บรรยากาศในห้องโถงค่อนข้างตึงเครียด
กู้เจิงมองกลับไปที่กู้หงหย่งบิดาไร้ค่าผู้นี้อย่างดื้อรั้นเผชิญหน้ากับความเฉยเมยและความห่างเหินภายใต้ดวงตาของเขานางรู้สึกได้ถึงความคับข้องใจของร่างกายนี้
กู้หงหย่งไม่ได้คาดคิดว่าบุตรีอนุจะไม่เพียงโต้เถียงแต่ยังกล้าเผยสีหน้าไม่พอใจให้เขาเห็นด้วยเขาไม่้าให้เกิดปัญหาในการแต่งงานครั้งนี้เขาจึงหยายามใจเย็นและใช้เสียงอ่อนลงเอ่ยว่า “แม้ตระกูลเสิ่นจะเป็เพียงครอบครัวที่ต่ำต้อยในเมืองหลวงแต่ก็เป็วงศ์ตระกูลใหญ่ ถือกำเนิดซิ่วไฉและจวี่เหริน[1] มากมายในวงศ์ตระกูล กระทั่งจิ้นซื่อ[2] ก็มี ถึงตัวเสิ่นเยี่ยนจะไม่มีผลงานหรือชื่อเสียงแต่ก็เป็คนที่องค์ชายห้าโปรดปรานวันข้างหน้าจะต้องได้ดียิ่งกว่าจวี่เหรินจิ้นซื่อแน่นอน อวี๋เอ๋อร์เ้าเป็เพียงแค่บุตรีอนุ เข้าใจหรือไม่?”
ความหมายแฝงนอกเหนือจากที่พูดก็คือให้นางรู้ชัดถึงสถานะของตนเองต่อให้สูงส่งเพียงใดก็ไม่คู่ควร กู้เจิงกรุ่นโกรธแต่ก็พยายามสงบใจลงนางคิดได้ว่าความคิดของนางมาจากยุคปัจจุบันทว่าร่างกายกลับอยู่ในยุคโบราณในสถานการณ์แบบนี้ นางจะไม่แต่งก็ไม่ได้และยิ่งยุคสมัยเช่นนี้ คำพูดของแม่สื่อ คำสั่งของพ่อแม่[3] ถึงนางไม่อยากทำแต่ก็คงต้องทำ “ท่านพ่อพอใจที่จะทำอย่างไรก็ทำตามนั้นเถิดเ้าค่ะ” พูดพลางหันหลังเดินจากไปโดยไม่ไว้หน้า
ชุนหงที่รออยู่หน้าประตูเห็นคุณหนูใหญ่ออกมาแล้วก็รีบตามไปนางแอบมองสีหน้าของคุณหนูใหญ่เป็ครั้งคราว
“นางทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?” กู้หงหย่งสะบัดแขนเสื้อด้วยความฉุนเฉียว“ยังกล้าแสดงสีหน้าให้ข้าเห็น? จะไปแม้แต่มารยาทก็ไม่มีแล้ว? ซู่เหนียงก็ยังไม่มีความกล้าเช่นนี้ ”
เว่ยซื่อแสดงออกทางสีหน้าสื่อเป็นัยให้แม่เฒ่าซุนที่อยู่ข้างกายแม่เฒ่าซุนจึงรีบยกชามาให้ เว่ยซื่อรับชามาวางตรงหน้ากู้หงหย่งเอ่ยด้วยเสียงอบอุ่นอ่อนโยน “อย่าได้โมโหเลยเ้าค่ะระวังจะไม่ดีต่อร่างกายนะเ้าคะข้าหวังเพียงว่าหลังกู้อวี๋แต่งงานออกไปจะไม่ทำตัวอย่างเช่นมารดาของนางไม่เช่นนั้นคงเป็จวนป๋อเจวี๋ยเราที่เสียหน้า”
“รู้เช่นนี้ตอนนั้นน่าจะนำอวี๋เอ๋อร์มาให้เ้าเลี้ยงดูสิเ้าเลี้ยงเหยาเอ๋อร์กับอิ๋งเอ๋อร์ได้ดีแค่ไหน” พูดถึงบุตรสาวที่รักทั้งสองคนความโกรธในใจกู้หงหย่งก็ดับมอดไปไม่น้อย
เว่ยซื่อยิ้มอย่างอ่อนโยน นั่งลงด้านข้างแล้วกล่าวเสียงนุ่มว่า“แม้จะนำอวี๋เอ๋อร์มาให้ข้าเลี้ยงที่นี่ แต่บางสิ่งก็ไม่สามารถเรียนรู้ได้ตระกูลเว่ยของข้าสืบเชื้อสายกันมามากกว่าสามร้อยปีนับั้แ่มีจักรพรรดิองค์แรกบุคลิกอุปนิสัยล้วนผ่านการขัดเกลามาอย่างยาวนาน อิ๋งเอ๋อร์กับเหยาเอ๋อร์เกิดมาท่วงท่าอากัปกิริยาที่แสดงออกก็เป็เช่นสตรีสูงศักดิ์ จะเทียบกับผู้อื่นได้อย่างไร”
“จริงด้วยสิ” กู้หงหย่งเหลือบมองภรรยาด้วยความพอใจตอนนั้นในบรรดาหญิงสาวงดงามมากความสามารถเขาใช้ความคิดไปไม่น้อยถึงได้เลือกแต่งกับบุตรสาวเพียงคนเดียวของแม่ทัพเก่าฉางผิงโหวทั้งยังมีแค่ตำแหน่งเดียวในเยว่ตูและที่ยิ่งทำให้เขาพอใจก็คืออำนาจทางตระกูลของภรรยาเหนือกว่าจวนกู้หนึ่งขั้นทว่ากลับให้เกียรติเขาในทุกๆ เื่ ดูแลเอาใจใส่เขาอย่างดี
กู้เจิงไม่ได้กลับไปที่เรือนเล็กในทันทีหลังจากออกมาจากห้องโถงแต่เดินไปตามทางเดินหินกรวดข้างสวนดอกไม้
สายตากังวลของชุนหงจับต้องที่กู้เจิงตลอดเวลาแม้นางจะยืนรออยู่ด้านนอก แต่ก็ได้ยินสิ่งที่คุณหนูใหญ่และนายท่านพูดในห้องโถงตอนนางสามขวบก็ติดตามมากับซู่เหนียงและคุณหนูใหญ่แล้วยังไม่เคยเห็นคุณหนูใหญ่กล้าหาญชาญชัยเช่นนี้มาก่อนกระทั่งนายท่านก็ไม่กล้าโต้เถียง
“แต่งก็แต่ง อย่างไรอยู่ในยุคสมัยเช่นนี้ ช้าเร็วก็ต้องแต่งอยู่ดีอันที่จริงเสิ่นเยี่ยนผู้นั้นก็หน้าตาไม่เลว”กู้เจิงบ่นพึมพำกับตัวเองขณะลูบสะโพกไปด้วย มีเพียงการแตะสะโพกให้รู้สึกถึงความเ็ปเล็กน้อยนี้เท่านั้นที่ทำให้นางสามารถสงบสติอารมณ์ลงได้ไม่เช่นนั้นด้วยนิสัยของนางไม่แน่ว่าอาจทำสิ่งที่คนโบราณคิดว่าออกนอกกรอบออกมาก็ได้ทว่าพอนึกถึงแววตาที่เสิ่นเยี่ยนดูถูกนางรวมถึงคำพูดขององค์ชายห้าที่ว่าหย่าแล้วค่อยแต่งใหม่ในใจนางก็ยิ่งต่อต้านการแต่งงานนี้นัก
“คุณหนูใหญ่ ท่านไม่เป็อะไรใช่ไหมเ้าคะ?” ชุนหงถามด้วยความไม่สบายใจ เมื่อเห็นคุณหนูใหญ่มีท่าทางผิดปกติ
“ข้าจะไปหาเสิ่นเยี่ยน ให้เขาถอนหมั้นเสีย”กู้เจิงหันกลับมามองชุนหง และกล่าวอย่างมุ่งมั่นแน่วแน่
“หา? ไม่ได้นะเ้าคะคุณหนูใหญ่การแต่งงานนี้ซู่เหนียงไขว่คว้ามาให้ท่านอย่างยากลำบากเชียวนะเ้าคะ”ชุงหงคิดไม่ถึงว่าคุณหนูใหญ่จะพูดเช่นนี้
“บุพเพที่่ชิงมาเช่นนี้ข้าไม่้า ตอนนี้ถ้าข้าไม่แต่ง ไม่แน่ว่าวันหน้าข้าอาจจะเจอคนที่รักข้าจริงๆก็ได้ แต่ถ้าถึงตอนข้าถูกหย่าแล้วกลับมาเ้าคิดว่าบ้านนี้ยังจะต้อนรับข้ากับซู่เหนียงอยู่หรือ?”
“แต่มีคุณหนูบ้านไหนไปหาบุรุษเพื่อขอถอนหมั้นกันเล่าเ้าคะ? ถ้าเื่นี้แพร่งพรายออกไป คุณหนูใหญ่จะถูกผู้คนติฉินนินทาเอาได้นะเ้าคะ?”
“ข้าไม่สน”
“นายท่านกับนายหญิงต้องไม่ยกโทษให้คุณหนูใหญ่แน่เ้าค่ะถึงคุณหนูใหญ่จะไม่สนชื่อเสียงตนเอง แต่บ่าวสน ซู่เหนียงก็สนนะเ้าคะ”
เห็นชุนหงจวนจะร้องไห้ออกมาเต็มทีแล้ว กู้เจิงก็ตบไหล่นางเบาๆก่อนจะถอนหายใจพลางกล่าวว่า “ข้าก็พูดไปอย่างนั้นเอง” ในความเป็จริงแล้วแม้แต่จะออกจากจวนก็ยังยากลำบาก
ชุนหง “...” คำพูดเช่นนี้อยากจะพูดก็พูดได้หรือ?
“กลับเรือนเล็กไปหาซู่เหนียงกันเถอะ”กู้เจิงหันหลังกลับและเดินไปอีกทางหนึ่ง
“หา?” ชุนหงชะงักงันเมื่อสิบห้านาทีก่อนคุณหนูใหญ่ยังหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่เลย จู่ๆ ก็อารมณ์ดีอีกแล้ว?
แน่นอนว่าอารมณ์ของกู้เจิงไม่มีทางดีขึ้นได้ ทว่าต่อให้อารมณ์เสียแต่ในเมื่อแก้ไขไม่ได้ก็จำต้องปล่อยวางไปก่อน
หวังซู่เหนียงฟื้นขึ้นแล้ว กำลังขมวดคิ้วดื่มยา แต่สีหน้ายังซีดขาวดูแล้วยิ่งน่ารัก งดงามอ่อนหวาน แต่กลับไม่เคยอยู่ในสายตาของกู้หงหย่งกู้เจิงคิดว่าถ้าซู่เหนียงอยู่ในยุคปัจจุบันไม่รู้ว่าจะมีผู้ชายตั้งเท่าไรที่ต่อสู้แย่งชิงนาง
เมื่อเห็นบุตรสาวกลับมา ดวงตาของหวังซู่เหนียงก็เป็ประกาย“เจิงเอ๋อร์ ท่านพ่อเ้าเรียกเ้าไปคุยเื่แต่งงานกับเสิ่นเยี่ยนใช่หรือไม่?”
กระทั่งในเวลานี้ก็ยังคิดเื่การแต่งงานของนางกู้เจิงรู้สึกขมขื่นนัก นางรับยาต้มจากสาวรับใช้มาป้อนซู่เหนียงด้วยตัวเอง
หวังซู่เหนียงดื่มยาด้วยความเบิกบานใจบุตรสาวป้อนยาให้นางด้วยตัวเอง ยานี้ก็ไม่ขมแล้ว
กู้เจิงเกิดความรู้สึกว่าต้องพึ่งพาอาศัยกันกับหวังซู่เหนียง
หลังจากดื่มยาเสร็จแล้ว หวังซู่เหนียงก็รีบจับมือบุตรสาวดวงตาสดใสเป็ประกาย “บอกแม่เร็วเข้า ท่านพ่อพูดอะไรกับเ้า?”
“ไม่ได้พูดอะไรเ้าค่ะ” กู้เจิงตอบอย่างหมดอาลัยตายอยาก
“จะไม่พูดอะไรได้อย่างไร? เ้าแต่งให้กับเสิ่นเยี่ยนผู้นั้นได้ ในใจท่านพ่อเ้าจะต้องดีใจแน่แม่รู้จักเขาดี เสิ่นเยี่ยนเป็ถึงที่ปรึกษาที่องค์ชายห้าให้ความสำคัญที่สุดบุตรสาวคนหนึ่งแต่งกับองค์ชายห้า ส่วนอีกคนแต่งกับที่ปรึกษาขององค์ชายห้าสำหรับเขาแล้วเป็ประโยชน์ยิ่งนัก”
“ซู่เหนียงรู้จักท่านพ่อดีจริงๆ”
“นั่นย่อมแน่นอนอยู่แล้ว”
“ซู่เหนียง ท่านก็ได้ยินสิ่งที่องค์ชายห้าพูดเมื่อครู่นี้แล้วเขาบอกกับเสิ่นเยี่ยนว่ารอวันข้างหน้าสำเร็จเื่ จะต้องหาหญิงสูงศักดิ์มาเป็ภรรยาให้เสิ่นเยี่ยนแน่ท่านยัง้าให้ลูกแต่งกับเสิ่นเยี่ยนอยู่ไหมเ้าคะ?”
“แน่นอนว่าต้องแต่ง” หวังซู่เหนียงไม่คิดเอาคำพูดพวกนี้มาใส่ใจ“เจิงเอ๋อร์ของเรางดงามเช่นนี้ ถึงตอนนั้นเสิ่นเยี่ยนยังจะตัดใจหย่าได้อย่างไร?”
กู้เจิง “...” อยากจะทุบอก ไปเอาความมั่นใจนี้มาจากไหนกัน
-----------------------------------------------
[1] จวี่เหริน เป็ชื่อเรียกผู้สอบรับเข้าราชการผ่านในระดับมณฑลโดยผู้เข้าสอบจะต้องได้คุณวุฒิซิ่วไฉก่อน เมื่อสอบผ่านในระดับมณฑลจึงจะสามารถเลื่อนขั้นเป็จวี่เหริน
[2] จิ้นซื่อเป็ชื่อเรียกผู้สอบเข้ารับราชการผ่านในระดับสูงสุดเป็การสอบหน้าพระที่นั่งในพระราชวังซึ่งฮ่องเต้จะเป็ผู้ที่เข้ามาดูแลความเรียบร้อยในสนามสอบด้วยพระองค์เองผู้ที่สามารถสอบผ่านจะได้เลื่อนขั้นเป็จิ้นซื่อและผู้ที่สอบได้คะแนนสูงสุดสามอันดับแรกจะได้ตำแหน่งจ้วงหยวน ปั๋งเหยี่ยน และทั่นฮวา ตามลำดับ
[3] คำพูดของแม่สื่อ คำสั่งของพ่อแม่ เปรียบเปรยการแต่งงานที่เ้าบ่าวเ้าสาวไม่ได้รักชอบกันหรือไม่รู้จักกันมาก่อนแต่พ่อแม่เป็คนจัดการ แม่สื่อเป็คนแนะนำ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้