้งออก แล้วคุกเข่าลงต่อหน้าอันกงกงพร้อมกับร้องไห้
“ใครเป็คนวางเพลิง ใครที่้าสังหารซีเอ๋อร์ของพวกเรา? ซีเอ๋อร์ผู้น่าสงสารของข้า ข้าขอร้องฮ่องเต้ให้ความเป็ธรรมแก่พวกเราด้วย”
“หลังจากที่นางเข้าไปในวัง นางได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ไม่นาน ก็ต้องถูกขังอยู่ในตำหนักลิ่วฉือ ตอนนี้นางตายยังหาคำอธิบายไม่ได้ อันกงกง ได้โปรดขอความช่วยเหลือจากฝ่าา ให้ฝ่าาคืนความยุติธรรมให้นางด้วย”
เจินฮูหยินร้องไห้แทบขาดใจ ยังดีที่เจินลิ่วเจิ้งมาพยุงนางได้ทัน แววตาของเขาแดงก่ำแล้ว
มีเพียงแม่ทัพเจินเท่านั้นที่สงบจนน่ากลัว เขา้าเห็นศพของบุตรสาว ดังนั้นจึงพูดกับอันกงกง
“ข้า้าเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ได้โปรดอันกงกงช่วยนำเื่นี้ไปทูลฝ่าาให้ข้าที”
“ฮ่องเต้เองก็ประสงค์เชิญเ้าไปในวังด้วย แต่วันนี้ดึกเกินไป ไว้พรุ่งนี้ค่อยไปเถอะ”
“ขอบคุณอันกงกง”
ในคืนนั้น ข่าวนี้เหมือนกับะเิขนาดใหญ่ที่ลงมายังตระกูลเจินที่เคยเงียบสงบ เจินฮูหยินร้องไห้จนแทบจะเป็ลม กระทั่งนางลุกขึ้นจากเตียงไม่ได้ เจินลิ่วเจิ้งนั่งเฝ้าอยู่ข้างกายนางด้วยใบหน้าเศร้าซึม มีเพียงแม่ทัพเจินเท่านั้นที่นั่งอยู่ในห้องโดยไม่พูดอะไรแม้คำเดียว
“ท่านพ่อ ท่านเข้าวังในวันพรุ่งนี้ ต้องขอร้องให้ฮ่องเต้ตรวจสอบเื่นี้ให้กระจ่างนะขอรับ น้องสาวมีนิสัยร่าเริง นางไม่มีทางรนหาที่ตายเด็ดขาด ท่านก็เห็นคราวที่แล้วนางหนีออกมาจากวัง สภาพจิตใจของนางดีมาก ถ้านางจะรนหาที่ตายจริงๆ ตอนนั้นนางคงไม่มีทางกลับมาที่นี่”
การวิเคราะห์ของเจินลิ่วเจิ้งสมเหตุสมผล แม่ทัพเจินดูเหมือนกำลังตกอยู่ในห้วงความคิด เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
เจินฮูหยินลุกขึ้นมานั่งร้องไห้
“เมื่อปีนั้น ข้าไม่ควรให้ซีเอ๋อร์เข้าวังเลย ด้วยนิสัยของนางไม่เหมาะกับที่นั่น ครั้งสุดท้ายที่นางกลับมา ข้าควรจะห้ามไม่ให้กลับเข้าวัง ล้วนเป็ความผิดของแม่ ซีเอ๋อร์ ลูกที่น่าสงสารของแม่"
เจินฮูหยินเศร้าใจจริงๆ ลิ่วซีคือไข่มุกในฝ่ามือของนางที่นางทะนุถนอมมาั้แ่เด็ก เมื่อหลายปีก่อนนางถูกขังอยู่ในตำหนักลิ่วฉือ หัวใจของนางก็ราวกับถูกมีดกรีด ตอนนี้มาตายอย่างอนาถ จะให้นางมีชีวิตอยู่ต่อได้อย่างไร
เจินลิ่วเจิ้งเอ่ยปลอบใจ
“ท่านแม่ ท่านวางใจเถอะ ข้าจะทวงความยุติธรรมให้น้องสาวอย่างแน่นอน”
ทั่วทั้งจวนตระกูลเจินในคืนนั้นเต็มไปด้วยแสงไฟสว่างและเสียงร้องไห้ที่ดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งวันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าสว่างเพียงเล็กน้อย แม่ทัพเจินก็แต่งตัวและเดินทางไปที่วังแต่เช้าตรู่
เหตุเพลิงไหม้ตำหนักลิ่วฉือเมื่อคืนนี้ ทุกคนต่างแอบซุบซิบกันเบาๆ รวมถึงอยากรู้ว่าสตรีที่ถูกขังอยู่ในตำหนักนั้น เหตุใดไม่ร้องออกมา จนตายอยู่ในกองเพลิงนั่น
แม่ทัพเจินอายุเกินห้าสิบปีแล้ว เพราะเขารับผิดชอบดูแลอยู่ในกองทัพมาหลายปี ที่ผ่านมาเขาจึงสง่างามและก้าวเดินอย่างทรงพลัง แต่ในเวลานี้ เพราะเหตุการณ์เมื่อคืน ตอนที่เขาเดินเข้ามายังท้องพระโรงั้แ่เช้าตรู่ แผ่นหลังค่อม ทุกย่างก้าวล้วนดูเฉื่อยชา เหมือนคนที่ไร้เรี่ยวแรง เมื่อเห็นฮ่องเต้ ศีรษะของเขาก็เต็มไปด้วยเหงื่อ ใบหน้าซีดเผือด และทรุดตัวลงคุกเข่าบนพื้น
“ฮ่องเต้ทรงพระเจริญ”
“ลุกขึ้นเถอะ” อวิ๋นซู่มองไปที่แม่ทัพเจินผู้ที่เคยสง่างามเสมอ ราวกับว่าอายุเขามากขึ้นสิบปีในชั่วข้ามคืน ท่าทางดูไม่ยินยอมเล็กน้อย อาซี เ้ารู้ถึงความโหดร้ายของเ้าหรือไม่? เขาคิดเช่นนั้นในใจ แต่เมื่อเขามองไปที่แม่ทัพเจิน เขาไม่ได้แสดงออกมาให้เห็นเลย
แม่ทัพเจินที่หมอบอยู่บนพื้น เงยหน้าขึ้นมา
“ฝ่าา ได้โปรดทรงตรวจสอบเื่นี้ให้กระจ่าง คืนความยุติธรรมให้ลิ่วซีด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
อวิ๋นซู่มองไปยังแม่ทัพเจินที่อยู่ด้านล่าง รู้สึกถึงความเ็ปที่คล้ายกับกำลังโจมตีมาที่เขา แต่เขาทนเ็ปต่อไปไม่ได้แล้ว และไม่อาจทำให้นางรู้สึกเ็ปได้อีกต่อไป หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ปรับอารมณ์ก่อนจะเอ่ยอย่างเ็า
“ท่านแม่ทัพเจิน ข้าขอแสดงความเสียใจด้วย”
ทว่าใต้เท้าเจินก็ยังไม่ลุกขึ้น เขาเงยหน้ามองไปที่ฮ่องเต้ ด้วยสายตาวิงวอนที่ไม่ได้เห็นมาหลายปี แม่ทัพรุ่นแรกที่มีกระดูกแข็งแกร่งราวกับเหล็ก กลับมีแววตาวิงวอนร้องขอ “ฝ่าา แม้ว่าเมื่อก่อนลิ่วซีจะยังเด็กไม่ประสา เพราะนางกระทำผิดจึงต้องถูกจับขังในตำหนักลิ่วฉือ หลายปีมานี้ นางไม่ได้ก่อเื่วุ่นวายอะไร ถ้านางไม่รนหาที่ตายั้แ่ครั้งแรกที่นางถูกจับขัง หลายปีถึงเพียงนี้แล้ว นางไม่มีทางรนหาที่ตายแน่นอน ฝ่าา พระองค์ย่อมทรงรู้ว่าลิ่วซี นางกลัวเจ็บ แค่ผิวถลอก นางยังร้องไห้เสียงดัง ถ้านางอยากตายจริงๆ นางไม่มีทางจุดไฟเผาตัวเองแน่นอน”
นี่คือสิ่งที่เขารู้จักลูกสาวของเขาแม่ทัพเจิน นางจะหาวิธีทำให้ตัวเองตายอย่างน่าสลดใจเช่นนี้ได้อย่างไร? เป็ไปไม่ได้ เขามั่นใจว่าซีเอ๋อร์ไม่มีทางรนหาที่ตาย
ใบหน้าของอวิ๋นซู่มืดมนลง
ใช่ จากสิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับนาง เขาก็มั่นใจว่านางจะไม่รนหาที่ตาย นางจะไม่ฆ่าตัวตายเพราะตัวเองกลับเจ็บ แต่นางอยู่ตรงหน้าเขา กลับะโลงไปในเหวลึกกว่าหมื่นจั้ง กระดูกแตกละเอียด
เมื่อคิดถึง่เวลานั้น หัวใจของเขารู้สึกเหมือนมีดาบแหลมคมทิ่มแทงอยู่ในใจ และในที่สุดความคิดที่สงบลงก็จับเขาไว้แน่นอีกครั้ง มือที่บีบพนักแขนเก้าอี้ัไว้แน่นก็พลันมีเส้นเืสีดำปูดโปนออกมา
“แม่ทัพเจิน นางตายแล้ว นางตายไปแล้ว”
ประโยคนี้เขาบอกกับแม่ทัพเจิน และบอกกับตัวเอง
“ได้โปรดฝ่าา โปรดสอบสวนให้ชัดเจนด้วย ต้องมีคนจงใจทำร้ายนาง นางตายไปเช่นนั้น ต้องตายตาไม่หลับแน่ ฝ่าา”
แม่ทัพเจินที่เคยสงบ ทันใดนั้นกลับะเิอารมณ์ออกมา และคุกเข่าลงบนพื้นด้วยน้ำตาไหลพราก เพลิงไหม้แผดเผาทุกสิ่งเป็เถ้าถ่าน แม้แต่จะมองเป็ครั้งสุดท้ายก็ทำไม่ได้เลยอย่างนั้นหรือ?
ในวันนั้น ซีเอ๋อร์หนีออกจากตำหนักลิ่วฉือ และกลับมาที่จวนตระกูลเจินเพื่อไปเยี่ยมพวกเขา หากเขาไม่สนใจเหตุผล หากเขาทำตัวเลอะเลือนไปบ้าง และปล่อยให้ซีเอ๋อร์หนีไปให้ไกลที่สุดมันจะดีเพียงใดกัน? นางคงไม่มาตายอย่างนี้
อวิ๋นซู่นั่งอยู่บนตำแหน่งสูง มองดูแม่ทัพเจินที่อยู่เบื้องล่างด้วยสติเลื่อนลอย
“นางตายแล้ว นางฆ่าตัวตาย ขอแสดงความเสียใจด้วย” เขาไม่อยากจะพูดอะไรมากไปกว่านั้น ก่อนจะลุกขึ้นคิดจะจากไป กลับเห็นแม่ทัพเจิน ที่จู่ๆ ก็ลุกขึ้นยืนและกล่าวว่า
“ซีเอ๋อร์ไม่มีทางฆ่าตัวตาย หากนาง้าจะฆ่าตัวตายจริงๆ วันนั้นนางคงไม่หนีกลับมาที่จวนตระกูลเจิน และกลับไปอีก ทั้งที่นางออกมาได้แล้ว แต่นางกลับเข้าวังหลังด้วยความสมัครใจ และหวังในใจว่า ฝ่าาจะนึกถึงนางสักวัน และกลับมาดูแลนางอีกครั้ง ไม่เช่นนั้นนางออกมาจากวังได้แล้ว จะกลับมาอีกทำไม?”
เพื่อให้ฮ่องเต้สืบหาความจริง แม่ทัพเจินไม่สนใจความผิดที่บุตรสาวตนเองหนีออกมาจากวังโดยพลการ ไหนๆ คนก็ตายไปแล้ว จะสนใจเื่หนีออกมาจากวังได้อย่างไร?
แต่ทันทีที่เขาพูดจบ จู่ๆ เขาก็เห็นพระพักตร์ของฮ่องเต้เปลี่ยนไป จับจ้องมาที่เขาตาไม่กะพริบ เอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“เ้าบอกว่านางกลับไปที่ตระกูลเจินอย่างนั้นหรือ?”
“นางกลับไปที่ตระกูลเจินอย่างนั้นหรือ?” ประโยคนี้ทำให้เสียงของฮ่องเต้ดังขึ้น
“นางกลับไปเมื่อไi?” ฮ่องเต้คำรามออกมา และก้าวเข้าไปหาเขาทีละก้าว
เมื่อแม่ทัพเจินเห็นสีพระพักตร์ของฮ่องเต้ เขาก็ใอย่างมาก และบอกความจริงไป
“เมื่อไม่นานมานี้เองพ่ะย่ะค่ะ นางกลับไปที่ตระกูลเจินเพื่อไปเยี่ยมพวกเรา นางพักอยู่หนึ่งคืน และกลับมาที่วังในวันรุ่งขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
แม่ทัพเจินคิดในใจ เมื่อนางตายไปแล้ว เื่ที่เคยหนีกลับจวนย่อมไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร แต่เมื่อเห็นท่าทางของฮ่องเต้ตอนนี้ เขาพลันรู้สึกได้ถึงหายนะที่ใกล้เข้ามา
เป็จริงดังคาด เห็นเพียงหน้าอกของฮ่องเต้กระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง หลังจากอารมณ์สงบลง เขาก็เอ่ยด้วยความโกรธ
“ทหาร แม่ทัพเจินกล่าวเื่เท็จสร้างความสับสนให้ผู้คน จับเข้าคุกนภา”
แม่ทัพเจินถูกคุมขังที่คุกนภา สำหรับตระกูลเจิน เื่นี้เหมือนฟ้าผ่าลงมาอย่างไม่ต้องสงสัย ั้แ่เ้านายไปจนถึงบ่าวรับใช้ ล้วนมีแต่ความหวาดกลัว และสิ่งที่ทำให้พวกเขาไม่สบายใจก็คือ ฮ่องเต้มาที่จวนตระกูลเจินด้วยตัวเอง
อันกงกงแยกคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเื่นี้ออกไปก่อน และเหลือเพียงเจินฮูหยินกับเจินลิ่วเจิ้งเท่านั้นที่มาต้อนรับ
เจินฮูหยินแทบเดินไม่ไหว จึงต้องให้เจินลิ่วเจิ้งมาช่วยพยุงนางเข้าเฝ้าฮ่องเต้ อันกงกงขอให้พวกเขาเข้าไปในเรือนเพื่อพูดคุย ฮ่องเต้เอาแต่มองพวกเขาอย่างเงียบๆ บรรยากาศเช่นนี้เหมือนกับน้ำมันที่เดือดในกระทะ
อันกงกงกล่าว
“ฮ่องเต้มีบางอย่างที่ประสงค์จะรู้ พวกเ้าต้องรายงานมาตามความจริง ห้ามบิดเบือน มิเช่นนั้นจะถูกปะาหากกล่าวเท็จ”
“ได้ขอรับ เชิญถามมาได้เลย”
อวิ๋นซู่นั่งอยู่ตรงนั้นไม่พูดอะไร แต่เป็อันกงกงที่เอ่ยถามตลอด
“แม่ทัพเจินบอกว่า เจินลิ่วซีเคยกลับมาที่จวน จริงหรือไม่?”
ต่อเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ไม่มีใครกล้าโกหก อีกทั้งยามนี้แม่ทัพเจินก็ยังอยู่ในคุก
“ใช่ น้องสาวของข้าเคยกลับมา”
“เมื่อไร?”
“เมื่อไม่กี่เดือนก่อนขอรับ” เจินลิ่วเจิ้งตอบทุกคำถาม
“จำระยะเวลาได้หรือไม่?”
“ข้าจำไม่ค่อยได้ ประมาณห้าเดือนก่อน อยู่ๆ นางก็กลับมา เพราะหนีออกมาจากวัง ดังนั้นวันรุ่งขึ้น ท่านพ่อของข้าจึงเกลี้ยกล่อมนางให้กลับวังโดยเร็วที่สุด การตายของนาง เกี่ยวข้องกับเื่นี้อย่างนั้นหรือ?”
อันกงกงไม่ตอบคำถามแต่กลับถามต่อ
“ตอนนั้นนางเป็อย่างไร? เ้าแน่ใจหรือว่าเป็นาง? ไม่ได้จำผิด?”
“นางเป็น้องสาวของข้า แม้ว่าข้าจะไม่ได้เจอนางมาหลายปีแล้ว แต่ข้าไม่มีทางจำผิดแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น รูปร่างหน้าตาของนางไม่เปลี่ยนไปเลย ยังเหมือนกับเมื่อก่อน”
ในคำถามและคำตอบนี้ อันกงกงมั่นใจว่านี่คือเจินลิ่วซี และอวิ๋นซู่ก็มั่นใจเช่นกันว่านั่นคืออาซี ไม่มีผิดพลาด
ที่แท้นางก็ยังไม่ตาย นางยังไม่ตายจริงๆ หัวใจของเขาเต้นรัวเมื่อได้รู้เื่นี้
เขายับยั้งความรู้สึกทั้งหมดของตัวเอง แล้วพูดอย่างเ็า
“ติดประกาศ ในอีกสามวัน จะปะาแม่ทัพเจินตอนเที่ยงวัน”
“ฝ่าา ได้โปรดเมตตาพวกเราด้วย!”
เจินลิ่วเจิ้งคุกเข่าลงบนพื้นด้วยตัวที่สั่นสะท้าน เจินฮูหยินหมดสติไปทันที
อวิ๋นซู่ไม่สนใจพวกเขาแม้แต่น้อย แต่เดินตรงออกไปข้างนอก สามวัน เขาให้เวลาเพียงสามวันเท่านั้น
เจินลิ่วเจิ้งะโตามมาจากด้านหลัง
“ฮ่องเต้ได้โปรดเมตตาด้วย ท่านพ่อข้าทำอะไรผิด?”
"ได้โปรดฮ่องเต้เมตตาพวกเราด้วย"
แต่ไม่ว่าเจินลิ่วเจิ้งจะขอร้องอย่างไร ฮ่องเต้ที่อยู่ข้างหน้าก็ไม่หวั่นไหว อันกงกงกลับขยิบตาเพื่อบอกให้พวกเขาสงบสติอารมณ์
สายตาของอันกงกงดูเฉพาะเจาะจงเกินไป ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงได้หรือ? เจินลิ่วเจิ้งไม่เข้าใจ แต่เขาก็สงบลง ไม่พูดอะไรอีก
ทว่าภายในระยะเวลาอันสั้นนี้ สำหรับตระกูลเจิน มันเหมือนกับหายนะที่ไม่สมเหตุสมผล แม่ทัพเจินก่อความผิดร้ายแรงหรือ? ในอดีตเขาเคยแพ้การรบ ทำลายกองกำลังและได้รับความกดดันจากราชสำนัก แต่ฮ่องเต้ก็ไม่เคยลงโทษเขา ทว่าตอนนี้ เขาก่อความผิดร้ายแรงอะไรกัน?