สุดเขตแดนสมุทร
ตอนที่ 27
เมื่อคืนรามไม่ได้แอบหลบเข้ามานอนกับเขาที่ห้องนอนของแขกดังเช่นที่เคยทำทุก ๆ คืน แต่ม่านก็ไม่ได้คิดมากอะไรคิดแค่ว่ารามคงอยู่คุยธุระกับมารดาจนดึกดื่นเพียงเท่านั้น แต่ตอนนี้สายจนแสงแรงกล้าของพระอาทิตย์สาดส่องไปทั่วทั้งบ้านหลังใหญ่แล้วก็ยังไม่เห็นวี่แววของรามสูรจะออกมาจากห้องนอนรามคงจะเหนื่อยจนเผลอนอนยาวไปอย่างนั้นล่ะมั้ง อีกทั้งวันนี้ยังเป็วันอาทิตย์เขาคงต้องอะลุ่มอล่วยให้รามสูรได้นอนพักอย่างเต็มอิ่มสักวัน
ก๊อก ๆ ๆ
แต่ก็นั่นแหละถ้ารามไม่ตื่นมากินข้าวกินปลาเลยอย่างนั้นเขาก็อดเป็ห่วงไม่ได้
“ราม” ม่านหยี่แนบหน้าของตนเองไปที่บานประตูไม้สักจากนั้นก็เงี่ยหูฟังว่ามีการเคลื่อนไหวของคนในห้องหรือไม่
“รามสูร บ่ายแล้วตื่นรึยัง”
“...”
“ราม”
ไร้เสียงตอบรับจากคนรักม่านหยี่เลยถือวิสาสะเปิดประตูห้องนอนของรามสูรเข้าไป สิ่งแรกที่ได้ยินคือเสียงน้ำไหลภายในห้องน้ำด้านซ้ายมือ เ้าของห้องคนตื่นได้สักพักและกำลังอาบน้ำอยู่ม่านเดินเลยไปอีกหน่อยจนกระทั่งเห็นเตียงนอนที่มีกองผ้าห่มยับยู่ยี่สัมทับกันอยู่รามสูรมักจะเป็แบบนี้เสมอ รามไม่ค่อยพับผ้าห่มแต่เขาก็ไม่ได้บ่นอะไรเพราะถึงบ่นไปรามก็ไม่พบอยู่ดีอีกทั้งมันยังสร้างบรรยากาศไม่ดีให้กับเราสองคนอีกด้วย ร่างบางยืนพับผ้าห่มจนเรียบร้อยไม่ลืมที่จะตบลงบนกองผ้าเสียงดังปุ ๆ ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นซองเอกสารสีน้ำตาลที่มันวางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง
ม่านไม่ใช่คนมือไว เขาไม่หยิบฉวยของของคนอื่นก่อนได้รับอนุญาตถึงแม้ไม่เคยได้รับการสั่งสอนที่ดีจากครอบครัวแต่เื่นี้คือพื้นฐานของมนุษย์ที่สมควรพึงกระทำกัน ซองเอกสารนั้นมันแค่วางอยู่เฉย ๆ แต่มันกลับทำให้เขารู้สึกแปลกใจและนึกสงสัยว่าข้างในมันเป็อะไร ม่านหยี่มองข้ามมารยาทขั้นพื้นฐานไป มือเรียวเอื้อมออกไปคว้าเอาซองเอกสารสีน้ำตาลมาถือเอาไว้เขาพบว่าปากซองของเอกสารนั้นมันยังโดนปิดผนึกเอาไว้อยู่ รามคงยังไม่ได้อ่านมัน หากเขาถือวิสาสะเปิดอ่านก็จะเสียมารยาท แต่รามไม่เคยเอ็ดเขาเื่นั้นอยู่แล้วเพราะม่านหยี่ไม่ใช่คนที่ชอบเสียมารยาท เอาเถอะ...แค่ความอยากรู้อยากเห็นแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ม่านถอนหายใจแล้วล้วงมือเข้าไปดึงเอกสารในนั้นออกมาดู
“!!!”
รูปภาพและแผ่นกระดาษที่พิมพ์รายละเอียดข้อมูลส่วนตัวของม่านหยี่ สิริลักษณ์ั้แ่คลอดจนกระทั่งระยะเวลาปัจจุบันถูกเปิดเผยออกสู่สายตาผู้เป็เ้าของ รูปถ่ายของเขาั้แ่เขาเป็เด็กสวมรองเท้านักเรียนสีแดงสดที่ยืนเคียงข้างกันอยู่นั้นคือมารดาของเขาเอง รูปติดบัตรนักเรียนชั้นอนุบาลสองของเด็กชายม่านหยี่ และรูปถ่ายอีกเกือบสิบใบที่บางทีเขาไม่เคยเห็นมันมาก่อนในชีวิตเสียด้วยซ้ำ มือที่ถือเอกสารอยู่นั้นสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัดแต่ที่สั่นไปไม่แพ้กันคือร่างกายของเขาเอง ม่านสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนที่จะทำใจอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเขาที่มันถูกบันทึกเอาไว้ในเอกสาร
‘สุทาสินี สิริลักษณ์ มารดา’
‘ศิลา เสนาอภิรัตน์ บิดา’
ตัวอักษรเ่าั้บันทึกเื่ราวประวัติชีวิตส่วนตัวของเขาเอาไว้อย่างละเอียดยิบ ข้อมูลพวกนั้นทำให้เขาสั่นกลัวอย่างห้ามไม่ได้ มันละเอียดมากเสียจนบางสิ่งบางอย่างเขาก็ยังไม่เคยรู้เกี่ยวกับตนเองด้วยซ้ำไป ข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนั้แ่ชั้นอนุบาลไปจนถึงมหาวิทยาลัย รูปถ่ายทั้งหมดขาดหายไปแค่่ที่เขาเรียนมัธยมเพราะในตอนมัธยมนั้นม่านหยี่ไม่ใช่คนที่ชอบถ่ายรูปยิ่งไปกว่านั้นคือเขาไม่มีโทรศัพท์ที่สามารถถ่ายรูปได้ ความทรงจำในชั้นมัธยมต้นและมัธยมปลายเลยกลายเป็เสมือนภาพเบลอมากกว่าจะเป็เื่จริง พอเข้ามหาวิทยาลัย รูปถ่ายส่วนใหญ่ที่แนบมาในเอกสารฉบับนี้คือรูปที่เขาและรามสูรถ่ายร่วมกัน ใครก็ตามที่ตั้งใจจะเอาเอกสารฉบับนี้มาให้รามสูรคงไปได้ภาพพวกนี้มาจากโซเชียลมีเดียทุก ๆ ช่องทางของราม
“ม่าน!”
เ้าของชื่อสะดุ้งตัวโยนเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อของตน ม่านหยี่หันกลับหลังมาเผชิญหน้ากับคนรักที่ตอนนี้พึ่งจะอาบน้ำเสร็จและนุ่งผ้าขนหนูที่ท่อนล่างเพียงอย่างเดียว
“ม่านมีอะไรรึเปล่าเราเรียกตั้งนานม่านไม่ได้ยิน”
“ฮะ? อ๋อ เปล่า เราเปล่า ไม่มีอะไร”
“เหม่ออีกแล้วนะ”
“อื้อ” มือที่ถือเอกสารนั้นค่อย ๆ ซ่อนหลักฐานทั้งหมดเอาไว้ที่ข้างหลังของตน หากแต่คนมีความผิดติดตัวนั้นสั่นเทาเกินจะครองสติอยู่ม่านหยี่ทั้งยิ้มและรู้สึกเหมือนจะร้องไห้ในขณะเดียวกัน ร่างบางฉากหลบออกมาจากคนรักแล้วรีบจ้ำอ้าวเดินออกไปจากห้องนอน ทิ้งให้รามสูรยืนมองด้วยความสงสัยอยู่อย่างนั้น...
เ้าของห้องมองคนรักด้วยความประหลาดใจแต่ในขณะที่เขากำลังจะเดินไปแต่งตัวเท้าก็เหยียบเข้ากับรูปถ่ายแผ่นหนึ่งที่มันนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้น มือหนาหยิบมันขึ้นมาดูก็พบว่าเป็รูปถ่ายของเขาและม่านหยี่ในตอนที่เป็นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งในมหาวิทยาลัย มันเป็รูปแรกที่เขาและม่านหยี่ถ่ายด้วยกันหลังจากที่เขาขอม่านคบ รามสูรยิ้มให้รูปถ่ายใบนั้น ทว่ารอยยิ้มนั้นมันก็หุบลงแทบจะทันที
ทางด้านคนที่มีชนักติดหลังก็รีบเดินเร็วจี๋กลับเข้ามายังห้องนอนของตน ม่านหยี่ทิ้งทุกอย่างลงบนเตียงสองเท้าเดินวนเวียนย้ำคิดย้ำทำอยู่อย่างนั้นด้วยเพราะเขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีกับหลักฐานพวกนี้ รามน่าจะยังไม่ได้เห็นมันหรอก...ใช่ไหม ใช่สิ ตอนที่เขาเปิดพวกมันออกมามันยังถูกปิดผนึกเอาไว้ไม่ได้มีร่องรอยว่าถูกแกะแล้วแต่อย่างใด ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือเขาจะต้องรีบทำลายพวกมันให้เร็วที่สุด
“เผา!!!” นั่นคือวิธีเดียวที่คิดออกม่านเดินลนลานหาไฟแช็กไปทั่วทั้งห้องนอนแต่ก็หาไม่พบเขาจึงแอบเดินไปที่ห้องครัวและหยิบไฟแช็กที่วางอยู่ซึ่งเป็ของใครก็ไม่รู้แล้วรีบเดินกลับเข้าห้องอีกครั้ง ม่านหยี่เปิดหน้าต่างบานกว้างออกลมร้อนของวันตีเข้าหน้าหากแต่เขาก็ไม่สนใจ ม่านลงมือเผาเอกสารทุกอย่าง ไฟร้อนลามหน้ากระดาษและรูปถ่ายอย่างรวดเร็วความร้อนของเปลวไฟััลามเลียที่มือของเขา มันให้ความรู้สึกร้อนแต่ที่มากกว่านั้นคือจิตใจของเขาเองอยู่ไม่สุข จะต้องมีใครคนใดคนหนึ่งที่รู้เื่ของเขา คงเป็ใครสักคนที่รู้ความจริงเกี่ยวกับตัวเขาและ้าให้รามสูรรู้ด้วย คนเดียวที่ม่านคิดได้ตอนนี้คือคุณนายรุ่งฤดี...มารดาของรามคงจะส่งคนออกไปสืบเื่ของเขาและเธอก็คงรู้ความจริงทุกอย่างแล้ว เหลือก็แต่รามสูรเท่านั้น สองแม่ลูกคงจะหาโอกาสคุยกันในเร็ววัน หรืออาจเป็เมื่อคืน คุณนายรุ่งฤดีอาจบอกเื่ของเขาให้รามรับรู้ั้แ่เมื่อคืน...แต่คงไม่ใช่หรอก ต้องไม่ใช่อย่างนั้น ถ้ารามรู้ความจริงั้แ่เมื่อคืนรามคงไม่มองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักอยู่อย่างนี้ รามสูรคงจะต้องโกรธเขา เกลียดเขา และไม่ให้อภัยเขา รามอาจไล่ให้เขาออกจากเกาะไปแล้ว รามจะต้องบอกเลิกเขามันต้องเป็อย่างนั้นแน่ถ้ารามรู้ความจริง
แต่ตอนนี้รามยังไม่รู้ แต่ความลับนี้คงไม่อาจเก็บเอาไว้ได้นานเท่าไหร่ เขาจะทำอย่างไรต่อไปดี...
ม่านหยี่คิดไปสะระตะร่างบางเดินวนเหมือนหนูติดจั่น ทุกครั้งที่เขานั่งลงบนเตียงหลังกว้างความคิดวกวนกวนใจที่ว่ารามสูรต้องรู้ความจริงเื่นี้ก็แผดเผาเขาให้ร้อนรนและไม่อาจนั่งติดที่ได้
หรืออาจไม่ใช่คุณนายรุ่งฤดีที่รู้ความจริง อาจเป็ใครก็ได้ อาจเป็ทนายวัตรที่รามสูรเล่าให้ฟังเมื่อวาน บางทีหลักฐานพวกนี้อาจยังไม่เคยมีใครได้รู้มาก่อนนอกจากคนต้นเื่ที่ส่งพวกมันมาให้ราม
บางทีอาจเป็อย่างนั้นก็ได้...
“ม่านหยี่”
“คะ...ครับ” เ้าของชื่อสะดุ้งเฮือกเมื่ออยู่ ๆ คุณนายรุ่งฤดีก็เรียกชื่อเขาในขณะที่เราทั้งสี่คนกำลังรับประทานอาหารเช้าร่วมกันอยู่ หลายวันมานี้สติเขาไม่อยู่กับร่องกับรอยเพราะเอาแต่คิดกังวลว่าคนรักและมารดาของรามจะรู้เื่ที่เขาแอบปิดบังเอาไว้แล้ว แต่ทั้งสองคนก็ทำตัวเป็ปกติเหมือนเดิมทุกอย่างเป็เขาเสียเองที่ร้อนรนอยู่ไม่สุข
“ฉันวานเธอหน่อยได้ไหม”
“วาน? ดะ...ได้ครับ”
“วันนี้นายรามจะพาฉันไปหาหมอ เธอช่วยไปดูคนงานที่ฟาร์มไข่มุกและก็ไปเป็ลูกมือหนูปริมเก็บตัวอย่างน้ำทะเลที”
ม่านลอบมองหน้าคุณปริมที่ยิ้มให้จากนั้นเขาก็พยักหน้ายอมรับ
“วันนี้คงไม่ได้กลับนะม่าน ดูแลตัวเองดี ๆ นะครับ” สองคนร่ำลากันก่อนที่นายหัวรามสูรและมารดาจะลงไปยังท่าเรือและออกจากเกาะไปหาหมอ
“อื้อ”
“บางทีรามอาจให้แม่พักกับไอ้อัสบนฝั่งก่อนในตอนที่แม่รับการรักษาจะได้ใกล้หมอด้วย”
“อือ อย่างนั้นก็น่าจะดีเหมือนกันนะ”
“แต่เคยคุยเื่นี้กับแม่แล้วแม่ไม่ยอมน่ะ”
“อืม...รามต้องลองคุยใหม่เพราะยังไงม่านว่ามันน่าจะเป็ผลดีกับแม่มากกว่าอยู่ที่เกาะ ถ้าเกิดฉุกเฉินจะได้หาหมอได้ทัน”
“ครับ เดี๋ยวรามจะลองคุยกับแม่อีกที ไปก่อนนะ” ร่างแกร่งยกมือขึ้นโบกลาให้คนรักก่อนที่จะเดินไปขึ้นรถกระบะคันใหญ่จากนั้นไม่นานคนขับรถก็ขับรถออกไปทิ้งให้ม่านหยี่ยืนอยู่คนเดียวที่หน้าบ้านหลังใหญ่ เขารอคุณปริมจัดของในกระเป๋าสะพายใบใหญ่ของเธอสักครู่ก่อนที่ทั้งสองจะโดยสารรถตุ๊ก ๆ ซึ่งวันนี้มีพี่พลเป็สารถีขับไปส่งยังฟาร์มหอยมุกหลังเกาะ
“มาครับผมช่วย”
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวว่ายิ้ม ๆ ก่อนที่จะยื่นกระเป๋าเครื่องมือของเธอให้กับคนรักของราม เธอทักทายเ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ที่กำลังเดินสำรวจและให้ความรู้แก่นักศึกษาซึ่งวันนี้นักเรียนคณะเกษตรและประมงต้องลงพื้นที่ในรายวิชาที่อาจารย์ของเธอเป็ผู้สอนส่วนเธอนั้นรับหน้าที่เป็รุ่นพี่ที่ให้ความรู้แก่น้องนักศึกษาชั้นปีที่สองอีกที
“คุณปริมเรียนประมงใช่มั้ยครับ”
“ใช่ค่ะ”
“ทำไมถึงเลือกเรียนประมงเหรอครับ ผมถามได้มั้ย”
“อืม...เพราะมันใกล้บ้านค่ะ”
“อ๋อ”
“คุณม่านเรียนคณะเดียวกับรามใช่มั้ยคะ”
“ครับ”
“แล้วทำไมเลือกเรียนบริหารล่ะคะ”
“อืม...ตอนนั้นไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรครับ ก็เลยเลือกที่ไม่ชอบน้อยที่สุดดีกว่า” เขาไม่ชอบวิทยาศาสตร์ ไม่ชอบการคำนวณสูตรฟิสิกส์ยึกยือ เขาเกลียดการท่องจำตารางธาตุทั้งยังเล่นกีฬาหรือเล่นดนตรีไม่เป็สักอย่าง ตัวเลือกของเขามีไม่มาก ม่านหยี่เลยเลือกเรียนบริหารแทนที่จะเป็สายภาษา
“จริง ๆ แล้วปริมไม่ได้อยากเรียนใกล้บ้านหรอกค่ะ แต่ว่าได้ทุนที่นี่ด้วย”
“เก่งมากเลยนะครับ”
“ค่ะ...”
“...”
“ที่จริงปริมเอาทุนนี้เพราะรู้มาว่าเป็แม่ของรามที่ให้ทุนอยู่ ปริมเลยเอา”
“...”
“ปริมไม่ได้อยากเรียนคณะนี้ั้แ่แรกอยู่แล้วหรอกนะคะ บางทีคุณม่านอาจรู้แล้วว่าปริมกับรามเราเคยคบกันมาก่อน...”
“...”
“แต่คุณนายรุ่งฤดีเธอห้ามไม่ให้ปริมกับรามคบกัน ตอนนั้นปริมโดนด่าสารพัดเลยละค่ะ” หญิงสาวพูดพร้อมกับหัวเราะไปด้วยราวกับว่าการถูกปรามาสในครั้งนั้นมันเป็เื่ตลก
“...”
“ปริมทั้งโกรธทั้งน้อยใจคุณนายรุ่งฤดี แต่ที่มากกว่านั้นคือปริมโกรธตัวเอง”
“โกรธในความยากจนของตัวเอง โกรธในความจริงที่รู้อยู่แก่ใจว่ายังไงซักวันหนึ่งปริมก็ต้องเลิกกับรามอยู่ดี ต่อให้ไม่ใช่เพราะคุณนายรุ่งฤดี ยังไงมันก็ต้องมีวันนั้นวันที่รักของเรามันไปกันไม่รอด เพราะปริมกับรามต่างกันเกินไป คุณม่านก็คงจะเห็นแล้วว่ารามมีขนาดไหน”
“...”
“ชีวิตเราเหมือนฝันเลยใช่มั้ยล่ะคะ ความร่ำรวยของรามสูรทำให้เราดูตัวเล็กลงไปถนัดตาเลย”
“...”
“พอคุณนายพูดแบบนั้นพูดความจริงกับปริม ปริมก็ต้องทำใจยอมรับและสุดท้ายปริมกับรามเราก็เลิกกัน”
“...”
“นั่นละค่ะ”
“คุณปริมกำลังจะบอกอะไรผมอยู่รึเปล่าครับ”
“ปริมดีใจนะคะที่คุณม่านไม่ใช่คนโง่...”
“...”
“ตอนนี้คุณแม่สนับสนุนปริมเต็มที่ ที่ปริมอยากจะบอกคือปริมได้โอกาสนั้นมาแล้ว โอกาสที่จะกลับมาหารามอีกครั้ง”
“...”
“และปริมจะไม่ลังเลเลยค่ะคุณม่าน” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งไม่มีหวั่นไหว คุณปริมพูดประโยคนั้นด้วยใบหน้าที่ยังยิ้มให้เขาอยู่อย่างนั้น ช่างเป็อะไรที่เหลือจะเชื่อจริง ๆ สำหรับเขา
“ผมหลงคิดว่าคุณปริมเป็คนดีต่างจากคนอื่น แต่ผมแน่ใจแล้วว่าตัวเองคิดผิด”
“...”
“เชื่อมั้ยผมกับรามเราเคยทะเลาะกันเื่ของคุณปริมด้วย ถึงขั้นรามโกรธผมไปหลายวันเพราะผมอยากให้รามแต่งงานกับคุณปริม ผมอยากให้รามมีลูก...”
“...”
“แต่ดีแล้วละครับที่รามไม่อยากแต่งกับคุณปริม ผมรู้แล้วว่าทำไม”
“...”
“ถึงไม่มีผม รามก็ไม่กลับมาคบกับคุณปริมหรอกนะครับ รามสูรเดินไปไกลแล้วและจะไม่มีวันหันกลับหลังมาอีก เสียใจด้วยนะครับ คุณปริมแค่กำลังหวังในเื่ลม ๆ แล้ง ๆ เท่านั้น”
“...คุณม่าน”
“ขอตัวนะครับ”
ม่านหยี่ยิ้มให้ก่อนที่จะเดินผละออกมา เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเธอจะทำสีหน้าอย่างไร ไม่สนใจว่าวันนี้เขาต้องคอยดูแลและเป็เบ๊คอยทำงานช่วยคุณปริม ม่านเดินกลับไปยังรถที่จอดอยู่ใต้ร่มไม้ก่อนที่จะคุยกับพี่พลสองสามประโยค สารถีจำเป็ก็พาเขาบึ่งกลับบ้านทันที
เขาเสียดายที่ตนเคยคิดผิดชื่นชมผู้หญิงคนนั้น สุดท้ายแล้วทุกคนก็เหมือนกันหมด ไม่เว้นแม้แต่ตัวเขาเองที่คอยแต่จะหักหลังรามสูรอยู่ทุกวัน
“คุณม่านครับ...”
“ลุงชัย” หลังจากที่ม่านกล่าวขอบคุณพี่พลและกำลังจะเดินกลับเข้าไปในบ้านก็ต้องพบว่าลุงชัยมารอเขาที่หน้าบ้านอยู่ก่อนแล้ว
“นาย...นายบอกว่าคืนนี้ให้คุณม่านลงมือได้ครับ”
“...”
“ถ้าไม่อย่างนั้นแม่...แม่ของคุณม่านจะตาย”
กลางดึกคืนนั้นม่านหยี่ขึ้นควบรถ ATV แล้วขับบึ่งออกมาจากบ้านหลังใหญ่ วันนี้เขาไม่ต้องระแวงหรือระวังว่าจะมีใครมาเห็นเพราะทั้งแม่บ้านที่อยู่ประจำและคนขับรถก็ต่างติดตามคุณนายรุ่งฤดีขึ้นฝั่งไปหมด คนที่เหลือก็เลิกงานและต่างแยกย้ายกันกลับบ้านไปหมดแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นม่านหยี่ก็ไม่ลืมที่จะระวังตัวด้วยเพราะรามสูรยังคงให้คนเฝ้าฟาร์มหอยมุกและสถานที่อื่น ๆ อยู่
“อ้าวคุณสวัสดีครับ มาทำอะไรดึก ๆ ดื่น ๆ ล่ะครับเนี่ย” หนึ่งในคนของนายหัวรามทักขึ้นเนื่องจากว่าเห็นเพื่อนของนายหัวเดินขึ้นแพมุกมาในตอนกลางดึกของวัน
“อ๋อ มาดูมุกน่ะครับ”
“ดูมุกอะไรตอนนี้ล่ะนาย นายมาไม่ทันเขาต้องมาดูตอนเช้าโน่น”
“เหรอครับ ฮ่า ๆ ๆ ” ม่านหยี่หัวเราะกลบเกลื่อน
“เอ้อ นายครับ ผมวานนายทีได้มั้ย วันนี้เมียผมมันปวดท้องมันนอนอยู่บ้านคนเดียว ผมหาใครมาเฝ้าแทนก็ไม่มีเพราะวันนี้มันหยุดกันหมด ผมวานนายเฝ้าแทนผมได้มั้ยครับ นะครับนาย เดี๋ยวผมกลับไปดูเมียแล้วเดี๋ยวผมกลับมา นะครับนาย” คนหนุ่มที่ม่านคิดว่าน่าจะแก่กว่าเขาไม่กี่ปีทั้งไหว้ทั้งพูดขอร้องเขา ม่านหยี่รีบหยิบฉวยเอาโอกาสนั้นและพยักหน้าตอบตกลงทันที
“ได้ไม่เป็ไร กลับไปดูเมียเถอะ”
“โอ๊ย ขอบคุณมากครับนาย ผมจะรีบกลับมา” ม่านรอให้สิ้นเสียงรถจักรยานยนต์ของผู้ชายคนนั้นเขาก็ก้าวเท้าเดินลงไปยังแพหอยมุกของรามสูรทันที มันสมควรจะง่ายกว่าครั้งก่อนด้วยซ้ำเพราะเขาเคยทำมันมาก่อนแล้ว แต่มันกลับไม่ง่ายเลยสักนิด ในขณะที่เขาเปิดฝาสารเคมีนั้นหน้าของรามสูรก็ยิ่งกระจ่างชัดขึ้นมาทุกที มันยิ่งชัดเจนมากยิ่งขึ้นเมื่อกลิ่นสารเคมีตีฟุ้งขึ้นมาและกระทบเข้ากับต่อมรับกลิ่นของเขา ม่านหยี่หยีหน้าด้วยเพราะทนกลิ่นเหม็นฉุนของมันไม่ไหว
เขาค่อย ๆ ย่อตัวนั่งลงแล้วยื่นมือออกไปด้านหน้าก่อนที่จะเทสารเคมีที่อยู่ในขวดนั้นลงไปในกระชัง
“ม่าน!!!”
เ้าของชื่อสะดุ้งโหยงจนเผลอทำขวดสารเคมีนั้นร่วงลงไปยังในน้ำ ม่านหยี่หันกลับมาก็พบว่าคนรักยืนจังก้าอยู่ด้านหน้าของเขาแล้ว รามสูรในตอนนี้ต่างจากรามสูรเมื่อตอนเช้ามากมาย ซ้ำยังต่างจากรามสูรเมื่ออาทิตย์ก่อนและต่างจากรามสูรเมื่อเดือนก่อนด้วยซ้ำ ดวงหน้าหล่อเหลาโกรธขึ้ง เรียวคิ้วหนาได้รูปขมวดเข้าหากัน มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่นจนมันสั่นเทา เสียงหอบหายใจดังก้องไปทั่วทั้งแพหอยมุกท่ามกลางความเงียบยามค่ำคืนและเสียงคลื่นน้ำกระทบฝั่ง
“ราม!!!”
“ม่านทำอย่างนี้ทำไมวะ!!!”
“ม่านไม่...” ม่านหยี่กลายเป็คนบ้าใบ้อ้ำอึ้งและหัวสมองตื้อตัน เขาไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาปฏิเสธและโกหกคนตรงหน้าได้อีกแล้ว เพราะรามคงเห็นทั้งหมดแล้วว่าเขาทำอะไร
“ม่านรู้ตัวมั้ยว่าม่านทำอะไรลงไป!!!” รามสูรโกรธจนพุ่งตัวเข้าใส่คนรัก มือแกร่งกระชากข้อมือของม่านหยี่มาถือเอาไว้แล้วกดแรงลงไปอย่างหนักหวังจะให้มันแหลกคามือของตน
“ม่านไม่...”
“ไม่อะไรม่าน ม่านยังจะแก้ตัวอยู่อีกเหรอ!!!” ความผิดหวังและเสียใจมันทำให้นายหัวรามสูรแทบจะยั้งมือตนเองเอาไว้ไม่อยู่ เขาโกรธม่านหยี่จนเืขึ้นหน้า
“ไม่...” ม่านหยี่ส่ายหน้าน้อย ๆ น้ำตาสายหนึ่งไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
"ไม่อะไรม่าน!!! ม่านพูดมาสิว่าไม่อะไร!!!” รามสูรจับไหล่ทั้งสองข้างของม่านหยี่จากนั้นก็สั่นมันอย่างแรงเพื่อเค้นเอาคำตอบ
“ม่านตอบเรามาว่าทำอย่างนี้กับเราได้ยังไง!!!”
“...”
“ม่านทำไปทำไมวะ มันมีอะไรที่เราให้ม่านไม่ได้เหรอ!!!”
“ฮึก ไม่...ไม่ใช่อย่างนั้น ราม” ม่านหยี่ไม่ได้อยากดูเป็คนอ่อนแอใช้น้ำตาเรียกความสงสารจากรามสูร เขาเกลียดตัวเอง ม่านเกลียดการกระทำของตนเอง
“ไม่ใช่อย่างนั้นแล้วมันยังไง พูดสิวะ!!!”
“ม่าน...เรา ฮึก”
“อย่าร้อง!! หยุดร้อง!! แล้วพูดมา!” นายหัวรามสูรนอตหลุด เขากลายเป็คนบ้าคลั่งกระทั่งกล้าที่จะผลักม่านหยี่ให้ล้มลงแล้วนั่งร้องไห้อยู่แทบเท้าของเขา หากเป็แต่ก่อนแค่ม่านหยี่ร้องไห้เขาก็แทบจะเอามือไปรองน้ำตาและเฝ้าปลอบมอบอ้อมกอดที่อบอุ่นและแสนดีให้ แต่ในตอนนี้มันไม่ใช่อย่างนั้นอีกแล้ว
“ม่านหลอกเรา หลอกเรามาตลอด”
“ฮึก”
“ใช่มั้ย”
“ราม...”
“กูถามว่าใช่มั้ย!!!” รามสูระโถามคนที่อยู่แทบเท้าด้วยอารมณ์และน้ำเสียงที่เดือดดาล ทั้ง ๆ ที่คนตรงหน้าทรยศเขาขนาดนี้ใจเ้ากรรมมันยังอยากได้ยินคำโกหกของม่านหยี่อยู่ เขาอยากให้ม่านโกหกเขาพูดอะไรออกมาก็ได้ที่ทำให้เขาเชื่อว่าม่านหยี่ไม่ได้ตั้งใจทำเื่ทั้งหมดนี้ สิ่งที่เขาเห็นและรับรู้มาทั้งหมดมันเป็เื่เข้าใจผิดไปเองทั้งนั้น
“อึก ฮึก...ราม”
“อย่ามาเรียกชื่อกู! ม่าน...แม่ง โกหกมาตลอด! ทำอย่างนี้ได้ยังไงวะ! ที่รามให้ไปมันยังไม่พออีกเหรอ!!!”
“ราม รามฟังเราก่อนนะ ฟังม่านก่อน” ม่านหยี่คลานกลับมาหมอบอยู่แทบเท้าของคนรัก
“จะให้ฟังอะไรก็พูดมา”
“...”
“พูดมา!!!” รามสูรตะคอกคนรักครั้งแล้วครั้งเล่า เขาไม่ยอมลดตัวลงไปนั่งเคียงข้างม่านหยี่ทำเพียงแค่ยืนนิ่งแล้วรอคอยคำตอบหรือเป็คำโกหกเอาไว้แก้ต่างแก้ตัวของม่านหยี่
“ม่านไม่ได้อยากทำอย่างนี้ ที่ม่านทำไปทั้งหมดก็เพราะม่านโดนบังคับ”
“ใครบังคับ”
“...”
“กูถามว่าใคร”
“พ่อ”
“หึ...มีพ่อด้วยเหรอ เด็กกำพร้าม่านหยี่มีพ่อด้วยเหรอ”
“ฮึก...”
“ใครคือพ่อของม่าน”
“...”
“รามจะให้โอกาสม่านพูดดี ๆ อีกครั้ง พ่อม่านคือใคร?!”
ม่านหยี่ไม่กล้าบอกรามสูรนั่นก็เพราะถ้าเขาบอกไปรามคงโกรธเขามากกว่าที่เป็อยู่ตอนนี้
“ได้! ไม่ตอบอย่างนั้นใช่มั้ย”
“ราม...” สมองของม่านหยี่เหมือนแผ่นเสียงที่กำลังตกร่องมันเล่นได้แค่คำว่าราม ราม และรามเท่านั้น ไม่อาจเอ่ยคำอื่นได้อีกเขาเทียวเรียกชื่อของคนรักราวกับรู้ดีว่าต่อไปในภายภาคหน้าเขาจะไม่มีโอกาสได้เรียกชื่อของรามอีกแล้ว
“ไอ้ศิลามันเป็พ่อมึง มึงทำเื่เหี้ย ๆ พวกนี้กับกูเพื่อพ่อมึงมาโดยตลอด...”
“...”
“งั้นก็กลับไป กลับไปหาพ่อมึง”
“รามสูร”
“มันจบแล้วม่าน”
“ฮึก เราขอโทษ ม่านขอโทษนะราม ขอโทษจริง ๆ มันไม่ใช่อย่างที่รามคิดนะ ให้ม่าน...ได้อธิบายก่อน ฮึก...”
“เราไม่รู้ว่าเราจะเชื่อม่านได้อีกมั้ย เชื่อคำโกหกของม่าน”
“ราม...ฮึก”
“เรารู้หมดแล้ว...รามรู้หมดทุกสิ่งทุกอย่างม่านโกหก เด็กกำพร้าที่ชื่อม่านหยี่มันเป็เื่ลวงโลกทั้งนั้น ม่านโกหกราม ม่านโกหกทุกคน ม่านโกหกแม้กระทั่งแม่ของราม ทำได้ยังไงวะ...ม่านทำแบบนั้นกับรามได้ยังไง!!!” รามสูรพูดตัดพ้อพลางเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้า เขาเจ็บจนเกินจะเอ่ยปากบอกความเ็ปนั้นออกไปให้ม่านหยี่ได้รับรู้ทั้งหมดที่ทำได้อยู่ตอนนี้คือปล่อยให้น้ำตามันรินไหลออกมา ความเ็ป เสียใจ โกรธแค้น ให้มันไหลออกมาให้คนตรงหน้าได้รับรู้
“เรารักม่าน ราม...รักม่าน รักฉิบหาย รักจนไม่รู้จะรักยังไงแล้ว รามให้ม่านหมดหมดทุกอย่างที่รามมีและรามอยากให้ม่านได้มี”
“ฮึก...ราม” ม่านหยี่กอดขาคนรักเอาไว้เขาเกลียดตัวเองยิ่งกว่าที่รามสูรกำลังเกลียดเขาอีก และเขาก็รักรามสูรมากเท่าที่รามรักเขาเหมือนกัน
“ที่ผ่านมามันเื่ลวงโลกทั้งนั้นเลยสินะ มันไม่เคยจริงเลยใช่มั้ย ความรู้สึกที่มีให้ก็เหมือนกัน สนุกมากงั้นสิ”
“ฮึก...ขอร้องราม อย่า...มันไม่ใช่แบบนั้น ม่านรักราม รักรามจริง ๆ นะ ม่านขอโทษ...ขอโทษนะราม”
“แม่ง!!! กูจะรักมึงทำไมวะม่าน กูไม่น่ารักมึงเลย”