สุดเขตแดนสมุทร
ตอนที่ 25
“แล้วเมื่อคืนก็ทะเลาะกัน เพราะม่านอยากให้กูไปแต่งงานกับคนอื่นไปมีลูกกับคนอื่น ทำเหมือนมันง่ายอ่ะแม่ง!!!”
“ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ พูดค่อย ๆ จากันก่อน”
“แต่กูเข้าใจไอ้รามนะ มันคงสุดจะทนแล้วจริง ๆ”
เรือสปีดโบ๊ทวิ่งมาจอดเทียบท่าอยู่ที่โป๊ะเรือซึ่งเป็สะพานไม้ยาวไกลลงไปยังทะเล รามสูรเห็นคนรักวิ่งเตาะแตะมาแต่ไกล เขานึกดีใจที่อย่างน้อยม่านก็คงรู้สึกผิดกับเื่เมื่อคืนที่พูดกับเขาไปอย่างนั้น ม่านหยี่วิ่งหน้าตั้งเข้ามาจนเกือบจะถึงตัวเขาอยู่แล้วแต่รามสูรก็หันหลังให้กับคนรักแล้วทำทีท่าว่าเดินไปทางด้านหลังเรือเพื่อยกกระเป๋าเดินทางของเพื่อนลง เขายังโกรธม่านหยี่และอยากให้เ้าตัวรู้ว่าสิ่งที่ม่านพูดออกมานั้นมันทำร้ายจิตใจเขาแค่ไหน
“ราม...” ม่านหยี่เอื้อมมือออกไปหวังจะแตะที่ไหล่ของคนรัก
“เฮ้ย! ราม....พวกกูขึ้นไปก่อนนะ” คอปเปอร์พึ่งรู้ตัวว่าตนเองกำลังแทรกแซงบทสนทนาเข้าเต็ม ๆ เขารับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มาจากเพื่อนจากนั้นก็ตบหลังแชมป์แล้วเดินตามสะพานไม้กลับไปยังหาด
“ราม...ม่านขอโทษ” ทุก ๆ ครั้งที่ม่านหยี่้าทำให้รามสูรใจอ่อนเขามักจะแทนตัวเองว่าม่านเสมอ มันเป็หนึ่งในทริคเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เขาเรียนรู้และพบว่ามันมักจะได้ผลเสมอ ยกเว้นก็แต่ครั้งนี้...
รามสูรไม่พูดไม่จา เอาแต่ตรวจตราเรืออยู่อย่างนั้น ทำราวกับว่ามันน่าสนใจกว่าเขา ม่านยืดคอยาวข้ามไหล่ของคนรักไปดูว่ารามสูรกำลังทำอะไรกับถังเครื่องยนต์เรือแต่ไหล่กว้าง ๆ นั่นมันก็บดบังทัศนวิสัยของเขาไปเสียหมด
“โอ๊ะ ๆ ๆ ๆ” เนื่องจากว่าม่านถ่ายน้ำหนักลงไปที่ขาข้างหนึ่งจนทำให้ร่างบางเอนไปด้านหน้าและด้วยกลัวว่าเขาจะเซล้มไปหารามม่านเลยพยายามเบี่ยงตัวเองให้เอนไปทางด้านข้างแทน เขาเสียหลักเซแทด ๆ ไปยังขอบสะพานอีกที่ด้านล่างนั้นเป็น้ำทะเลสีใสและมีปลาว่ายวนอยู่
“ระวัง! ระวังหน่อยสิม่าน!” รามสูรถอนหายใจหนัก ๆ ออกมาเมื่อมองหน้าคนรักที่เกือบจะหน้าคว่ำตกสะพานไปแล้ว
“แหะ ๆ”
“ไม่ต้องมายิ้มอย่างนั้นเลย ทำอะไรไม่เคยระวัง” รามบ่นอุบ นี่ถ้าเขาไม่ทันหันไปเจอป่านนี้ร่างบางได้ลงไปว่ายน้ำเล่นกับปลาในทะเลแล้ว ขนาดยืนเฉย ๆ ม่านยังหาเื่มาให้ตัวเองได้เขานี่ยอมใจเลยจริง ๆ
“อ้าว...โดนด่าเฉยเลย”
“ไม่ได้ด่าแค่บ่น”
“บ่นก็ได้ยังไงรามก็ยอมคุยกับเราแล้ว”
“เราบ่น เราไม่ได้คุยกับม่าน” รามสูรยังคงดื้อแพ่งไม่ยอมรับว่าตนเองคุยกับม่านหยี่ไปหลายประโยคแล้ว
“อื้ม ๆ แค่บ่นก็ได้ งั้นบ่นเราไปนาน ๆ เลยนะ” ‘ดื้อแบบหน้าซื่อตาใส’ คือม่านหยี่ในตอนนี้ ในความสัมพันธ์แบบคนรักนี้เราสองคนไม่ค่อยได้มีการทะเลาะเบาะแว้งหรือโกรธกันนานสักเท่าไหร่ ส่วนมากคนที่โดนโกรธมักจะเป็เขาและรามสูรก็เป็พวกที่ว่ากะล่อนปลิ้นปล้อนกับคนรักมากเสียจนสามารถทำให้ม่านหยี่หายโกรธได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว ทว่าครั้งนี้คนโดนโกรธกลับเป็ม่านหยี่เสียเองอย่างนั้นเขาเลยรอดูว่าคนตรงหน้าจะหาวิธีมาง้อเขาอย่างไร
“ไม่ต้องมาพูดเลย”
“อ้าว...แค่พูดเฉย ๆ ก็ไม่ได้” ม่านหยี่อมยิ้ม ตอนนี้เขาต้องทำใจดีสู้เสือ ต่อให้เสือตัวนั้นคือนายหัวรามสูรเองก็เถอะ
“นายหัวรามไม่หายโกรธม่านจริง ๆ เหรอ”
“...”
“ม่านขอโทษนะ นะนายหัวนะ” ม่านหยี่ตามติดแจนายหัวรามสูร ไม่ว่านายหัวรามจะะโลงเรือ นายหัวจะเดินไปหัวเรือ หรือนายหัวจะเดินไปท้ายเรือ เขาก็ตามติดไม่เว้นว่างให้นายหัวรามสูรได้มีเวลาส่วนตัวเป็ของตนเองเลย
“นายหัวม่านหยี่ขอโทษ ม่านหยี่ขอโทษที่พูดไม่ดีกับนายหัว ม่านขอโทษที่พูดแบบนั้นกับราม แต่ม่านไม่ได้หมายความอย่างนั้นนะ ม่านไม่อยากให้รามเข้าใจผิดว่าม่านไม่ได้รักราม...”
รามสูรหยุดกึก หลังจากที่เขาเดินไปซ้ายทีขวาทีม่านหยี่ก็ตามติดแจอย่างกับตังเม
“...”
“ม่านรักราม ไม่เคยไม่รักรามเลยนะ ที่ม่านพูดไปอย่างนั้นไม่ได้อยากให้รามเข้าใจม่านผิด ม่านไม่ได้อยากให้รามไปรักคนอื่น ไปมีลูกกับคนอื่นหรอกนะ”
“...”
“แต่ม่านมีลูกให้รามไม่ได้”
“ถ้าม่านจะพูดอย่างนี้ก็ไม่ต้องมาพูดเลยดีกว่าม่าน”
“ไม่ราม...รามฟังม่านก่อน” ม่านหยี่คว้าแขนแกร่งของคนรักเอาไว้ ก่อนที่รามสูรจะได้เข้าใจเขาผิดไปมากกว่านี้
“...”
“เราจะไม่พูดถึงเื่นี้อีกแล้วรามโอเคมั้ย ม่านจะไม่พูดถึงมันอีกแล้ว” ม่านหยี่ยกมือทั้งสองข้างขึ้นเป็การยอมแพ้ เขาขอยอมแพ้ให้กับเรามสูรและสัญญาว่าจะไม่พูดเื่นี้อีก
“ม่าน...”
“...”
“ม่านรู้มั้ยว่าวันนั้นแม่เรียกเราไปคุยทำไม”
ม่านหยี่ส่ายหน้าไม่ชอบใจเอาเสียเลยในเวลาที่รามเงียบไปแบบนี้
“แม่เราเป็มะเร็งระยะที่สอง”
“ฮะ?!!!” ประโยคนี้ทำให้ม่านหยี่ใจนตัวชาดิก...เขารู้ว่าการเป็มะเร็งมันแย่แค่ไหน ไม่เพียงแต่ตัวคนป่วยเอง คนรอบข้างก็อาจแย่ลงไปด้วยก็ได้
“แม่ขอร้องเรา ให้เรามีหลาน แม่้าให้รามแต่งงานกับปริมเพราะอยากให้รามมีหลานให้แม่”
“...”
“แต่รามปฏิเสธเพราะรามไม่ได้รักปริม รามจะแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักเพื่อแม่ที่กำลังจะตายเพราะแม่อยากได้หลาน รามทำอย่างนั้นไม่ได้”
“ราม...”
“แต่ม่านบอกให้รามทำ ม่านจะยอมรับได้จริง ๆ เหรอถ้าเกิดวันนั้นรามยอมตกลงที่จะแต่งงานกับปริมและมีหลานให้แม่ ม่านจะไม่เสียใจอย่างที่รามเสียใจเลยเหรอ ม่านจะไม่รั้งรามไว้หน่อยเหรอ ม่านจะให้รามไปแต่งงานกับใครก็ได้เพียงเพราะเื่ลูกแค่นั้นเหรอ รามทำทุกอย่างเพื่อม่านม่านไม่เห็นความพยายามเ่าั้เลยเหรอ”
“รามสูร...ม่านขอโทษ ขอโทษจริง ๆ ”
ม่านหยี่โอบกอดคนรักเอาไว้ แขนสองข้างยกขึ้นมาโอบกอดไปที่แผ่นหลังกว้าง ร่างกายหนาหนักนี้มันแทบจะปลิวไปตามลมยามที่พูดถึงเื่อาการป่วยของมารดา รามสูรเหมือนพร้อมที่จะร้องไห้ออกมาได้ทุกเมื่อเมื่อพูดคำว่าแม่และมะเร็ง ม่านหยี่เข้าใจดี เขาเข้าใจดีทุกอย่างเพราะเขาก็ผ่านจุดนั้นมาแล้ว...
“ม่านให้รามไปไม่ได้หรอกนะ รามก็รู้ ม่านไม่ได้เข้มแข็งขนาดที่จะทนเห็นรามเดินไปข้างหน้ากับคนอื่นได้ คนอื่นที่ไม่ใช่ม่าน ม่านคงทนไม่ได้” ม่านหยี่ส่ายหน้า หัวทุยขยับถูอยู่กับแผงอกกว้างยุกยิก กลิ่นแชมพูซึ่งเป็กลิ่นเดียวกันกับเขาลอยโชยขึ้นมาเตะจมูก ทว่ามันกลับหอมกว่าปกติเมื่อมาจากผมของม่านหยี่
“...”
“ม่านเข้าใจแล้ว เข้าใจทุกอย่างแล้ว”
“...”
“ม่านขอโทษ ยกโทษให้ม่านได้มั้ย” รู้ดีว่าชีวิตนี้ทั้งชีวิต ให้เขาเอ่ยคำขอโทษต่อรามสูรอย่างไรก็ไม่มีวันพอ
“...”
“ขอโทษจริง ๆ นะ” ขอโทษสำหรับเื่นี้ แต่ยังมีอีกหลายร้อยเื่ที่เขาทำผิดบาปต่อนายหัวรามสูรคนนี้
“ครับ รามยกโทษให้ม่าน” ร่างแกร่งโอบกอดตอบคนรัก รามสูรโยกตัวไปมาน้อย ๆ นั่นทำให้เรือลำใหญ่โคลงเคลง
“ราม เราว่า เราขึ้นไปข้างบนกันเถอะนะ ม่านกลัว”
“หึ ๆ ๆ ๆ กลัวอะไร” ไม่ว่าเปล่ารามสูรยังโยกตัวแรงขึ้นกว่าเดิม ส่งผลให้ร่างบางกอดเขาแน่นขึ้นไปอีก
“กลัวเรือ มัน มันโยก มัน...”
“ชู่ววว เข้าป่าอย่าพูดถึงเสืออยู่บนเรือก็อย่าพูดว่าเรือล่มนะ”
“ก็รามพูดออกมาแล้ว!” ม่านหยี่แหวเข้าให้
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ”
“ขึ้นไปข้างบนกันเถอะนะ ๆ”
“ครับ” รามสูรยอมปล่อยม่านหยี่ออกจากอ้อมกอดจากนั้นก็ดันหลังให้คนรักเดินขึ้นไปบนสะพาน สองคนเดินจับมือกันกลับมายังฝั่ง ทำเอาเพื่อน ๆ เบะปาก
“อะไร พวกมึงเป็ไร” รามถามอย่างสงสัยไม่ชอบใจหน้าตากวนตีนของพวกมัน
“เปล๊า แค่...รอก็นานแดดก็ร้อน ไม่รีบให้พวกกูเลย”
“รอได้ก็รอไปสิวะ รอไม่ได้ก็เดินขึ้นไปสิ ทำอย่างกับว่ามาครั้งแรก”
“โห!...นายหัวรามสูรโคตรใจร้ายกับเพื่อนเลยว่ะ นี่กูเพื่อนมึงนะ”
นายหัวรามสูรยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ
“นี่นะ สามสิบนาทีที่แล้วหงอยอย่างกับหมา แล้วตัดภาพมาที่ตอนนี้”
“พูดมาก เดี๋ยวกูทิ้งเลยไอ้คอป!”
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ” เสียงหัวเราะร่วนของคนทั้งสี่ดังขึ้นมาจากใต้ร่มไม้บริเวณริมหาด ในขณะที่รอคนของรามสูรลงมารับเอากระเป๋าสัมภาระของพวกเขาไปเก็บ
“แล้วออยไม่มาด้วยเหรอ”
“เลิกกันไปแล้วน่ะม่าน ออยไม่ได้บอกเหรอ” แชมป์ถามแต่แทนที่จะมองหน้าคู่สนทนาเขากลับมองหน้ารามสูรแทน
“ไม่นะ ไม่ได้ติดต่อกับออยเลยั้แ่มาอยู่ภูเก็ต” ม่านหยี่ส่ายหน้า หารู้ไม่ว่าเพื่อน ๆ และคนรักลอบสบตากันเพราะประโยคนี้ ถ้าหากว่าม่านไม่ได้ติดต่อกับออยอย่างนั้นคงเหลือแค่เนยเพื่อนผู้หญิงคนที่สองและคนสุดท้ายในกลุ่มเท่านั้น ทั้งสี่คนเงียบไปสักพักก่อนที่คอปเปอร์จะตัดสินใจเป็คนเริ่มบทสนทนาขึ้นมาอีกรอบ
“แล้วโรงแรมที่ไฟไหม้เป็ยังไงบ้าง”
“นั่นไง เล้านจ์ต้องสร้างใหม่ ไอ้โรงแรมสี่ชั้นก็โดนไฟไหม้หมดต้องสร้างใหม่เหมือนกัน กูกับไอ้อัสเลยตัดสินใจว่าจะรีโนเวทและก็สร้างห้องพักเพิ่มอีกสักสามห้อง”
“ห้องแน่นะไม่ใช่ว่าใหญ่เท่าโรงแรมอีกที่นะ” คอปเปอร์แซวเพื่อน
“เออ ก็กะเอาไว้เป็ห้องดีลักซ์กับสวีทอีกนั่นแหละ เอาไว้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง”
“สุดยอดเลยนายหัวราม!!!” เพื่อนตัวโตสองคนทำท่าทีดีใจะโโลดเต้นอย่างออกนอกหน้า ทั้งยังบีบนวดไหล่นายหัวรามสูรอย่างเอาอกเอาใจ
“ให้กระผมอาศัยใบบุญเกาะกินด้วยนะครับ ผมมันตัวเปล่าเล่าเปลือย”
“มึงไม่ต้องเลย” รามส่ายหน้ายิ้ม ๆ
หลังจากที่ขนสัมภาระมาเก็บยังบ้านใหญ่พวกเขาก็พากันรับประทานอาหารเที่ยงพร้อมกันกับคุณนายรุ่งฤดี วันนี้แม่ของเขาไม่แผลงฤทธิ์ซึ่งรามสูรก็คิดกังวลอยู่ในใจว่าแม่อาจไม่สบายหรือเ็ปตรงไหนหรือเปล่า ร่างสูงนั่งทานข้าวพร้อมทั้งสังเกตอาการมารดาจนกระทั่งโต๊ะอาหารถูกเก็บไป เขาเห็นว่ามารดากินของหวานได้มากกว่าของคาวอย่างนั้นก็เบาใจไปเปลาะหนึ่ง
“แล้วนี่จะพาพวกกูไปเที่ยวไหน”
“อย่างพวกมึงเล่นน้ำหน้าหาดก็ได้มั้ง”
“โถ่ กูโตมากับน้ำหน้าหาดมึง ขนาดที่ว่าเรียนจบแล้วยังต้องมาเล่นน้ำที่หน้าหาดมึงอยู่อีกเหรอ” คอปเปอร์ว่าพลางส่ายหน้า
“งั้นไปเกาะลับของพวกเรากันมั้ยล่ะ” รามเสนอแนะ
“เออ ไปสิ ๆ !!!”
“กูลืมไปเลยว่าเราไม่ได้ไปที่นั่นนานมากแล้ว” เพื่อนสองคนพยักหน้าเห็นด้วย ถูมือเข้าหากันเพราะความตื่นเต้น
“เกาะลับเหรอ” ร่างบางที่ยืนอยู่ข้าง ๆ หันมาจ้องหน้าคนรักด้วยสายตาสงสัยใครรู้
“เกาะที่มีแค่เราสามคนเคยไป มันเป็เกาะลับ” รามสูรยักคิ้ว
“ไม่เห็นเข้าใจเลย”
รามปล่อยให้ม่านหยี่สงสัยอยู่อย่างนั้น ทั้งสี่กลับมายังชายหาดอีกครั้งใน่บ่ายคล้อยที่แดดเปรี้ยง ทรายร้อน ๆ ัักับผิวทำให้พวกเขาต้องรีบวิ่งขึ้นเรือยกเว้นก็แต่นายหัวรามสูรที่ยืนรั้งรอคุยงานกับนายช่างใหญ่อยู่บนหาดทรายท่ามกลางอุณหภูมิเกือบสี่สิบองศา ม่านหยี่มองคนรักที่แค่ระยะเวลาไม่กี่เดือนมานี้ร่างกายของรามสูรเปลี่ยนแปลงไปกว่าเดิมมากอย่างเห็นได้ชัด รามสูรเมื่อตอนต้นปีช่างแตกต่างกับนายหัวรามสูรตอนนี้อย่างสิ้นเชิง ร่างกายของรามใหญ่กำยำขึ้นทั้งผิวยังคล้ำแดด ทำให้ตอนนี้รามดูคมเข้มและบึกบึนขึ้นกว่าเดิมซ้ำยังหล่อกว่าเดิมเสียอีก ม่านหยี่เบะปากให้กับความคิดของตนเองที่อยู่ในหัว อดยอมรับไม่ได้ว่ารามสูรหล่อขึ้นเป็กอง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็จะไม่พูดให้เ้าตัวได้ยินหรอกนะ รามน่ะบ้ายอจะตายไป
“มันดูโตขึ้นกว่าเดิมเยอะมากเลยนะ”
“อืม มีเื่เข้ามาเยอะมากเลยละ เราก็ไม่ค่อยได้ช่วยอะไรเลยด้วย อยู่เป็ภาระด้วยซ้ำ” ม่านหยี่พูดติดตลกแต่เขาหมายความอย่างที่พูดจริง ๆ
“มันรักม่านมากเลยนะ เราไม่เคยเห็นมันคบใครได้นานเท่านี้เลย ม่านก็เห็นว่าแม่มันเป็คนยังไง”
“อืม”
“ไม่ว่าใครก็โดนแม่มันกำจัดหมดปัดตกเรียบ คุณนายรุ่งฤดีคือโหดสุด ๆ จัดการทั้งมันทั้งพี่อัส จนไม่มีใครกล้าขัดได้เลย”
“...”
“แต่พอเป็ม่านรามมันสู้หัวชนฝาเลยนะ”
สู้หัวชนฝา
สู้ยิบตา
สู้ไม่ถอย
นั่นคือสิ่งที่รามสูรกำลังทำอยู่ในตอนนี้
แล้วม่านหยี่ล่ะ...เขากำลังทำอะไรอยู่
“แม่มันใจร้ายกับมันขนาดนั้น ม่านก็อย่าใจร้ายกับมันนักเลยนะ ไอ้รามมันก็ตัวแค่นั้น”
ประโยคนี้ของแชมป์ทำเอาลมหายใจของม่านสะดุดกึก เขาลืมนึกเลยว่าตนเองใจร้ายกับรามสูรขนาดไหน คนเรามักจะใจร้ายกับคนที่รักเราเสมอ นั่นก็เป็เพราะทุก ๆ ครั้งที่เราหันกลับหลังไปเราจะยังเจอเขายืนอยู่ที่เดิมเสมอมา เขาบอกว่าพ่อใจร้ายกับเขา โลกใบนี้ใจร้ายกับเขา แต่ทุกครั้งที่เขาโดนบิดาทำร้ายไม่ว่าจะทางร่างกายหรือจิตใจ เขาหันกลับหลังมาทีไรก็ยังจะเจอรามสูรเสมอ รามที่ยืนอยู่เคียงข้างเขาเป็รามสูรมาโดยตลอด แต่กลับกลายเป็ว่าเขาเองเทียวบอกตัวเองว่าสักวันหนึ่งเขาจะต้องหายไปจากชีวิตของราม...นั่นเป็การกระทำที่ใจร้ายมากกับคนคนหนึ่งที่จะทำกับคนรัก
“คิดอะไรอยู่” รามลูบเบา ๆ ไปที่หัวของคนรักที่นั่งเหม่อลอยมองคลื่นทะเลอยู่ ม่านหยี่เงียบลงไปอย่างเห็นได้ชัดหลังจากที่เขาเดินตามมาขึ้นเรือและล่องเรือออกทะเลมาเพื่อไปยังเกาะลับที่เขาบอกไป ไอ้คอปพยายามขอร้องให้เขาสอนมันขับเรืออย่างหนักจนเขาต้องยอมมัน หลังจากที่สอนเพื่อนสองคนขับเรืออย่างทุลักทุเลและแน่ใจแล้วว่าไอ้แชมป์คงไม่ปล่อยให้ไอ้คอปมันพาเรือล่มทำให้เราทุกคนต้องลอยคออยู่กลางทะเลแล้วนั้นร่างสูงก็ละมือจากพวงมาลัยเรือแล้วเดินมาหาคนรัก
“อืม...เปล่าหรอก คิดไปเรื่อย”
“เหรอ แล้วได้ติดต่อกับเนยมั้ย” รามสูรยังคงไม่ละมือไปจากหัวทุย ัันุ่มลื่นของเส้นผมทำให้เขาอยากลูบมันอยู่อย่างนั้นทุกเช้าค่ำ
“ไม่เลย รายนั้นก็หายไปเหมือนกัน”
รามชะงักมือไปสักครู่ก่อนที่จะกลับมาทำตัวเหมือนปกติ เขาแน่ใจแล้วว่าม่านหยี่ไม่ได้คุยกับเพื่อนผู้หญิงทั้งสองคนของตน อย่างนั้นคงเป็คนอื่นที่ม่านหยี่ต้องแอบไปคุยโทรศัพท์กลางดึกกลางดื่นอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ เพื่อให้พ้นจากสายตาเขา
รามอดไม่ได้ที่จะนึกถึงซองเอกสารสีน้ำตาลที่มารดาพยายามยัดเยียดให้เขาดู แม่บอกว่ามันคือทุกสิ่งเกี่ยวกับม่านหยี่ที่เขาอยากรู้ แต่เป็เขาเองที่พยายามผลักไสความจริงเ่าั้ให้ออกห่างไปจากตัว ด้วยเพราะเขายังไม่พร้อมที่จะเสียม่านหยี่ไป...
“ถึงยังวะ”
“นี่มึงจำไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้โว้ย ไม่ได้มานานจะสี่ปีแล้ว”
“ไอ้รามถึงยังวะ?”
“ข้างหน้านั่นไง” ร่างแกร่งชี้นิ้วไปยังเกาะขนาดกลางใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางทะเล หาดทรายสีขาวมีผืนน้ำสีเขียวล้อมรอบมันเอาไว้ บนเกาะนั่นมีสิ่งปลูกสร้างสีดำขนาดใหญ่ตั้งอยู่...ไม่ใช่สิ! เมื่อมองดูใกล้ ๆ แล้วมันคือซากเรือขนาดใหญ่ต่างหาก
“โห ซากเรือเหรอ” สิ่งนั้นทำให้ม่านประหลาดใจเป็อย่างมาก ไม่คิดว่าจะมีที่แบบนี้อยู่จริงบนโลก
“ครับ”
“มาอยู่นี่ได้ยังไงอ่ะ”
“ไม่รู้สิ เกิดมาก็เห็นมันอยู่ตรงนี้แล้ว”
“อย่างกับในหนังเลย” เด็กตาโตว่าพลางเดินไปหัวเรือสปีดโบ๊ท ซากเรือขนาดใหญ่ที่โดนสนิมกัดกินเรียกความสนใจจากเขาได้เป็อย่างดี
รามสูรจำต้องเป็คนจอดเรือเองจากนั้นก็เชิญให้ทั้งสามคนลงจากเรือเพื่อเดินเที่ยวเล่นไปรอบ ๆ เกาะ แชมป์กับคอปเปอร์วิ่งว่อนไปทั่วหาดทำเหมือนที่ตอนเป็เด็กพวกเขาเคยทำกัน จากนั้นสองคนก็ลากคอกันลงไปเล่นในทะเล ผืนน้ำที่นี่ใสกว่าที่เกาะของราม ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นปะการังและปลาน้ำตื้นเต็มไปหมด ม่านหยี่ตื่นตาตื่นใจจนอดไม่ได้ต้องลงไปเล่นน้ำกับเพื่อนทั้งสองคน ส่วนรามสูรนั้น...เขาไม่ยอมปล่อยให้ม่านหยี่ไปไหนไกลหูไกลตาอยู่แล้ว ในเมื่อขัดคนรักไม่ได้เขาก็จำต้องลงไปเล่นน้ำกับม่านหยี่และไอ้เพื่อนรักทั้งสองคนด้วย
“อย่าไปไกล” มือแกร่งคว้าเอาคอเสื้อของคนรักไว้ได้ทันก่อนที่ม่านจะสวมแว่นตากันน้ำแล้วว่ายน้ำออกไปไกลกว่าที่ที่พวกเขากำลังเล่นกันอยู่
“มันลึกนะตรงนั้นน่ะ” รามชี้ให้เห็นว่าที่ที่คนดื้อตาใสกำลังจะไปมันลึกกว่าที่ม่านหยี่คิดไว้มาก
“ไม่ลึกหรอกน่า”
“แค่เห็นปะการังไม่ได้หมายความว่าไม่ลึก มันลึก”
“ม่านว่ายน้ำเป็”
“ไม่ได้ เล่นตรงนี้ก็พอ”
“...” ถึงแม้ว่าใบหน้าสวยจะหงิกงอลงแต่ถึงอย่างนั้นม่านหยี่ก็ยอมรับแต่โดยดี เขาเข้าไปเล่นมวยปล้ำกับเพื่อนอีกสองคนโดยลากเอารามไปเล่นด้วย ทั้งสี่คนเล่นน้ำกันอยู่อย่างนั้นจนพระอาทิตย์ดวงโตกำลังลาลับขอบฟ้าไปได้เกือบครึ่งดวงแล้ว ทั้งราม คอปเปอร์ และแชมป์ยอมแพ้ไปนานแล้ว เหลือก็แต่ม่านหยี่ที่ว่ายแหวกดำน้ำตื้นดูปะการังอยู่คนเดียวท่ามกลางแสงแดดของดวงตะวัน สามหนุ่มตัดสินใจว่าจะกลับกันแล้วรามสูรจึงเดินไปเรียกคนรักให้ขึ้นจากน้ำ
“ม่านพอแล้ว กลับกันเถอะ”
“จะกลับกันแล้วเหรอ”
“ครับ มันจะค่ำแล้ว กลับเถอะ”
“อืม...” เขาเสียดายแต่ก็ต้องตัดใจยอมขึ้นจากน้ำ
“จิ๊! ม่าน!” ทว่ายังก้าวเท้าขึ้นมาไม่ทันถึงหาดรามสูรก็เดินดาหน้าเข้ามาหาเขาพร้อมกับทำหน้าั์หน้ามารใส่
“ทำไม”
“เสื้อเปียกแล้วเห็นไปหมด”
“อ้าวเห็นแล้วจะเป็ไร เราก็เป็ผู้ชาย กลัวอะไร”
“ไม่กลัวแต่หวง”
“เอ้า?!” คนโดนหวงไม่เข้าใจอะไรเลยทั้งนั้นก็ได้แต่จำใจยอมรับเอาเสื้อคลุมลายตารางของนายหัวรามสูรมาห่มคลุมร่างบางเอาไว้อย่างงง ๆ
“มันเย็นแล้วเดี๋ยวจะหนาว”
“ขอบคุณครับ” ม่านหยี่เอ่ยขอบคุณยิ้ม ๆ
สามสิบนาทีหลังจากนั้นเรือสปีดโบ๊ทก็เทียบท่าที่เกาะของนายหัวรามสูรอีกครั้ง หากแต่ตอนนี้พระอาทิตย์ได้ลาลับขอบฟ้าไปเป็ที่เรียบร้อยแล้ว ผืนฟ้าสีน้ำหมึกโอบล้อมพวกเขาและทุกคนบนเกาะใหญ่เอาไว้ บ้านของชาวบ้านและโรงแรมของนายหัวรามสูรเปิดไฟสีเหลืองอร่ามให้แสงสว่างไปทั่วทั้งหน้าหาด เสียงพูดคุยและเสียงโทรทัศน์ดังแว่วออกมาจากบ้านของชาวบ้าน พวกเขาคงกำลังกินดื่มหรือทำกิจกรรมยามเย็นตามแบบฉบับที่ครอบครัวควรจะเป็กัน ไม่นานหลังจากนั้นรถตุ๊ก ๆ คันใหญ่ก็ลงมารับนายน้อยและเพื่อน ๆ
“คุณนายทานข้าวไปแล้วครับ เพราะคุณปริมมาด้วยคุณนายเลยไม่รอนายหัวครับ” นั่นคือสิ่งที่คนงานบอกกับเขา รามถอนหายใจด้วยความโล่งอก อย่างน้อยแม่เขาก็ทานอาหารได้ตามปกติและอย่างน้อยไอ้พวกเพื่อน ๆ ของเขานี้ก็มาถูกที่ถูกเวลา เป็ข้ออ้างที่เขาไม่ต้องอยู่ทานข้าวกับปริมด้วย
ดังนั้นทั้งสี่คนเลยได้ตั้งโต๊ะทานอาหารกันในครัวอย่างเงียบ ๆ รามจัดแจงให้เพื่อนนอนที่ห้องนอนแขกอีกสองห้องที่เหลืออยู่แต่ถึงอย่างนั้นเ้าบ้านอย่างเขาก็ยังแอบหลบมานอนห้องนอนแขกที่ซึ่งม่านหยี่เป็เ้าของอยู่ด้วยอีกเช่นเคย เขาทำมันเป็ประจำจนไม่สนใจแล้วว่าแม่จะเห็นหรือไม่
“รามยังไม่ได้บอกเื่แม่กับไอ้อัสเลย” นายหัวรามสูรนอนพักศีรษะอยู่ที่ตักของคนรักโดยมีม่านหยี่คอยลูบหัวของเขาอยู่
“รามคิดว่าพี่อัสจะว่ายังไง”
“มันคงจะเงียบ ๆ แต่ก็คงจะคิดมากอยู่ แต่คงจะรับมือได้ดีกว่าราม”
“...อืม”
“เพราะขนาดเื่พ่อมันก็รับมือได้ดีกว่าราม ตอนที่พ่อเสียม่านก็เห็นแล้วว่ารามอาการหนัก แต่ไอ้อัสมันรับมือได้ มันบอกว่าสุดท้ายแล้วคนเราทุกคนก็ต้องตาย”
“...”
“แต่รามก็แค่คิดว่าก่อนที่เราจะตายชีวิตเราก็มีความหมายไม่ใช่เหรอ คนเราไม่ได้เกิดมาเพื่อทำใจยอมรับว่าสุดท้ายแล้วเราก็ต้องตายซักหน่อย เื่ตายก็ค่อยว่ากันอีกที ตอนนี้มีโอกาสได้รักแล้วเราก็ทำให้ดีที่สุดสิ ม่านว่าอย่างนั้นมั้ย”
“อื้อ”
“น่ารักที่สุดเลย”
“แค่พูดก็พอมืออย่าซน”
“ไม่ได้หรอก ม่านน่ารักขนาดนี้ ใครจะอดใจไหว”
“โรคจิต” ช่างเป็คำด่าที่ฟังดูไม่เหมือนการด่าอะไรเช่นนี้ เขาว่ารามโรคจิตในขณะที่เขาเองนั้นก็ยอมรับเอาััอุ่นร้อนจากฝ่ามือหนาของคนรักที่ลูบไล้อยู่ภายใต้เสื้อผืนบาง ไม่เพียงเท่านั้นยังยอมเปิดปากอ้ารับเอาจูบจากปากของรามสูรอีกด้วย สองคนมอบจูบซ้ำยังพร่ำพลอดรักกันอยู่อย่างนั้น เสียงครางอืออาอย่างพอใจดังคลอออกมาน้อย ๆ ท่ามกลางความเงียบสงบของเวลากลางดึก รามสูรไม่รั้งรอเมื่อเห็นว่าคนรักเปิดทางให้เขาได้กระทำตามใจตนเองแล้ว ร่างแกร่งเป็ฝ่ายพลิกกายคร่อมคนรักเอาไว้จากนั้นก็บรรจงจูบม่านหยี่ด้วยความรักใคร่และเสน่หา คนใต้ร่างโอนอ่อนราวกับขี้ผึ้งลนไฟ ม่านไม่ปฏิเสธััวาบหวามจากคนรักไม่เพียงเท่านั้นเขายังเต็มใจรับมันเอาไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้เขาก็จะไม่เสียใจกับการทำรักครั้งนี้ ั์ตาสองคู่สบกันม่านหยี่พยักหน้าเบา ๆ เป็การอนุญาตให้รามสูรทำอะไรก็ตามที่อยากทำ เสียงครวญครางของความสุขสมดังก้องอยู่บนเตียงหลังกว้าง ภายในห้องนอนแขกขนาดใหญ่มีเพียงคนสองคนที่ขยับกายเข้าหากันอย่างไม่มีหยุดพัก ไม่ว่าจะปลดปล่อยทั้งภายในหรือนอกร่างกายของม่านหยี่กี่ครั้ง ก็ไม่มีทีท่าว่ารามสูรจะพอใจในการทำรักครั้งนี้ ยังคงมีครั้งต่อไปเรื่อย ๆ จนคนใต้ร่างผล็อยหลับไปในอ้อมกอดของเขา...