สุดเขตแดนสมุทร
ตอนที่28
“แม่ง!!! กูจะรักมึงทำไมวะม่าน กูไม่น่ารักมึงเลย”
ม่านหยี่ไม่สามารถพูดอะไรได้อีกแล้ว เขาทำได้เพียงนั่งร้องไห้อยู่แทบเท้าคนรักมีเพียงเสียงคลื่นกระทบฝั่งยังคงดังเป็จังหวะสม่ำเสมอท่ามกลางความเงียบงันและความมืดมิดของยามดึกสงัด
รามสูรไม่ชายตามองคนที่ครั้งหนึ่งเขาเคยรักสุดหัวใจ ไม่ใช่เพียงแค่ม่านหยี่เท่านั้นที่เ็ปเขาก็แตกสลายและเ็ปไม่ต่างกับคนรัก ม่านหยี่โกหกเขาเื่ทั้งหมดมันเป็เื่โกหกทั้งเพ ที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้นคือม่านหยี่หลอกใช้ความรักความหวังดีที่เขามีให้มาตลอดสี่ปี กลับมาหักหลังและทำร้ายเขาเอง มันเ็ปเกินจะทำใจยอมรับ
“ฉันบอกแกแล้วมันเลี้ยงไม่เชื่อง สุดท้ายมันก็แว้งมากัดแกจนได้” คุณนายรุ่งฤดีตามมาดูผลงานที่เธอกับลูกชายช่วยกันวางแผน รามสูรขอให้เธอให้ความร่วมมือว่าจะออกจากเกาะสักสองสามวันเพื่อไปทำธุระที่ฝั่ง แต่แท้จริงแล้วสองแม่ลูกแค่เพียงขับเรือออกไปให้ห่างจากฝั่งไม่เท่าไหร่จากนั้นก็วนเรือกลับมาในตอนดึกของวันเพื่อที่จะมาสังเกตการณ์ว่าม่านหยี่จะทำอะไรในขณะที่พวกเธอไม่อยู่ ไม่คิดว่าจะจับโจรได้คาหนังคาเขากันแบบนี้
“...แม่กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ” รามสูรพูดทั้งเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้า เขาไร้เรี่ยวแรงที่จะรับมือกับมารดาได้ในตอนนี้
“ฉันเตือนแกกี่ครั้งกี่หน จนต้องให้รู้เองถึงจะเชื่อคำฉัน” ถึงแม้จะสงสารลูกชายอยู่บ้างแต่เธอก็อดสมน้ำหน้าเ้ารามมันไม่ได้ คนเป็แม่บอกก็แล้วเตือนก็แล้วจนลูกชายได้เจอเองแบบนี้รามสูรคงจะหายดื้อไปอีกนาน
“แม่...”
“...”
“ไปพักเถอะ”
“หึ” คุณนายรุ่งฤดีทำเสียงฮึดฮัดขึ้นจมูกก่อนที่เธอจะหันหลังให้ลูกชายแล้วเดินสับเท้าเสียงดังตึงตังกลับลงไปจากแพ ทั้ง ๆ ที่รามสูรรู้เื่ราวทั้งหมดแล้วแท้ ๆ ยังไม่วายร้องไห้ให้กับเื่ไม่เป็เื่ เด็กหนอเด็ก...
“ไปขึ้นเรือ”
“จะไป...ไหน” ม่านหยี่ถามเสียงแหบ
“กลับบ้านไง”
“บ้านใคร” ม่านหยี่ส่ายหน้าอย่างกลัว ๆ เขาสังหรณ์ใจว่ารามสูรคงไม่ได้หมายความว่าบ้านของรามแน่ ๆ
“บ้านใครล่ะม่าน ม่านมีบ้านไม่ใช่เหรอ เราจะไปส่งม่านเอง”
“ไม่นะราม” ถ้าเขากลับไปตอนนี้ทั้งเขาทั้งแม่คงไม่มีใครมีชีวิตรอดออกมาจากเกาะนรกนั้นแน่ ๆ
“แล้วจะอยู่ที่นี่ทำไม!!!”
“ฮึก...”
“อยู่ทำไม! ตอบสิวะ!”
“ไหนรามบอกว่าเราจะแต่งงานกันไง รามบอกว่า...ฮึก รามรักม่านไง”
“ยังกล้าพูดคำนั้นอีกเหรอม่านหยี่ ยังกล้าพูดคำนั้นกับกูอีกเหรอ!!!”
“...ฮึก”
“รักเหรอ มึงไม่เคยรักกูจริง ๆ หรอกม่าน คนอย่างมึงมันเห็นแก่ตัวรักแค่ตัวเองเท่านั้น!!!”
“ฮึก” ม่านหยี่ขบกัดริมฝีปากสวยจนมันเป็เส้นตรงและไร้สีเื รามพูดถูกที่เขารักแค่ตัวเองและเห็นแก่ตัว แต่เขาก็ไม่เคยไม่รักรามสูรเลย
“ม่านรักราม รักรามจริง ๆ นะ ที่ผ่านมาม่านไม่ได้โกหกเื่ความรู้สึกเลย”
“หึ...แต่โกหกเื่อื่น”
“...”
“คิดเหรอว่าเราจะแต่งงานกันหลังจากเื่เหี้ย ๆ นี่ คิดเหรอว่ารามจะยังรักม่านได้ลง”
“ราม...”
“รามรักม่านได้ รามก็เลิกรักได้”
“...”
“อย่าสำคัญตัวผิดคนที่ดีกว่าม่านยังมีเยอะแยะบนโลกใบนี้ อย่าเห็นแก่ตัวจนวินาทีสุดท้ายได้มั้ยวะ”
“...ราม”
“ไปขึ้นเรือ!!!”
“ไม่นะราม อย่า...” ร่างบางส่ายหน้าจนน้ำตาฟุ้งไปทั่ว ม่านเกาะแขนคนรักเอาไว้ด้วยเพราะไม่อยากให้รามสูรทำอย่างนี้ ม่านไม่เคยเห็นใบหน้าเฉยชาไร้รักของรามสูรเคยภาวนาเอาไว้หลายต่อหลายครั้งว่าเขาไม่อยากเห็นมัน ทั้งการกระทำที่แสนป่าเถื่อนรุนแรงและคำพูดทำร้ายความรู้สึก แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นก็โทษใครไม่ได้นอกจากตัวเขาเอง
“รามอย่า” นายหัวรามสูรคว้าเอาเชือกป่านที่วางกองอยู่ท้องเรือขึ้นมามัดมือคนรักเอาไว้กับเสาภายในเรือก่อนที่จะสตาร์ทเครื่องยนต์แล้วขับเรือออกจากท่าในเวลาเกือบเช้าตรู่ของวัน ลมทะเลปะทะเข้าใบหน้าของคนทั้งคู่ คลื่นลมกลางทะเลเริ่มสูงขึ้นถึงแม้จะห่างจากฝั่งออกมาไม่ไกล เมฆทะมึน้าเริ่มตั้งเค้าและปั่นป่วนจนกลายเป็ว่าตอนนี้เริ่มมีเม็ดฝนโปรยปรายลงมากลางทะเล ความรุนแรงแรงของฝนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกันกับคลื่นทะเลที่ปะทะเข้ากับตัวเรือจนทำให้ตอนนี้นายหัวรามแทบจะขับเรือปีนเกลียวคลื่นเพื่อไปส่งคนรักที่ยังเกาะของนายหัวศิลาผู้เป็ศัตรูของเขา
พายุลูกใหญ่โหมกระหน่ำเรือเล็กแต่นั่นไม่ได้ทำให้ความเกลียดชังและความตั้งใจที่จะพาตัวม่านหยี่กลับไปให้นายหัวศิลาลดน้อยถอยลง กลับกันพายุยิ่งทำให้แรงอารมณ์และความเกลียดชังเคียดแค้นที่นายหัวรามสูรมีต่อคนรักเพิ่มขึ้นเป็เท่าทวีคูณ
ครืนนน นนน~~~
ครืนนน นนน~~~
สายฟ้าแลบแปลบปลาบพาดผ่านท้องฟ้าสีน้ำหมึกเป็ทางยาวก่อนที่เสียงฟ้าร้องก้องไปทั่วทั้งผืนทะเลจะดังขึ้นตามมา คลื่นน้ำสูงที่ปะทะกับกาบเรือมีกำลังแรงพอที่จะส่งน้ำบางส่วนเข้ามาภายในเรือหากแต่นายหัวรามสูรหาได้ให้ความสนใจไม่ ทั้งเขาเองและคนรักต่างก็เปียกปอนไปด้วยพายุฝนและน้ำทะเลไม่ต่างกัน แต่จุดหมายปลายทางเขาอย่าห่างออกไปไม่ไกลตรงหน้านี้ เกาะของนายหัวศิลาบิดาของม่านหยี่...
รามสูรอ้อมเรือมาจอดทางด้านหน้าของเกาะที่ผิวเผินเหมือนเกาะร้างไร้ผู้คนอยู่อาศัย มือหนาแกะปมเชือกข้อมือของคนรักออกจากเสาเรือแต่เขาก็ยังคงมัดมือม่านหยี่เอาไว้อย่างนั้นไม่สนใจจะแกะมันออกก่อนที่จะลากร่างบางให้ลงจากเรือและเดินฝ่าผืนทรายเปียกแฉะท่ามกลางพายุฝนฟ้าคะนองเข้าไปยังบ้านของนายหัวศิลา
“กูเอาคนของมึงมาส่ง!!!” รามสูรผลักม่านหยี่ให้คุกเข่าลงไปตรงหน้า เ้าของเกาะมองแขกผู้มาเยือนสองคนด้วยสายตายากจะอ่านออก เขามองหน้าลูกชายสุดที่รักก่อนที่จะมองหน้าคนรักของลูกชาย คาดเดาได้ว่าตอนนี้สถานะระหว่างสองคนนี้คงได้เปลี่ยนไปแล้วอย่างแน่นอน
“อะไรกัน คนของกูที่ไหน กูจำได้ว่าคนคนนี้มันแฟนมึงนี่หว่า”
“ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว”
“อ้าว...ทำไมอย่างนั้นล่ะ” จิ้งจอกเ้าเล่ห์ยิ้มเยาะเย้ยหยันถามในเื่ที่ตนเองรู้ดีแก่ใจอยู่แล้ว
“...”
“หรือว่ามึง ไม่ได้รักลูกกูแล้ว”
ม่านหยี่เ็ปกับคำพูดนี้เหลือเกิน บิดาที่ไม่เคยยอมรับว่าเขาเป็ลูกไม่เคยปฏิบัติกับเขาอย่างที่พ่อลูกบ้านอื่นปฏิบัติกัน แต่มาวันนี้บิดากลับยอมรับเอาเสียง่าย ๆ ว่าเขาเป็ลูก อย่างน้อยช่วยโกหกรามสูรต่ออีกหน่อยได้ไหมโกหกอย่างที่เขาพยายามโกหกรามมาตลอด ให้เขาได้รับความรักความเห็นใจจากรามสูรเพื่อต่อลมหายใจอีกนิดไม่ได้เลยหรืออย่างไรถึงแม้มันจะเป็การโกหกก็เถอะ เกมนี้มันช่างจบง่ายดายเสียเหลือเกินและเป็อีกครั้งที่เขาแพ้ยับเยิน เขาแพ้ให้กับบิดาทุกทาง
“กูรักไม่ลง ยิ่งรู้ว่ามันเป็ลูกมึงกูยิ่งรักไม่ลง”
“หึ ๆ อะไรวะ ความรักมีเงื่อนไขเหรอนี่ แล้วไหนงานแต่งงานล่ะรามสูร กูอุตส่าห์ตัดชุดสูทรอวันงานพวกมึงสองคนเลยนะ” นายหัวศิลาหัวเราะลั่นโถงบ้าน
“จะไม่มีงานแต่งงานหรืองานเหี้ยไรเกิดขึ้นทั้งนั้น จะมีก็แต่งานศพมึงเท่านั้น” รามสูรชี้หน้าอดีตพ่อตา
“อย่ามาเล่นลิ้นกับกูให้มาก ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม” จิ้งจอกเฒ่าชี้ปลายกระบอกปืนไปยังหนุ่มรุ่นลูกที่ตอนนี้ยืนอยู่กลางโถง ถือว่ามันใจกล้าไม่น้อยที่เดินเข้ามาตัวเปล่าเล่าเปลือยท่ามกลางถิ่นของเขาและลูกน้องนับร้อยของเขา
“หมดธุระแล้วก็ออกไป อย่าให้กูได้นับหนึ่งถึงสิบ เพราะแม่มึงคงไม่ชอบที่จะเห็นมึงเป็ศพมากกว่าเป็ตัว”
“...”
“ไป!!!” นายหัวศิลาะโลั่นโถงพร้อมทั้งยืนจ้องมองอดีตคนรักของลูกชายเดินล่าถอยออกไป ชายวัยกลางคนค่อย ๆ ก้าวลงบันไดทีละขั้นจนกระทั่งสองเท้าของนายใหญ่หยุดยืนอยู่ที่พื้นลูกน้องนับสิบที่ยืนขนาบข้างอยู่นั้นต่างพากันก้มมองพื้นอย่างรู้กัน
“มึงแม่งไร้ประโยชน์ฉิบหายม่านหยี่” ผู้เป็พ่อเชยคางลูกชายขึ้นมาแล้วเพ่งมองเข้าไปในดวงตาสีหม่น
“...”
“กูบอกให้ทำให้สำเร็จ มันรู้ความจริงแล้ว แล้วอย่างนี้แม่มึงใครจะรับผิดชอบ” ััที่คางเริ่มเน้นหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็ว่าบิดากำลังบีบกรามของเขาอย่างแรง
“พ่อก็ไปทำเองสิ”
“หึ...นี่มึงท้ากูเหรอ”
“ใช่...ถ้าเก่งนักก็ไปทำเอง” ม่านหยี่กัดฟันพูดรู้ทั้งรู้ถ้าหากพูดไม่เข้าหูบิดาไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับตน แต่เขาก็อดไม่ได้จริง ๆ การกลับสู่เงื้อมมือบิดาในครั้งนี้เขาคงไม่มีชีวิตรอดออกไปในเมื่อรู้ดีเช่นนั้นแล้วก็ขอปากดีให้สาสมหน่อยก็แล้วกัน
“พวกมึงฟังสิ ฮ่า ๆ ๆ ลูกชายกูมันบอกให้กูไปฆ่าไอ้รามสูรเองว่ะ ฮ่า ๆ ๆ ๆ ” เสียงหัวเราะที่น่ารังเกียจดังไปทั่วทั้งบ้านหลังใหญ่ ทุกครั้งที่บิดาหัวเราะความเย้ยหยันนั้นมันกรีดลงไปในเืเนื้อและหัวใจของเขาไม่ต่างจากคำพูดขับไล่ไสส่งของรามสูรเลย
“ถ้าเก่งนักก็ไปทำเองเหรอ!!!”
พัวะ!!!
ส่วนปลายแหลมของรองเท้ากระทบเข้าจัง ๆ กับหน้าท้องของม่านหยี่จนร่างบางต้องงอตัวเพราะความเ็ป บิดาง้างเท้าแล้วมอบเตะหนักใส่หน้าท้องของเขา
“ทำเองเหรอ! มึงเป็ลูกกู กูสั่งอะไรก็ต้องทำ!!!”
พัวะ!!!
“เข้าใจมั้ย?”
“อึก!”
“ลืมแล้วเหรอบุญคุณพ่อมึงอ่ะ ไม่มีกูมึงจะได้เกิดมั้ย?!!!”
พัวะ!!!
นายหัวศิลาคว้าคอเสื้อลูกชายหัวแก้วหัวแหวนขึ้นมาแล้วฟาดหมัดหนักเข้าไปที่ขมับและข้างแก้ม เืสีสดไหลอาบมุมปากและโหนกแก้มที่แตกของม่านหยี่ระดวงหน้าสวยลงมาเป็สาย ดวงตาเริ่มปูดบวมเนื่องจากโดนฤทธิ์หมัดหนัก ๆ ของพ่อเล่นงาน
“ใครบอกกูอยากเกิดมา ใครบอกกูอยากเป็ลูกมึง” คนเจ็บนอนคุดคู้อยู่กับพื้นมือทั้งสองกอบกุมท้องเอาไว้แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่หยุดพูด
“...”
“มึงมันไม่สมควรเป็พ่อใคร ไม่มีสิทธิ์จะทวงบุญคุณใครด้วยซ้ำ”
“หึ...มึงคิดอย่างนั้นเหรอ”
“ใช่...และกูพูดจริงทุกอย่าง”
“งั้นแม่มึง...”
“มึงไม่ต้องเอาแม่มาขู่กู ชีวิตกูหรือว่าแม่คงไม่พ้นต้องตายอยู่ดี”
“...ดี คิดได้อย่างนั้นก็ดี”
“...กูจะไม่ให้มึงได้ดั่งใจอีกแล้ว”
“พล่ามมันเข้าไป...เอามันไปขังที่โรงเรือนร้างท้ายเกาะ!!!”
“โอ๊ะ ๆ ๆ นาย นายเดินระวัง ๆ นาย นายหัวระวัง ไอ้เข้มเอ็งจับนายดี ๆ สิวะ”
“โถ่น้าหนิม นายตัวหนักอย่างกับควาย”
“เอ๊ะไอ้นี่ พูดดี ๆ นี่นายหัวเอ็งนะ”
“ก็มันจริง ตัวใหญ่อย่างกับควาย หนักก็หนัก”
“ไอ้เด็กนี่!!!” หนิมพยายามอ้อมแขนยาว ๆ ของตนมาอีกฝั่งตั้งใจจะตบหัวสั่งสอนเด็กเข้มผู้ซึ่งเป็หลานทว่ากลับอ้อมไปไม่ถึงเพราะเมื่อเขาพยายามจะตบหัวมันทีไรร่างกายใหญ่โตและเมามายจนไร้สติของนายหัวรามสูรก็กั้นกลางขวางเขาเอาไว้
“นาย ๆ ๆ อย่า ๆ นั่นมันพุ่มไม้ ไอ้เข้มจับ ๆ ”
“จ้ะน้า นายหัว โอ๊ย ๆ ๆ ๆ ไม่ได้นาย ไม่ได้ ๆ ๆ เดี๋ยวตกเขาตาย”
สองน้าหลานพยายามประคองนายหัวรามสูรที่เมามายเดินมาตามทางขึ้นเขาที่สูงชันและเฉอะแฉะเนื่องจากพายุฝนกระหน่ำเมื่อตอนเช้ามืดที่มา กว่าจะเอาเรือออกจากฝั่งได้ก็เล่นเอาเกือบเที่ยงวัน หนำซ้ำกลับมาถึงหมู่บ้านใน่บ่ายแก่ยังเจอนายหัวรามสูรเมาหัวราน้ำฟุบหลับอยู่ที่ร้านยัยแจ่มร้านชำเล็ก ๆ ในหมู่บ้านอีกต่างหาก เขาไม่รู้ว่าจะต้องใอะไรก่อนดีระหว่างนายหัวรามสูรดื่มเหล้าจนเมามาย หรือไอ้เข้มไอ้หลานตัวดีที่นั่งเฝ้านายหัวรามสูรอยู่ข้าง ๆ ใจหล่นไปถึงตาตุ่มคิดไปนู่นว่ามันร่วมวงเหล้ากับนายหัวแล้ว ที่ไหนได้มันบอกว่าแค่มานั่งเฝ้าเพราะนายหัวเรียก แต่เื่น่าใยิ่งกว่านั้นคือหลานชายเขาบอกว่า
“นายหัวร้องไห้”
“ฮะ?”
“นายหัวร้องไห้ เื่พี่ม่าน”
“ทำไมเรอะ”
“นายหัวบอกว่าเลิกกับพี่ม่านแล้ว เลิกแล้วนี่คืออะไรเหรอน้า”
“เื่ของผู้ใหญ่ อย่ามาทำเป็รู้มาก”
“อ้าว ถ้าฉันไม่พูดน้าก็ไม่รู้หรอก โถ่...”
“มีใครอยู่มั้ยจ๊ะ คุณนาย แสน คุณอัส มีใครอยู่มั้ย” หนิมะโเรียกคนในบ้านวันนี้บ้านหลังใหญ่ดูออกจะเงียบกว่าทุก ๆ วัน ถึงแม้ว่าจะมีไฟหลายหลอดเปิดให้แสงสว่างอยู่แต่มันกลับดูเงียบกริบในความรู้สึก
“พี่แสน คุณนายครับ นายหัวเมา” เด็กเข้มะโบอกออกไป
“มีอะไรกันเสียงดังเอะอะโวยวาย คุณนายแก...ว้ายตายแล้ว!!! คุณนายคะ! คุณนาย!”
“อะไรกันแสนฉันพึ่งบอกว่า-...ตาราม!!!” คุณนายรุ่งฤดีใกับสภาพของลูกชายที่เหมือนคนไร้สติต้องมีคนคอยหิ้วปีกทั้งสองข้าง ใบหน้าหล่อเหลาอ่อนปวกเปียกและก้มลงมองพื้น
“เกิดอะไรขึ้นพี่หนิม ไอ้เข้ม!”
“นายหัวเมาครับ ั้แ่เมื่อเช้าแล้วยัยแจ่มว่า”
“โถ่เอ้ย มา ๆ พาเข้าบ้านก่อน”
“ราม...ตาราม!!! ให้มันได้อย่างนี้สิไอ้ลูกคนนี้ แสนไปเอาน้ำกับผ้าขนหนูมาฉันจะเช็ดตัวให้ตาราม เธอสองคนกลับไปได้แล้ว ขอบใจมาก”
“ครับคุณนาย” หนิมพยักหน้าเมื่อทำภารกิจวันนี้ของตนเองจบแล้ว ทว่าหลานตัวดีมันยังไม่ยอมถอยออกห่างจากนายหัวของมัน
“คุณนายครับ”
“...”
“พี่ม่านไปไหนเหรอครับ”
“เอ๊ะไอ้เข้ม เอ็งจะอยากรู้อะไร ไปกลับบ้าน”
“อ้าวน้า!”
“ขอโทษด้วยครับคุณนาย ผมลาละครับ” สองน้าหลานไหว้ลาโดยที่ไม่รอเอาคำตอบว่าพี่ม่านของเด็กเข้มหายไปไหน
เสียงฝ่ามือพิฆาตดังกระทบกับหัวเกรียน ๆ ของเด็กเข้ม ก่อนที่สองอาหลานจะเดินพ้นผ่านโถงประตูบ้านออกไป
หลังจากที่คุณนายรุ่งฤดีได้ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กและกะละมังบรรจุน้ำใบใหญ่แล้วนั้นเธอก็ลงมือเช็ดหน้าเช็ดตาลูกชายด้วยตัวเอง
“ม่าน...ทำไมวะ”
“...”
“ม่านทำอย่างนี้...ทำไม”
“...”
“รามไม่เข้าใจ”
“...”
“ไหนบอกว่ารักรามไง”
รามสูรกลายเป็คนเพ้อพกไร้สติทุกคำที่ลูกชายเอ่ยพร่ำพูดออกมาก็มีแต่ม่านหยี่ หรือไม่ก็ตัดพ้อถึงความรักที่ตนเองมอบให้ฝ่ายนั้น เธอผู้เป็คนผ่านโลกมาก่อนก็ได้แต่ทอดถอนหายใจ รามสูรไม่เคยรักใครแล้วอาการหนักขนาดนี้ อาจเป็เพราะความรักที่ผ่านมาของลูกชายของเธอยังอยู่ใน่วัยเด็ก เด็กเกินจะประสาและพาตนเองเข้าไปในความผูกพันนี้ รวมทั้งมีเธอที่เป็คนคอยตัดความสัมพันธ์ทุกอย่างั้แ่ต้นลมไม่ยอมให้รามสูรเอาตัวเองเข้าไปรักใครให้มากเท่าที่เธอรักลูก แต่พอเป็ม่านหยี่คนนี้ลูกชายของเธอรักโดยไร้ความระมัดระวัง ไม่มีความยับยั้งชั่งใจ รักจนเรียกได้ว่าหลงเขาจนหัวปักหัวปำ พอมันเจ็บขึ้นมาผลเลยเป็อย่างที่เธอเห็น
“ทำไมวะม่าน ทำไม...อุบบบบ” ร่างแกร่งทำท่าจะอาเจียนน้ำเมาออกมา เดือดร้อนคุณนายรุ่งฤดีต้องวิ่งโร่ไปหาถังขยะที่อยู่ใกล้ ๆ มารองอ้วกลูกชาย
“เป็เอามากจริง ๆ นะตาราม” หญิงวัยกลางคนส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย คุณหญิงรุ่งฤดีไม่ได้เล็งเห็นความผิดที่เธอกระทำต่อลูกชาย ทั้งหมดที่สองตาของหญิงแก่เห็นอยู่ตอนนี้คือลูกชายของเธอที่กำลังผิดหวังกับความรักจนเสียผู้เสียคน เธอไม่ได้รู้สึกว่าตนเองต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อเื่นี้แม้แต่น้อย ทั้งหมดที่เธอรู้คือความหวังดีที่ผู้เป็แม่อย่างเธอมีมอบให้กับลูกชาย
สายวันต่อมานายหัวรามสูรมีเรี่ยวแรงขึ้นจนสามารถออกไปดูไซต์งานที่ตอนนี้ดำเนินการสร้างไปได้เกือบหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งต่าง ๆ มาถึงเกาะและกำลังถูกจัดวางเข้าที่ตามที่อัสนีพี่ชายของเขาได้ออกแบบไว้ ท้องฟ้ายังคงมืดครึ้มตามประสาฝนฟ้าอากาศบนเกาะที่พยากรณ์อากาศไม่อาจทำนายได้ว่าพายุจะเข้าวันไหน เมฆทะมึนก้อนใหญ่ลอยเอื่อยอยู่เหนือหัวไปไม่ไกลคาดว่าอีกไม่กี่อึดใจห่าฝนคงได้เทลงมาอีกรอบ
“นาย ๆ นายหัว”
“มีอะไรเข้ม”
“พี่ม่านล่ะ”
“...”
“นายพี่ม่านล่ะ ไม่มาสอนหนังสือเหรอ” เด็กเข้มติดใจฝีมือการสอนหนังสือของพี่ม่านหรือเป็เพราะมันเรียนกับพี่ม่านแล้วมันได้กินขนมจนท้องป่องก็ไม่รู้มันถึงเที่ยวเดินถามหาพี่ม่านของมันทั้งวัน ถามทุกคนที่อยู่ในไซต์งานั้แ่เช้าว่าพี่ม่านมาไหม นายหัวเมาเป็หมาเมื่อวานวันนี้พี่ม่านจะมาไหม
“ไม่อยู่แล้ว”
“ไปไหน”
“...กลับบ้าน”
“อ้าว...ไม่เห็นบอกเลย”
“แล้วเขาต้องบอกเอ็งเหรอ”
“ไม่ต้องก็ได้ แต่บอกก็ดี”
“...”
“แล้วพี่ม่านจะมาวันไหน”
ลมหายใจเข้าออกของรามสูรขาดห้วงไปเมื่อได้ยินคำถามจากเด็กเข้ม นั่นน่ะสินะ ม่านหยี่จะกลับมาไหม ม่านจะกลับมาวันไหน ทำไมเขายังคิดถึงคนคนนั้นอยู่ทั้ง ๆ ที่ม่านหยี่ทำเขาเ็ปเหลือเกิน
“ไม่กลับมาแล้ว”
“อ้าว...ทำไมล่ะ”
“ก็เขาไม่กลับมาแล้ว จะไปรู้กับเขามั้ย”
“ก็นายกับพี่ม่านเป็อันนั้นกันนี่”
“เป็อะไร”
“อันนั้นน่ะ”
“...” รามสูรมองเด็กเข้มที่ไม่ยอมพูดคำคำนั้นออกมาสักที
“เป็แฟนกันไง”
“ไหนเอ็งบอกว่าเป็ผู้ชายเป็แฟนกันไม่ดี”
“ไม่ได้พูด”
“ตอนนั้นเอ็งพูด” บทสนทนาที่กำลังจะกลายเป็การทุ่มเถียงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ในหัวข้อเดิม แต่ที่แตกต่างไปจากเดิมคงเพราะไม่มีคนคอยห้ามทัพอย่างม่านหยี่อยู่อีกต่อไปแล้ว
“ตอนนั้นบอกว่าเป็กะเทยมันไม่ดี”
“ก็ข้ากับพี่ม่านเป็กะเทย ข้ากับพี่ม่านเป็คนไม่ดี” กว่าที่นายหัวรามสูรจะรู้ตัวว่าเรียกชื่ออดีตคนรักออกไปตั้งสองหน เขาก็ดึงชื่อม่านหยี่กลับคืนมาไม่ได้แล้ว
“ไม่ใช่ นายกับพี่ม่านเป็คนดี”
“ตอนนี้เป็คนดีแล้วเหรอ”
“ช่ายยย”
“อืม...”
“แล้วพี่ม่านจะไม่กลับมาจริง ๆ เหรอ”
“อืม”
“คิดถึงพี่ม่านอ่ะ” เด็กเข้มว่าก่อนที่จะเดินหนีไปอีกทางเพราะสังเกตเห็นกลุ่มเพื่อนที่ปั่นจักรยานมารอตนอยู่ที่เงาต้นไม้ใหญ่
ไม่เพียงแต่เด็กเข้มหรอกที่คิดถึงม่านหยี่ วันนี้นายหัวรามสูรก็มาทำงานด้วยสภาพลูกผีลูกคน บางครั้งก็เหม่อลอยจนคนงานพูดอะไรก็ไม่ได้ยิน หลายครั้งก็อารมณ์เสียเกินกว่าเหตุกับเื่เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่ควรจะเป็ รามสูรควบคุมตนเองไม่ได้ เขาเหมือนคนนอตหลุดและยากที่จะต่อให้ติดตามเดิม หลายครั้งที่มองไปในที่ที่เคยมีม่านหยี่อยู่ เขายังเห็นคนคนนั้นยืนยิ้มและคอยโบกมือให้เขา แต่เพียงชั่วพริบตาเดียวที่ตรงนั้นมันกลับมีแต่ความว่างเปล่าไร้ซึ่งเงาคนเคยรัก
เขากลายเป็คนโง่เง่าที่ไม่รู้ว่าต้องรับมือกับความเสียใจนี้อย่างไร ดังนั้นวันนี้นายหัวรามสูรเลยนั่งร่วมวงกับคนงานที่ไซต์ก่อสร้างและดื่มเหล้าที่แรงที่สุดที่ชาวบ้านหามาให้ลอง รามสูรทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะไม่ให้ตนเองต้องอยู่คนเดียว เพราะเขามักจะคิดถึงทุก ๆ คำพูดและการกระทำของม่านหยี่เสมอ เขาไม่อยากพาตัวเองกลับบ้านั้แ่หัววันเพราะแม่ก็จะเอาแต่สั่งสอนเขาและซ้ำเติมในเื่ที่เขารู้ตัวเองดีว่าเขานั้นได้ทำผิดพลาดไป ไม่ใช่ว่าเขาไม่รักแม่หรือลำเลิกบุญคุณแม่มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย แต่ทุกครั้งที่มารดาจะเปิดปากพูด คำพูดของมารดาก็เหมือนค้อนปอนด์หนัก ๆ ที่ทุบลงมาที่ตัวเขาอยู่เรื่อยมา เขาไม่อยากได้ยินคำสั่งสอนของมารดาตอนนี้
“นายหัว เรียนจบแล้วใช่มั้ยครับ”
“...ครับ”
“นายหัวอายุเท่าไหร่”
“ยี่สิบสามครับ”
“โอ้โฮนายหัวนี่เก่ง เก่งมาก ๆ เลยนะครับ คนร้อยทั้งร้อยนี่จะมีใครเก่งเท่านายหัวอีกแล้วไม่มีหรอก” พอเหล้าเข้าปากตาสีตาสาก็เริ่มป้อยอนายหัวรามสูรกันอย่างออกรสออกชาติ แต่ใช่ว่ามันจะเป็คำชมสรรเสริญเยินยอให้เ้านายปลื้มใจไปเสียหมด ถ้อยคำเ่าั้ก็มีความจริงใจอยู่ในตัวมันหลายส่วนด้วยกัน
“นายรู้มั้ยคนเขาชมนายหัวทั้งหมู่บ้าน เดินไปไหนคนก็ชม นายหัวทั้งเก่งทั้งหล่อ หล่อขนาดนี้เมื่อไหร่จะแต่งเมียครับ”
“...หึ” นายหัวน้อยส่ายหน้าพร้อมกับยกแก้วสุรากรอกปากตนเองอีกรอบ พูดถึงเื่แต่งงานเขาคงต้องโทรไปยกเลิกมันด้วยตัวเองแต่จนป่านนี้เขายังไม่กล้ากดเบอร์โทรออกไปเลย ใจที่ว่าแกร่งของนายหัวรามสูรมันยังอ่อน มันยังรอคอยถึงแม้ว่าความหวังที่มีจะริบหรี่น้อยนิด หวังให้เื่ทั้งหมดเป็แค่เื่เข้าใจผิด หรือยิ่งกว่านั้นเป็แค่ฝันร้ายของเขาคนเดียวก็พอ
“ผมพูดจริงนะนาย นายจำไอ้ยิ้มได้มั้ยไอ้เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่มันเคยเล่นกับนายที่หาด หลานผมเอง มันก็ยังไม่มีผัว นายเอามั้ย ผมจะไปบอกมันให้”
“เฮ้ยพี่สา! เื่ความรักใครมันจะไปจับมือแต่งกันเลยได้วะ เด็กวัยรุ่นเขาก็ต้องรู้จักกันรักกันก่อนสิ อะไรมันจะไปใจเร็วได้กันแต่งกันเลย มันไม่ใช่ยุคเรานา”
“อ้าว ก็อายุยี่สิบสามแล้ว สมัยข้าสิบเจ็ดนี่ก็ลูกสองแล้วนะไอ้ชาติ”
“เฮ้ยยย นั่นมันสมัยไหน เอามาเทียบสมัยนี้ได้ไง อีกอย่างนายหัวยังหนุ่มยังแน่นอาจมีเป็ตัวเป็ตนอยู่ก็ได้”
“อย่างนั้นเรอะ”
“เออ...อย่างนั้นแหละ ใช่มั้ยนาย”
“...” รามสูรไม่ตอบทำเพียงยกแก้วเหล้าขึ้นจรดริมฝีปากแล้วกระดกน้ำเมาฤทธิ์แรงนั้นลงคอ ให้ความขมของมันลบล้างความทรงจำต่าง ๆ ที่เขากับม่านหยี่เคยมีร่วมกัน ถึงแม้จะรู้ดีว่ามันไม่ช่วยอะไรเลยก็ตามที คืนนี้นายหัวรามสูรคงเมาเป็หมา เมาหัวราน้ำ ไม่พ้นต้องให้คนงานที่แคมป์แบกกลับบ้านอีกตามเคย...