“บิดาเ้าบอกว่าอะไรกันแน่?” หวังซู่เหนียงอยากรู้จนแทบไม่ไหว
“ท่านพ่อให้ข้าแต่งงานหลังจากนี้หนึ่งเดือนเ้าค่ะ”
ชั่วพริบตาหวังซู่เหนียงก็หัวเราะไม่หยุด “พูดเช่นนี้แม่คงต้องเตรียมสินเดิมของเ้าแล้ว” กล่าวด้วยใบหน้าพึงใจอีกว่า “เ้าวางใจเถิดแม่จะไม่ให้เ้าแต่งในสภาพไร้สง่าราศีเด็ดขาด หลายสิบปีมานี้แม่รวบรวมเงินส่วนตัวไว้ไม่น้อย”
กู้เจิงมองไปยังใบหน้ายิ้มแย้มของหวังซู่เหนียงอย่างเลื่อนลอยรู้ว่าความรักของแม่นั้นยิ่งใหญ่ทว่านี่เป็ครั้งแรกที่เหมือนกับว่าััถึงมันได้ความรักของมารดานี้แม้จะเล็กน้อยทว่ากลับจริงใจ ถึงจะกระทำไม่ถูกไปบ้าง หลอกนางอยู่เป็นิจ แต่ก็ทำให้นางประทับใจนางอยากถามหวังซู่เหนียงว่าคุ้มค่าหรือไม่? ดูท่าคงไม่ต้องถามแล้ว
“ท่าทีเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? ทำไม ไม่เชื่อว่าแม่เก็บเงินส่วนตัวไว้เยอะหรือ?”
กู้เจิงไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะตรงเข้าโอบกอดนาง
“โอ้ เ้าเด็กคนนี้ โตขนาดนี้แล้วยังอ้อนแม่อีกหรือ?” หวังซู่เหนียงกอดบุตรสาวกลับ และยิ้มอย่างเคอะเขิน
กู้เจิงไม่ได้ห่วงว่าสินสอดของนางจะเท่าไร นางกลุ้มใจกลุ้มใจที่ต้องแต่งงานในวัยสิบหกปี หากอยู่ในยุคปัจจุบัน นางยังคงเป็เด็กน้อยในสายตาของพ่อแม่แต่ยังมีอีกเื่ที่นางกังวลที่สุด กู้เจิงนั่งหลังตรงจับจ้องหวังซู่เหนียงอย่างจริงจัง “ซู่เหนียงเ้าคะหลังข้าแต่งงานแล้วท่านจะทำอย่างไร?”
“ข้า? ข้าก็ยังคงเหมือนแต่ก่อน”
“ซู่เหนียง ไม่ต้องไปยุ่งกับนายหญิงอีกแล้วเ้าค่ะข้าคิดว่านายหญิงไม่ได้เลวร้ายอะไร ถ้าท่านไหลลื่นไปตามนางนายหญิงจะต้องดูแลท่านแน่เ้าค่ะ”
หวังซู่เหนียงแค่นเสียง “เหตุใดเ้าถึงช่วยพูดให้นาง?”
“ข้ากล่าวความจริงเ้าค่ะ”
“เ้ายังเด็กจะไปเข้าใจอะไร? ในใจเว่ยซื่อผู้นั้นคงอยากขับไล่พวกเรากลับบ้านเกิดเสียจะตายไปและหวังให้เ้าแต่งออกไปในสภาพไม่ดี ไม่รู้ในใจกำลังสาปแช่งข้าอย่างไรบ้าง”
เพียงแค่เอ่ยถึงนายหญิงเว่ยซื่อ หวังซู่เหนียงก็อ่อนไหวเอาง่ายๆกู้เจิงรู้ดีว่าในสมัยโบราณภรรยาเอกกับอนุจะอยู่รวมกันเป็กลุ่มหลังบ้านก็คือสนามรบของสตรีทว่าสนามรบของตระกูลกู้นั้นความแตกต่างของฝ่ายแข็งกับฝ่ายอ่อนมีมากจนเกินไปทางด้านฝ่ายอ่อนกว่ายังคงไม่รู้ข้อบกพร่องของตนเองดี แล้วนางเล่าจำต้องอยู่ฝั่งที่ไม่รู้จักตนเองดีว่าเป็เช่นไร เฮ้อ ช่างน่ากลัดกลุ้ม
อากาศใน่เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงหนาวเหน็บขึ้นเล็กน้อยชุนหงได้จัดเตรียมที่นอนให้กับกู้เจิงไว้แล้ว
เนื่องจากวุ่นวายมาทั้งวัน กู้เจิงจึงอ่อนเพลียมากพอได้ััเตียงนุ่มๆ ก็ผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
ได้นอนหลับสนิทในชั่วข้ามคืน เมื่อตื่นนอนในเช้าวันรุ่งขึ้นกู้เจิงก็ยืดเอวบิดี้เี รู้สึกสดชื่นมีชีวิตชีวาขึ้นทันที
“คุณหนูใหญ่ รีบตื่นเถิดเ้าค่ะ” ชุนหงวิ่งเตาะแตะเข้ามาไม่รู้ว่าแก้มเล็กๆ นั้นตื่นเต้นดีใจเื่อะไร พวงแก้มสองข้างแดงราวกับผลแอปเปิล
“ขอนอนต่ออีกสักหน่อย”กู้เจิงรู้สึกว่าการรนหาที่ตายของซู่เหนียงก็มีประโยชน์อยู่บ้างนางไม่จำเป็ต้องตื่นแต่เช้าไปคารวะทักทายนายหญิงทุกวันความรู้สึกของการได้ตื่นสายนั้นช่างมีความสุขหาใดเปรียบจริงๆ
“คุณหนูใหญ่ หยุดนอนได้แล้วเ้าค่ะ”ชุนหงรั้งผ้าม่านเตียงทั้งสองด้านขึ้นแล้ววิ่งออกไปข้างนอกยกอ่างน้ำเข้ามาวางไว้บนชั้นก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าจากบนชั้นนำไปชุบน้ำแล้วบิดให้หมาดและยื่นให้กู้เจิงพร้อมเอ่ยอย่างมีความสุขว่า “นายหญิงเรียกให้ท่านไปที่เรือนหลักเ้าค่ะ”
กู้เจิงจึงทำได้เพียงลุกขึ้นจากเตียงและมองดูท่าทางตื่นเต้นเป็พิเศษของชุนหงอย่างระแวงสงสัย “เกิดเื่อะไรดีๆขึ้นหรือ?”หลังจากง่วงหงาวหาวนอนไปถึงฉากกั้นห้องก็เริ่มหยิบกิ่งหลิ่วจือขึ้นมาจุ่มเกลือแปรงฟัน
“การล่าประจำสารทฤดูในพระราชวังใกล้จะเริ่มขึ้นแล้วเ้าค่ะบ่าวได้ยินแม่นมของเรือนหลักพูดว่าดูเหมือนว่าครั้งนี้นายหญิงจะพาคุณหนูใหญ่ไปด้วยเ้าค่ะ โอ้์นี่นับเป็การล่าประจำสารทฤดูของราชวงศ์เชียวนะเ้าคะเมื่อก่อนซู่เหนียงจะไปขอให้นายท่านพาคุณหนูใหญ่ไปด้วยทุกครั้งแต่นายท่านก็ไม่ยินยอมเ้าค่ะ”
กู้เจิงเดินออกมาจากหลังฉากกั้น รับผ้าเช็ดหน้าในมือชุนหงมาซับหน้าจากนั้นจึงไปนั่งลงตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งหวีผมสลวยที่ยาวถึงเอวการล่าประจำสารทฤดูก็คือการล่าสัตว์ ราชวงศ์จัดขึ้นปีละครั้ง
ชุนหงเริ่มมัดมวยผมให้นาง พร้อมเอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า“จวนกู้เราแม้จะเป็จวนป๋อเจวี๋ย แต่ป๋อเจวี๋ยในเยว่ตูก็มีมากนักถ้าไม่ใช่เพราะมีความสัมพันธ์กับองค์ชายห้า คุณหนูสามกับคุณหนูสี่ก็อาจจะไปไม่ได้ครั้งนี้คุณหนูใหญ่ไปได้ ต้องขอบคุณบุตรเขยในอนาคตของท่านแล้วเ้าค่ะ”
บุตรเขยในอนาคต? เมื่อคิดถึงเสิ่นเยี่ยนผู้นั้นก็นึกออกเพียงความเย้ยหยันผ่านมุมปากของเขา ในใจกู้เจิงพลันเกิดน้ำโหขึ้นมา“พูดเช่นนี้ องค์ชายห้ากับเสิ่นเยี่ยนก็ไปอย่างนั้นหรือ?”
“นั่นย่อมแน่นอนเ้าค่ะ” ชุนหงผงกศีรษะ “คุณหนูใหญ่คิดถึงบุตรเขยแล้วหรือเ้าคะ?”
“คิด คิดถึงมากจริงๆ เชียวล่ะ” กู้เจิงกล่าวอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟันนางไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเื่การแต่งงานนี้ได้ แต่เสิ่นเยี่ยนสามารถทำได้ไม่ว่าอย่างไร นางจะต้องไปพบเขาเพื่อพุดคุยสักหน่อย
ในตอนที่กู้เจิงมาถึงเรือนหลักนายหญิงเว่ยซื่อและบุตรสาวทั้งสองก็กำลังพูดคุยหัวเราะกันส่วนนายท่านกู้หงหย่งที่อยู่ด้านข้างและบุตรชายกู้เจิ้งชินก็กำลังพูดคุยอยู่เช่นกัน
เมื่อเห็นนางมาถึง ครอบครัวทั้งห้าคนก็เก็บรอยยิ้มไปทันทีสายตาจับจ้องมาที่นาง
ความไม่ลงรอยกันนี้ทำให้กู้เจิงเหนื่อยใจตัวนางเองในกาลก่อนยังเคยคิดหาวิธีเพื่อผูกมิตรแต่ทว่าปัญหาคือไม่มีใครยอมรับนางสักคน กู้เจิงทำความเคารพ “ลูกคารวะท่านพ่อ ท่านแม่เ้าค่ะ”
“พี่ใหญ่” น้องสามกู้เจิ้งชินเรียกนาง
“นั่งลงเถิด” กู้หงหย่งยิ้มบางๆ และชี้ไปที่เก้าอี้ข้างๆ เขา
กู้เจิงนั่งลงตามที่พูด
“ที่เรียกเ้ามาเพราะอีกไม่กี่วันก็จะมีการล่าสัตว์ประจำสารทฤดูของราชวงศ์ปีนี้เ้าก็ไปด้วยกันกับเราเถิด”
กู้เจิงมองไปที่บิดาไร้ค่าซึ่งไม่เคยปฏิบัติต่อเธออย่างอ่อนโยนเป็มิตรเช่นนี้นางเพียงแสดงกิริยาด้วยความสุภาพเท่านั้น "เ้าค่ะ"
“ผู้ที่ได้ไปร่วมงานล่าสัตว์ของราชวงศ์นั้นล้วนเป็คนมีฐานะที่สุดในเยว่กั๋วในงานจะมีแต่เหล่าองค์ชายองค์หญิง ฉะนั้นเ้าต้องใส่ใจกับคำพูดและการกระทำของตนเองจะให้เสียหน้าจวนป๋อเจวี๋ยที่อบรมสั่งสอนมาไม่ได้โดยเด็ดขาด”
“ลูกทราบแล้วเ้าค่ะ”
“แล้วก็” นายหญิงเว่ยซื่อกล่าวต่อพร้อมทอดสายตาไปยังกู้เจิงอย่างไร้ซึ่งเจตนาดี “ตอนนี้เ้ารับปากผู้อื่นแล้วก็ต้องหยุดความคิดพวกนั้นลงเสียถ้าข้ารู้ว่าเ้าไปร่วมงานล่าสัตว์แล้วทำเื่เหลวไหลไร้มารยาทล่ะก็ข้าไม่เอาเ้าไว้แน่”