สุดเขตแดนสมุทร
ตอนที่ 26
“ขอโทษที่ต้องรบกวนครับคุณนาย แต่ผมเห็นว่าคุณนายขาดการติดต่อ ผมถึงต้องมาหาคุณนายถึงที่นี่” ชายรูปร่างสมส่วนแต่งตัวมีภูมิฐานนั่งคุยกับคุณนายรุ่งฤดีบริเวณห้องรับแขกใน่เวลาเกือบเที่ยงวัน หลังจากที่ติดต่อคุณนายรุ่งฤดีได้เขาจึงรีบนั่งเครื่องบินจากกทม. กลับมายังจังหวัดภูเก็ตโดยเร็วที่สุด
“ฉันไม่ค่อยสบาย”
“อย่างนั้นเหรอครับ” มีเพียงริ้วรอยและความเหี่ยวย่นตามกาลเวลาเท่านั้นที่ทำให้คุณนายรุ่งฤดีดูแก่ลงทว่าก็ไม่ได้มากมายอะไร
“ผมเก็บหลักฐานมาให้คุณนายได้อีกนิดหน่อย แต่ว่าก็พอจะมัดตัวและยืนยันได้ทุกอย่าง”
“อืม...”
“เป็อย่างที่คุณนายคิดจริง ๆ ครับ”
“อย่างที่ฉันคิดอะไร”
“ก็...” ทนายวัตรอ้ำอึ้ง ด้วยเพราะเขาคิดว่าคุณนายรุ่งฤดีจะต้องรู้ความจริงหมดแล้ว
“...”
“ก็เื่เด็กม่านหยี่นั่น เื่ที่คุณนายสงสัยเกี่ยวกับเขา เป็เื่โกหกทั้งหมด”
“...อย่างนั้นเหรอ”
“คุณนายยังไม่ได้อ่านหลักฐานพวกนั้นใช่มั้ยครับ”
หญิงวัยกลางคนไม่ตอบทำเพียงแค่ส่ายหน้าเบา ๆ ชีวิตของหญิงวัยกลางคนที่กำลังโรยรามีสารพัดเื่ให้คิดถึงแม้ว่าเื่ม่านหยี่จะสำคัญแต่เื่สุขภาพของเธอก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน หลังจากที่ได้รับการวินิจฉัยและยืนยันจากคุณหมอแล้วว่าเธอกำลังป่วยเป็มะเร็งสุขภาพของคุณหญิงรุ่งฤดีก็กลับตาลปัตรจากหน้ามือเป็หลังมือ มันย่ำแย่ลงทันที คนนอกอาจเห็นไม่ชัดแต่กับรามสูรไม่ใช่อย่างนั้น พักหลังมานี้รามสูรเทียวพาเธอไปหาหมอ ทั้งเธอและลูกชายคนเล็กคุยกันอยู่เกือบสามวันเต็มว่าจะบอกอัสนีผู้เป็พี่ชายอย่างไร จนรามสูรตัดสินใจโพล่งออกไปในขณะที่เธอกำลังรับคำแนะนำจากแพทย์ อัสนีบึ่งรถมายังโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด แม่และลูกชายทั้งสองคนขอคำแนะนำจากแพทย์ประจำตัวมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และเป็อย่างที่เธอคิดอัสนีประคองสติได้ดีกว่ารามสูร คนพี่มักจะไม่พูดอะไรออกมาแต่เธอก็รู้ว่าลูกทั้งสองห่วงเธอยิ่งกว่าอะไรดี คงแอบไปปรึกษากันอย่างลับ ๆ อีกเช่นเคย
“คุณนาย...สบายดีนะครับ”
“อืม...จะให้ฉันว่ายังไงล่ะคุณทนาย ฉันก็แก่แล้วไม่ค่อยสบายอย่างเมื่อก่อนแล้วละ”
“...”
“และที่ติดต่อคุณทนายไปวันนี้ก็อยากรบกวนให้คุณทนายจัดการเป็ธุระเื่มรดกให้หน่อย”
“ครับ?”
“ไอ้ที่ยังไม่โอน หรือไอ้ที่โอนแล้วเอามากางให้ฉันดูหน่อยนะ จะได้ตัดสินใจถูก” จุดประสงค์ที่แท้จริงวันนี้นั้นเธอไม่ได้ติดต่อทนายวัตรมาเพื่อไขปมของม่านหยี่ให้กระจ่างแจ้งแต่อย่างใด หากแต่เป็การไขปมชีวิตของเธอให้คลายออกให้หมดต่างหาก
“คือขอโทษนะครับคุณนายผมไม่เข้าใจ ถ้าหากคุณนายจะช่วยกรุณา” ทนายประจำตระกูลถามออกไปด้วยความระมัดระวังในคำพูดที่สุด เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเื่ที่คุณนายให้เขาตามสืบเมื่อหลายเดือนที่แล้วกับเื่ราวที่คุณนายรุ่งฤดีกำลังจะพูดต่อไปนี้มันเกี่ยวข้องกันไหม
“ฉันเป็มะเร็ง และที่เธอเห็นฉันสุขภาพดีในตอนนี้ที่จริงแล้วฉันคือหญิงแก่อายุเกือบหกสิบที่ตอนนี้ในร่างกายมีเซลล์มะเร็ง มันกำลังกัดกินฉันอยู่ทั้งร่างกายและจิตใจ และมันยังลามไปถึงจิตใจของลูกชายทั้งสองของฉันอีกด้วย...”
ทนายหนุ่มอ้าปากค้างให้กับประโยคยาวเหยียดของคุณนายรุ่งฤดีที่บอกเื่ราวทั้งหมดให้เขาได้ฟัง
“เธอไม่ต้องห่วงเื่เด็กม่านหยี่นั่นยังไงฉันก็จะจัดการมันอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เวลาของเรามีเหลือไม่มากคุณทนาย การพบเจอกันครั้งหน้าเราอาจได้เจอกันในห้องพักรักษาตัวของโรงพยาบาลก็ได้ใครจะรู้ อย่างนั้นเรามาจัดการเื่ทรัพย์สินและมรดกทั้งหมดของฉันก่อนดีกว่า เอาไว้จัดการเื่พวกนี้เสร็จแล้วฉันจะจัดการเื่เด็กม่านหยี่ทีหลัง”
“...คะ...ครับ ได้ครับ”
“ดีมาก ไหนฉันขอดูที่ดินแปลงที่มันเป็ปัญหาอยู่ตอนนี้หน่อยซิ” คุณนายรุ่งฤดีเชิดคอยาว ๆ ของเธอขึ้น ช่างเป็การพยายามทำให้ตนเองดูเข้มแข็งในขณะที่ร่างกายอ่อนแอจนแทบจะล้มทั้งยืน ในบรรดาโฉนดที่ดินและจำนวนที่ดินหลายร้อยไร่ที่เธอเป็เ้าของอยู่นั้นมันมีที่ผืนหนึ่งซึ่งเป็ปัญหาอยู่ ด้วยเพราะว่าโฉนดที่ดินผืนนั้นมันเป็ที่โฉนดร่วม...
“นี่ครับคุณนายที่ดินท้ายเกาะที่คุณนาย คุณธเนศ และนายหัวศิลาเป็เ้าของร่วมกัน”
‘ที่ดินท้ายเกาะ’ ที่ว่านั้นมีเกือบยี่สิบไร่ทอดยาวไปตามชายหาดที่ซึ่งมีหินโสโครกและคลื่นทะเลที่แรงกว่าฝั่งตะวันออกทำให้ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ ทว่าที่ดินผืนนั้นมันเป็ที่ดินผืนแรกที่ซึ่งเธอ สามีและเพื่อนเก่านั่นก็คือนายหัวศิลาได้ทำการซื้อและเป็เ้าของร่วมกัน โดยในตอนนั้นเราทั้งสามคนมีปณิธานและวิสัยทัศน์ที่แน่วแน่ว่าจะเปลี่ยนที่ดินผืนนั้นให้มีราคาขึ้นมาจนได้ ทว่าเมื่อการเดินทางที่ยาวนานเกือบห้าปีไม่เห็นผล ที่ดินตรงนั้นไม่ได้ให้ค่าตอบแทนอะไรแก่คนทั้งสาม เป็เสมือนผืนดินต้องสาปที่คอยบั่นทอนต้นทุนและกำไรจากธุรกิจอื่น ๆ ที่พวกเธอลงทุนลงแรงกันสร้างขึ้นมา ไม่เพียงเท่านั้นมันยังบั่นทอนไปจนถึงมิตรภาพอันแน่นแฟ้นที่เคยสร้างด้วยกันมาหลายสิบปี ทันทีที่นายหัวศิลาได้เงินปันผลจากโรงแรมในไตรมาสสุดท้ายเขาก็ขายหุ้นและถอนตัวออกจากการร่วมธุรกิจกับเพื่อนสนิทโดยทันที นายหัวศิลาหันไปคว้าเอาโอกาสจากช่องทางทำเงินที่เห็นเงินได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยนั่นคือการลอบผลิตอาวุธเพื่อส่งขายทั้งในและต่างประเทศ เธอและสามีเป็ห่วงเพื่อนเก่าด้วยเพราะกลัวว่าจะเดินหลงไปจนไม่อาจหาทางกลับได้แต่ดูเหมือนว่าความห่วงใยมันอาจช้าเกินไป อย่างนั้นเธอและสามีเลยหันหลังให้เพื่อนเก่าและเลือกที่จะเดินไปคนละทาง
ที่ดินต้องสาปผืนนั้นกลายเป็ที่รกร้างแทบไม่มีคนสัญจร เธอรู้ดีว่าเพื่อนสนิทไม่ได้้าที่ดินผืนงามอื่นใดที่ซึ่งเป็ของเธอและศิลาก็ไม่ได้้าที่ดินฝั่งตะวันตกผืนนั้นด้วย แต่เขาก็แค่แค้น...โกรธแค้นที่ต้องเดินในเส้นทางดำมืดอย่างเดียวดาย เพื่อนเก่าพร่ำพูดเสนอข้อดีของการค้าอาวุธทั้งเงินทองและอำนาจ แต่เธอและสามีกลับเลือกที่จะปฏิเสธข้อเสนอแสนหอมหวานเ่าั้และเลือกที่จะนั่งทำงานตัวเป็เกลียวหัวเป็นอตบริหารโรงแรมที่ซึ่งตอนนั้นกำลังเผชิญวิกฤติการณ์จากภาวะเศรษฐกิจ อีกทั้งยังเป็ปัญหาของเราสามคนที่สั่งสมกันมาที่ซึ่งมันไม่ได้รับการแก้ไข กลายเป็ว่าสุดท้ายแล้วมิตรภาพที่เคยมีตอนนี้ก็มีให้กันไม่ได้
อีกทั้งอาการป่วยเป็โรคจิตเภทของศิลาที่ทำให้เื่ทุกอย่างมันย่ำแย่ลงไปยิ่งกว่าเดิม...
เพื่อนเก่าจ่อปลายกระบอกปืนไปยังกลางหน้าผากของรามสูรลูกชายของเธอที่ซึ่งนอนหลับอยู่กลางห้องนั่งเล่น นั่นเป็ครั้งสุดท้ายก่อนที่สายฟ้าจะฟาดมิตรภาพของเราทั้งสามให้ขาดสะบั้น
“ฉันตัดสินใจแล้วว่าฉันจะยกที่ดินผืนนั้นให้นายหัวศิลา”
“ครับ?...”
“อืม อย่างที่ว่าไป บางทีถ้าศิลาได้ที่ดินผืนนั้นกลับไปแลกกับข้อตกลงที่จะไม่มายุ่งวุ่นวายกับรามและที่ผืนอื่น ๆ บนเกาะอีกอย่างนั้นฉันอาจยอมให้ได้”
“แต่...คุณนายครับ”
“?”
“คือคุณนายก็รู้ว่านายหัวศิลาทำธุรกิจผิดกฎหมาย ถ้าคุณนายให้โฉนดที่ดินผืนนี้กลับไปนายหัวศิลาก็คงเอามันไปทำเื่ชั่ว ๆ ที่เรากังวลกันมาตลอดนะครับ”
“ก็ช่างเขาไปสิ ถ้าหากยกคืนไปแล้วก็จัดการเปลี่ยนอะไร ๆ ให้เรียบร้อยถึงตอนนั้นถ้าเกิดโดนตำรวจจับขึ้นมาก็จะไม่มีชื่อฉันชื่อผัวฉันหรือชื่อลูกชายฉันอยู่บนโฉนดนั่นแล้ว”
“แต่ว่า...”
“ทำอย่างนี้มันอาจเป็ผลดีต่อรามสูรที่สุดแล้ว แต่รายนั้นคงจะไม่ชอบใจเท่าไหร่ อย่างว่าแหละนะ ลูกติดแม่ฉันเกลียดศิลาเข้าไส้อย่างนั้นรามเลยเกลียดศิลาไปกับฉันด้วย ถึงแม้ว่ารามจะบอกว่าตัวเองติดพ่อก็เถอะแต่ตอนเด็ก ๆ น่ะติดฉันแจเลยทั้งพี่ทั้งน้อง” คุณนายรุ่งฤดีนั่งนึกถึงวันเวลาเก่า ๆ ที่เคยผ่านกันมา วันเวลาที่ครอบครัวเป็ครอบครัวอย่างสมบูรณ์แบบ
“...”
“เธอรู้มั้ยคุณทนายว่าทำไมฉันถึงเกลียดนายหัวศิลาเข้าไส้”
“ไม่ทราบครับ”
“ตอนนั้นเราทะเลาะกันอย่างหนัก ศิลาฟิวส์ขาดเอาปืนจ่อหัวนายราม นิ้วชี้วางอยู่ที่ไกปืนเตรียมลั่นแล้ว ฉันโกรธมากจนสติขาดสะบั้นวิ่งไปแย่งปืนออกจากมือเขา ไม่รู้โชคดีอะไรตอนนั้นปืนมันด้านยิงไม่ออก ทั้งฉันและพ่อของนายรามเราทั้งคู่เกลียดศิลาจนไม่อาจให้อภัยได้ มิตรภาพที่เคยมีให้กันมันพังทลายลงในวันนั้น”
“...”
“เป็เธอจะทำยังไง”
“ผมก็คงทำอย่างที่คุณนายทำครับ”
“ใช่มั้ย ฉันดีใจที่ฉันไม่ได้เป็คนสติขาดไปคนเดียว” เธอว่ายิ้ม ๆ พร้อมกับก้มลงมองไปยังหน้าโฉนดที่ดินอีกครั้ง
“แล้วทำไมอย่างนั้นคุณนายถึงยอมยกที่ดินผืนนั้นคืนครับ”
“มันไม่ได้เป็ของฉันมาั้แ่แรกอยู่แล้วหวงไปก็เท่านั้น จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้อีกทั้งมันก็ทำประโยชน์อะไรไม่ได้ ที่ฉันจะให้เขากลับคืนไปก็ไม่ได้คิดหรอกนะว่าเขาจะอยากได้มัน ทุกวันนี้ที่ศิลามันคอยมาป้วนเปี้ยนที่เกาะส่งคนมาสอดแนม มีลูกน้องคอยส่งข่าว เธอคิดว่ามันอยากได้ที่ดินฉันหรือยังไง”
“...”
“มันเอาความสะใจทั้งนั้น ศิลามันป่วยไม่ยอมไปหาหมอ แต่ก็นั่นแหละ ชีวิตใครชีวิตมัน มาไกลเกินจะกู่กลับแล้วละ”
“...”
“คนรอบตัวไม่มีใครทนได้ซักคน ที่เคยเห็นก็คงจะหนีหายตายจากกันไปหมดแล้วละนะ”
ทนายวัตรเชื่ออย่างสนิทใจแล้วว่าคุณนายรุ่งฤดีป่วยเป็มะเร็งจริง ๆ อย่างที่เธอบอกเขา ด้วยเพราะกิริยาอาการของเธอนั้นเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนมาก ทั้งยังจังหวะการพูดการยิ้มหรือแม้กระทั่งนิสัยใจคอที่ดูจะเยือกเย็นและนิ่งลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ไม่ใช่คุณนายรุ่งฤดีที่พร้อมจะดาหน้าเข้าฝ่าฟันอุปสรรคทุกอย่างเหมือนที่เคยทำมาแล้ว
“คุณนายครับ ถ้าไม่รบกวนเวลาผมก็อยากให้คุณนายดูอะไรหน่อยนะครับ เผื่อว่า...คุณนายจะได้จัดการเื่ต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น”
“เอาสิ! เื่ม่านหยี่ใช่มั้ย”
“ครับ” ซองเอกสารถูกยื่นมาด้านหน้าอีกครั้ง มันเป็ข้อมูลชุดเดียวกันกับที่เขาเคยส่งให้เธอทว่าก็ไม่ได้ถูกเปิดอ่าน นี่เป็ข้อมูลอีกชุดที่ซึ่งเพิ่มเติมขึ้นมาจากเดิมอีกนิดหน่อย แต่ข้อมูลนิดหน่อยนี้นั้นอาจเปลี่ยนชีวิตของทุก ๆ คนไปตลอดกาล...
ทางด้านม่านหยี่ที่วันนี้ลงไซต์งานกับรามสูรเหมือนอย่างเคยแต่เขากลับลืมโทรศัพท์เอาไว้บนห้องนอนที่บ้านใหญ่เสียได้ ม่านบอกคนรักก่อนที่จะขอตัวขับรถ ATV คันใหญ่ขึ้นเขากลับบ้านเพื่อไปเอาโทรศัพท์ ในขณะที่เขากำลังจะเดินผ่านห้องนั่งรับแขกไปนั้นก็พบว่าคุณนายรุ่งฤดีมีแขกที่ไม่คุ้นหน้ากำลังคุยธุระกันอยู่ ดูเหมือนจะเป็ธุระที่สำคัญมากเพราะสีหน้าของคนทั้งคู่ดูไม่ดีเอาเสียเลย
“เอ่อ...สวัสดีครับ” ม่านหยี่ยกมือไหว้ผู้ชายที่แต่งตัวดูดีคนนั้นเพราะคิดว่าคงจะอายุมากกว่าเขาอยู่พอสมควร ถ้าหากเดินผ่านหน้าไปเฉย ๆ มีหวังคงได้โดนเอามาเป็ประเด็นอีกแน่ ๆ
“มาพอดีเลย”
“...ผม...ผมเหรอครับ มีเื่อะไรรึเปล่าครับ” เ้าตัวยังคงไม่สังเกตเห็นว่ามีหลักฐานและรูปภาพซึ่งเป็ภาพถ่ายของเขาเองวางซ้อนทับกันอยู่ท่ามกลางเอกสารหลายสิบแผ่นซึ่งเอกสารเ่าั้ก็ล้วนแล้วแต่เป็ข้อมูลส่วนตัวของม่านหยี่ สิริลักษณ์ทั้งนั้น...
“เปล่าหรอก ก็แค่อยากถามว่าเธอกลับมาที่นี่ทำไม” คุณนายรุ่งฤดียังคงพูดทั้งยังเชิดหน้าชูคอหากแต่ว่าครั้งนี้เธอทำมันด้วยความยินดีปรีดาและไม่สนใจความเ็ปใด ๆ ในร่างกาย
“เอ่อ...กลับมาเอาโทรศัพท์ครับ ผมลืมโทรศัพท์เอาไว้”
“งั้นเหรอ อย่างนั้นก็ไปเอาซะสิ”
“...ครับ”
“อ้อ...ม่านหยี่ ฉันมีเื่จะคุยกับเธอ...แค่เธอคนเดียวเท่านั้น พรุ่งนี้ก็หาเวลามาพบฉันที่ห้องทำงานด้วย”
“...ครับ” ทั้งรอยยิ้มอย่างผู้มีชัย และใบหน้าแสนเย่อหยิ่งของหญิงวัยกลางคนทำให้เขารู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย ร่างบางรีบสาวเท้าก้าวเดินเข้าไปในห้องและหยิบโทรศัพท์ที่วางไว้ข้างเตียงจากนั้นก็เดินเผ่นออกมาจากบ้านไม่แม้แต่จะหยุดยืนบอกลากับคุณนายรุ่งฤดี
ยังไม่ทันที่จะถึงครึ่งทางลงจากเขาเครื่องมือสื่อสารราคาแพงก็สั่นอย่างบ้าคลั่ง...
“มึงช้านะ”
“ไม่ว่าง” ม่านตัดสินใจหักรถเลี้ยวเข้าไปจอดยังหน้าปากถ้ำหินปูนขนาดใหญ่ที่ซึ่งมีลานหญ้าสีเขียวอยู่ด้านหน้า ความเย็นเยือกของบรรยากาศรอบข้างยิ่งพาให้เขาใจเสีย
“กับชีวิตแม่มึงมึงยังมีคำว่าไม่ว่างอยู่อีกเหรอ”
“...”
“สบายตัวเลยสิท่า กลับไปหาผัวก็ไม่สนใจแม่ที่นอนป่วยพะงาบ ๆ ใกล้จะตายเลยนะ”
“ก็ม่านโทรหาพ่อไม่ติด พ่อตัดช่องทางการสื่อสารออกหมดอย่างนี้จะให้ม่านทำยังไงวะ?”
“มึงไม่ต้องมาขึ้นเสียงกับกู แม่มึงกำลังจะตายแล้ว อ้อแล้วคราวนี้ดูท่าจะตายจริงซะด้วย”
“...”
“แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ยังพอมีเวลาอีกซักสองสามวันช่วยยื้อชีวิตแม่มึง ทำตามที่กูสั่ง ไปเอายาจากคนของกูที่ท้ายเกาะไปใส่ฟาร์มมุกไอ้รามอีกรอบ เห็นว่ามันกำลังจะเพาะพันธุ์มุกใหม่ใช่มั้ย อย่าให้มันทำสำเร็จมึงจะเทให้มุกแดกหรือเทให้มันแดกก็เื่ของมึง ทำซะแล้วกูจะพาแม่มึงขึ้นฝั่งไปหาหมอ...”
“...”
“หรือจะไม่ทำก็ได้ แต่คนที่จะได้แดกยานั่นจะเป็แม่มึงเอง”
สายโทรศัพท์ถูกตัดลงหลังจากนั้นไม่นานบิดาก็ส่งวิดีโอซึ่งเป็ภาพเคลื่อนไหวของมารดาที่นอนหายใจรวยระรินอยู่บนเตียงผู้ป่วยพร้อมทั้งสายไฟระโยงระยางและเสียงเครื่องวัดสัญญาณชีพจรที่ดังเว้นระยะห่างกันนานจนน่าใจหาย ทุกครั้งที่แม่อาการหนักพ่อมักจะส่งภาพและวิดีโอมาเ่าั้มาเพื่อเป็เครื่องยืนยันและบีบบังคับให้เขาทำตามคำสั่ง มันมักจะได้ผลอยู่เสมอ และครั้งนี้ก็เหมือนกัน ม่านหยี่ทั้งโกรธและกลัวจนตัวสั่นเทาหยดน้ำตากลิ้งหลุน ๆ ร่วงหล่นลงจากหน่วยตาระลงไปยังใบหน้าสวย มือข้างที่ถือโทรศัพท์กำบีบมันแน่นเข้าหากันจนกระดูกนิ้วมือปูดโปนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
แม่จะโกรธเขาไหมหากเขาเป็ลูกชายทรพียอมปล่อยให้แม่ตายแล้วสารภาพบาปเื่ทั้งหมดกับราม แต่ม่านเชื่อว่าแม่คงไม่ว่าอะไรเขาหรอกแม่จะไม่โกรธบางทีอาจดีใจด้วยซ้ำที่ได้หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานที่เป็อยู่เสียที เป็เขาเองที่โกรธตัวเองเขาไม่อาจปล่อยให้แม่ตายได้เพราะเราพยายามกันมามากมายเหลือเกิน เขาอยากรักษาแม่ให้หายทั้ง ๆ ที่ก็รู้ว่าโรคนี้มันยากที่จะรักษาให้หายขาดแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังดื้อรั้นและพยายามด้วยเพราะเขาไม่อยากให้พ่อเป็ผู้ชนะอยู่ฝ่ายเดียว พ่อได้ทุกอย่างที่้าไม่แม้แต่จะออกแรงด้วยซ้ำ แต่เขากลับต้องพยายามทำตามคำสั่งแทบตายเพื่อแลกกับการต่อลมหายใจของแม่ไปวันต่อวัน อย่างนั้นมันยุติธรรมเสียที่ไหน
ม่านหยี่ตัดสินใจหักเลี้ยวรถกลับไปยังทางเดิมที่จากมาและเลี้ยวซ้ายมือเพื่อลัดไปยังท้ายเกาะฝั่งทิศตะวันตก ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็มาถึงแพเลี้ยงหอยมุกของรามสูร แดดแรงกล้ายามบ่ายแก่ทำให้ต้องยกมือขึ้นมาป้องบังไม่ให้แสงอาทิตย์ส่องกระทบใบหน้า ร่างบางเดินด้อม ๆ มอง ๆ หาคนของบิดาที่คงไม่พ้นบอดี้การ์ดสองคนที่เคยประจำข้างกาย ทว่าวันนี้กลับไร้วี่แวว
“คุณม่านครับ”
“ลุงชัยสวัสดีครับ”
เกิดเป็ความเงียบระหว่างเขาและคนงานที่เฝ้าฟาร์มหอยมุก ม่านหยี่มองชายวัยกลางคนที่ยืนอ้ำอึ้งยักแย่ยักยันเหมือนมีอะไรจะพูดกับเขาแต่ลุงชัยก็ไม่ยอมพูดมันออกมาสักที จนกระทั่ง
“ยาอยู่ที่ลุงใช่มั้ยครับ”
“...”
“ลุงชัย”
“ลุงเป็คนของนายหัวศิลาใช่มั้ย”
“...ครับ”
ม่านหยี่กำลังจะเอ่ยตัดพ้อต่อว่าคนตรงหน้าแต่กลับนึกได้ว่าตนเองนั้นก็ไม่ต่างอะไรไปจากลุงชัยเลย เขาและคนอื่น ๆ ต่างหักหลังรามสูร
“นี่ครับยา”
ร่างบางรับเอาสารเคมีขวดเล็ก ๆ มาไว้กับตัวจากนั้นคนทั้งคู่ก็ยืนเงียบและก้มหน้ามองผืนทรายไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก
“ผม...ผมไม่ได้อยากทำอย่างนี้ แต่ผมเป็หนี้นอกระบบไอ้พวกบนฝั่ง คุณนายรุ่งฤดีเธอไม่ยอมให้ใครขายที่บนเกาะและรับปากว่าจะหางานให้พวกเราทำ เธอทำอย่างนั้นก็จริงแต่เงินที่ได้มันไม่พอ ผมเลย...ผมเลยขายที่ให้นายหัวศิลาเพื่อเอาเงินไปใช้หนี้”
“...” คงจะเป็ั้แ่ตอนนั้นที่รามสูรและพ่อของเขาเกือบจะมีเื่กันไป
“อย่าบอกนายหัวเลยนะครับ”
“...”
“ผมหมดหนทางแล้วจริง ๆ ”
ลุงชัยขอร้องเขาทำราวกับว่าเขามีทางเลือกหลายทางอย่างไรอย่างนั้น เขากับลุงชัยเราสองคนก็เหมือนหมาจนตรอก
“ไม่หรอกครับ”
“จบเื่นี้ผมกับลูกเมียจะออกจากเกาะและไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีกเลย”
“...”
“ผม...ผมลาละครับ” ชายวัยกลางคนยกมือขึ้นไหว้เขาพร้อมกับรีบหันหลังแล้วเดินจากไป ทิ้งให้ม่านหยี่ยืนอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าและเบื้องหน้านั้นคือแพหอยมุกมูลค่าหลายล้านบาท ผลงานครั้งก่อนของเขายังคงเป็ที่ประจักษ์และเป็ฝันร้ายที่เขาและรามไม่มีทางลบมันออกไปได้ ม่านหยี่ฝันเห็นใบหน้าโศกเศร้าของรามสูรในฝันทุกวันและตื่นขึ้นมาพบกับความจริงว่าคนรักของเขาก็มีสภาพอิดโรยไม่ต่างจากในฝันสักเท่าไหร่ เขามองขวดสารเคมีเล็ก ๆ ในมือ ปริมาณแค่เพียงน้อยนิดเท่านั้นสามารถทำลายทุกอย่างให้พังทลายลงได้ในพริบตาเดียว...
ม่านยืนนิ่งคิดอยู่นานจนสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจหันหลังแล้วเดินกลับไปยังรถ ATV
“วันหลังนะ...เอาไว้วันหลัง”
เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยดังแว่วออกมาจากภายในห้องรับแขกเป็เวลาเย็นย่ำแล้วกว่านายหัวรามสูรและคนรักจะกลับจากไซต์งานที่โรงแรมด้านล่าง พอกลับบ้านมาก็พบว่าคุณนายรุ่งฤดีเชิญอดีตคนรักของรามสูรมานั่งคุยเล่นด้วยและรับประทานอาหารเย็นร่วมกันอีกแล้ว พักหลังมานี้คุณปริมเข้านอกออกในบ้านหลังใหญ่นี้เป็ว่าเล่น ดูเหมือนว่าเ้าตัวก็ไม่ได้จะสนใจรามสูรสักเท่าไหร่แค่มากินข้าวกับคุณนายรุ่งฤดีและกลับออกจากเกาะใน่หัวค่ำเท่านั้น ส่วนคุณนายรุ่งฤดีก็ไม่ได้ใส่ใจจะหาลูกสะใภ้หรือหญิงสาวคนไหนให้ลูกชายอีกแล้ว ไม่รู้ว่าเป็เพราะอาการป่วยของเธอที่ทำให้เธอเปลี่ยนไปหรือเป็เพราะเธอมีแผนอะไรอยู่ในใจม่านก็สุดจะรู้
“ม่านเข้าห้องไปก่อนนะขอรามคุยกับแม่ก่อน”
“อืม” ม่านหยี่พยักหน้ารามคงจะคุยเื่อาการป่วยของมารดาเพราะ่หลังมานี้นายหัวรามสูรต้องพามารดาไปพบแพทย์แทบจะอาทิตย์ละครั้ง คนรักของเขานอนหลับเป็ตายทุกคืนและตื่นในยามเช้าตรู่เพื่อออกไปคุมไซต์งานจากนั้นใน่สายนายหัวรามก็จะขับเรือออกจากเกาะไปกับมารดาและผู้ติดตามซึ่งเป็แม่บ้านและลูกน้องอีกสองสามคน กว่าจะกลับก็่ค่ำของวันหรือบางวันที่ไม่ได้กลับเกาะรามก็จะโทรบอกเขาว่าค้างที่โรงแรมบนฝั่ง
“ยังไงปริมกลับก่อนนะคะคุณแม่สวัสดีค่ะ”
“จ้ะ” คุณนายรุ่งฤดียกมือรับไหว้จากหญิงสาวรุ่นลูกก่อนที่จะให้แม่บ้านสองคนเดินออกไปส่งเธอยังท่าเรือไม่เพียงเท่านั้นเธอยังให้แม่บ้านตามไปส่งปริมจนขึ้นฝั่ง
“เรากลับก่อนนะราม”
“ครับ”
รามสูรพยักหน้าให้กับเพื่อนสาวก่อนที่จะหันมาเลิกคิ้วสูงมองมารดา
“ทนายวัตรมาบ้านเหรอครับ”
“คนของแกคาบข่าวไปบอกรึยังไง” คนของแกที่ว่าคงหมายถึงม่านหยี่
“ถ้าแม่จะหมายถึงม่านอย่างนั้นก็ไม่ใช่ แต่ใช่ครับคนของผมที่ไม่ใช่ม่านหยี่คาบข่าวไปบอก”
“เล่นลิ้นนักนะ”
“ธรรมดาครับผมลูกคุณนายรุ่งฤดี” รามสูรว่าพลางยิ้มแล้วนั่งลงข้างมารดา
“ฉันมีอะไรจะให้แกดู ฉันคิดว่ามันคงถึงเวลาแล้วที่แกจะได้รู้ความจริงซักทีว่าอะไรเป็อะไร” ยังไม่ทันให้ลูกชายเตรียมตัวคุณนายรุ่งฤดีก็พูดขึ้นมาดื้อ ๆ เสียอย่างนั้น
“แม่...ผมไม่อยาก”
“แกจะดื้อด้านไปถึงไหนรามสูร แกจะยอมทนเป็คนโง่แบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ แกไม่เห็นแก่แม่แกก็เห็นแก่ตัวเองบ้างก็ได้!!!” เธอเหลือจะทนกับความโง่เง่าเพราะความรักของลูกชายแล้ว
“ผม...ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้นะแม่...”
“...”
“แต่เพราะผมรักเขา” เพราะรักคำเดียวเท่านั้น ที่ทำให้รามสูรไม่ยอมเปิดซองเอกสารสีน้ำตาลเพื่อพบเจอกับความจริงที่จะทำให้ความสัมพันธ์ของเขาและม่านหยี่จบลง แค่เพราะคำว่ารักคำเดียวเท่านั้นนายหัวรามสูรเลยเลือกที่จะขอยื้อเวลาออกไปอีกนิด แค่เพียงนิดหน่อยก็ยังดี....
“แต่ครั้งนี้ฉันไม่ยอมให้แกโง่อีกต่อไปแล้วราม ฉันกำลังจะตายแกก็รู้ และฉันคงตายตาไม่หลับถ้าลูกชายยังคงบูชาความรักและโง่เง่างมงายอยู่แบบนี้”
ปังงง!!!
เสียงเอกสารและรูปถ่ายถูกโยนกระทบลงกับโต๊ะไม้สักอย่างดี มันแรงจนทำให้รูปถ่ายและแผ่นกระดาษพวกนั้นกระจายออกไปบนโต๊ะ
“อ่านซะแล้วแกจะทำยังไงต่อไปมันก็เื่ของแก!!!” มารดาว่าเพียงเท่านั้นก่อนที่จะลุกเดินหนีออกไปจากห้องนั่งเล่นทิ้งให้นายหัวรามสูรนั่งจ้องมองความจริงตรงหน้าอย่างตกตะลึง ความจริงของม่านหยี่ที่ครั้งนี้เขาไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีกแล้ว...