วันรุ่งขึ้นเป็วันจัดงานประกาศเกียรติคุณของโรงเรียน
เนื่องจากอากาศร้อนจัด อาจารย์ใหญ่โจวกังวลว่านักเรียนที่ร่างกายอ่อนแอจะตากแดดจนเป็ลมแดด
ดังนั้นจึงดำเนินการอย่างรวดเร็ว จบพิธีประกาศเกียรติคุณในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
สวี่ฮุ่ยรับเงินรางวัลสามร้อยหยวนกับเกียรติบัตรจากโรงเรียนด้วยความยินดี
ในมือเธอมีเงินเกือบหนึ่งพันหยวนแล้ว เงินจำนวนนี้ไม่ใช่แค่สำหรับเธอเท่านั้น แม้แต่กับครอบครัวทั่วไปก็ถือเป็เงินก้อนโต
คนงานทั่วไปต้องอดออมเกือบสองปีถึงจะมีได้
เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งพูดแซวขึ้น “สวี่ฮุ่ย ได้เงินรางวัลแล้วต้องเลี้ยงฉลองนะ”
สวี่ฮุ่ยยิ้มรับ “วันที่เจ็ดสิงหาคม ฉันจะเลี้ยงข้าวพวกเธอที่ร้านอาหารป้าอ้วนหน้าโรงเรียนนะ เพื่อนๆ ทุกคนต้องมาให้ได้ล่ะ อาจารย์ใหญ่โจว หัวหน้าฝ่ายหวง อาจารย์ปี้...พวกอาจารย์ก็มาด้วยนะคะ”
วันที่เจ็ดสิงหาคมเป็วันเกิดครบรอบสิบเก้าปีของสวี่ฮุ่ย เธอตั้งใจเลี้ยงฉลองในวันนี้เหมือนเป็การฉลองวันเกิดกับเพื่อน ๆ และอาจารย์ เธอโตขนาดนี้ยังไม่เคยฉลองวันเกิดเลยสักครั้ง
สวี่ฮุ่ยไม่ได้บอกตรง ๆ เพราะกลัวเพื่อนกับอาจารย์จะซื้อของขวัญมาให้
เรียนจบแล้ว ยังจะรับของขวัญจากเพื่อนและอาจารย์อีก ดูไม่งามนัก
หลังจากร่ำลากับเพื่อนและอาจารย์ สวี่ฮุ่ยกำลังจะกลับบ้าน
อาจารย์ใหญ่โจวโบกมือเรียกเธออย่างเอ็นดู “สวี่ฮุ่ย มานี่สิ อาจารย์มีเื่สำคัญจะคุยด้วย”
สวี่ฮุ่ยเดินเข้าไปหา อาจารย์ใหญ่โจวบอกเธอด้วยความยินดีว่า อีกสามวันจะมีการจัดงานประกาศเกียรติคุณที่ศาลากลางจังหวัด เพื่อมอบเกียรติบัตรและเงินรางวัลให้กับนักเรียนที่ได้อันดับต้น ๆ ของการสอบ
และอีกห้าวัน ทางมณฑลจะมอบเกียรติบัตรและเงินรางวัลให้กับนักเรียนสิบอันดับแรกที่สอบติดเข้ามหาวิทยาลัย
อาจารย์ใหญ่จะไปเป็เพื่อนเธอทั้งสองงาน
โอกาสดี ๆ ที่จะได้หน้าแบบนี้ อาจารย์ใหญ่โจวไม่มีทางพลาดแน่ นี่คือเกียรติยศของโรงเรียนพวกเขา
สวี่ฮุ่ยถามอย่างเขินอายว่าทางจังหวัดและมณฑลจะให้เงินรางวัลเท่าไหร่
อาจารย์ใหญ่โจวก็ไม่แน่ใจ แต่ถ้าเทียบกับเงินรางวัลของผู้ที่สอบได้ที่หนึ่งปีที่แล้ว ทางจังหวัดน่าจะให้หนึ่งพันหยวน ส่วนทางมณฑลน่าจะให้สามพันหยวน
สวี่ฮุ่ยกระดี๊กระด๊าในใจ เงินมากขนาดนี้ ไม่เพียงไม่ต้องกังวลเื่ค่าใช้จ่ายในการเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว เธอยังมีเงินเหลือเก็บอีกด้วย
ในที่สุดก็ถึงวันที่ต้องไปร่วมงานประกาศเกียรติคุณที่ศาลากลางจังหวัด
พิธีเริ่มเวลาเก้าโมงครึ่ง จากตำบลเถาฮวาไปเมืองเซี่ยวใช้เวลาเดินทางสองชั่วโมง
อาจารย์ใหญ่โจวมาถึงบ้านสวี่ฮุ่ยั้แ่หกโมงกว่า ๆ
ไม่มีใครอยู่บ้านนอกจากสวี่ฮุ่ย
เพื่อหลีกเลี่ยงข้อครหา อาจารย์ใหญ่โจวไม่ได้เข้าบ้าน แต่ยืนคุยกับสวี่ฮุ่ยอยู่นอกบ้านอย่างรู้กาลเทศะ
เขาเห็นสวี่ฮุ่ยสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวซีด ๆ กับกระโปรงสีดำเก่า ๆ จึงถามว่า “เธอจะแต่งตัวแบบนี้ไปร่วมงานประกาศเกียรติคุณที่ศาลากลางเหรอ?”
สวี่ฮุ่ยก้มมองชุดตัวเองแล้วพยักหน้า และขานรับเบา ๆ
นี่เป็ชุดที่ดีที่สุดของเธอแล้ว
เพื่องานในวันนี้ เธอถึงขั้นไปซื้อสบู่กับแชมพูยี่ห้อเฟิงฮวาที่สหกรณ์ตำบลเมื่อวาน และตื่นมาอาบน้ำั้แ่ตีห้า
แล้วเธอยังเล็มผมหน้าม้า กลัวว่าตัวเองจะดูโทรมจนทำให้โรงเรียนและอาจารย์ใหญ่โจวเสียหน้าด้วย
เพื่อนบ้านที่กำลังเด็ดผักอยู่หน้าบ้านได้ยินบทสนทนาของทั้งสอง รีบะโบอกคนอื่น ๆ ทั่วบ้านพักว่า “บ้านไหนมีกระโปรงที่ดูดีบ้าง ให้ฮุ่ยฮุ่ยยืมใส่สักวันสิ วันนี้หนูฮุ่ยต้องไปร่วมงานประกาศเกียรติคุณที่ศาลากลาง ไม่มีชุดเข้าท่าใส่เลย”
หลังจากเพื่อนบ้านคนนั้นะโบอก หลายบ้านที่มีลูกสาววัยเดียวกันและรูปร่างใกล้เคียงกับสวี่ฮุ่ยก็เอาชุดที่ดีที่สุดของลูกสาวออกมาให้เธอยืม
สวี่ฮุ่ยรู้สึกตื้นตันใจ เธอเลือกชุดเดรสกลางเก่ากลางใหม่ตัวหนึ่ง
แต่คุณป้าคนหนึ่งกลับยัดชุดใหม่ที่เพิ่งตัดให้ลูกสาวเมื่อไม่กี่วันก่อนใส่มือสวี่ฮุ่ย “ใส่ของเสี่ยวเหลียนบ้านป้าเถอะ ใส่ชุดใหม่ไปประชุมจะได้ดูดี”
น้ำใจยากจะปฎิเสธ เธอเลยรับชุดมาพลางกล่าวขอบคุณไม่หยุด
ป้าคนนั้นโบกมือ “ขอบคุณทำไม? เธอยังช่วยสอนการบ้านเสี่ยวเหลียนอยู่เลย เพื่อนบ้านก็ควรช่วยเหลือกันสิ! ”
สวี่ฮุ่ยเปลี่ยนชุดเสร็จก็ถือถังปลาไหลออกเดินทางไปกับอาจารย์ใหญ่โจว
อาจารย์ใหญ่โจวมองปลาไหลที่ดิ้นอยู่ในถังแล้วถาม “วันนี้ก็ยังขายปลาไหลอีกเหรอ?”
“ค่ะ! ” สวี่ฮุ่ยพยักหน้า “ทางบ้านไม่ส่งเงินให้หนูเรียนมหาวิทยาลัยหรอกค่ะ”
อาจารย์ใหญ่โจวพูด “เงินรางวัลจากทางจังหวัดกับมณฑลก็พอให้เธอเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว”
“มีเงินติดตัวเยอะหน่อยจะสบายใจกว่าค่ะ” สวี่ฮุ่ยยิ้มให้อาจารย์ใหญ่โจว รอยยิ้มนั้นสดใสราวกับแสงตะวัน
อาจารย์ใหญ่โจวก้มลงมองปลาไหลในถังอีกครั้ง
เด็กผู้หญิงส่วนใหญ่กลัวปลาไหลที่น่าขยะแขยง แต่เด็กคนนี้กลับต้องจับมันทุกวัน
ถ้าไม่ใช่เพราะชีวิตถูกบีบบังคับ เธอก็คงไม่ทำแบบนี้ เด็กคนนี้ลำบากจริงๆ!
ทั้งสองลงรถที่ตัวอำเภอแล้วเอาปลาไหลไปส่งให้ลุงจาง
ป้าจางเห็นสวี่ฮุ่ยใส่ชุดใหม่จึงถามว่า “วันนี้แต่งตัวสวยเชียว จะไปไหนเหรอ?”
อาจารย์ใหญ่โจวรีบแย่งตอบป้าจางว่าสวี่ฮุ่ยสอบได้ที่หนึ่งสายวิทย์ของมณฑล ตอนนี้กำลังจะไปร่วมงานประกาศเกียรติคุณที่ศาลากลางจังหวัด
ั้แ่สวี่ฮุ่ยสอบได้ที่หนึ่งของมณฑล อาจารย์ใหญ่โจวก็อยากป่าวประกาศให้โลกรู้กันทั่ว
ถึงขั้นคิดจะพิมพ์ใบปลิวรูปสวี่ฮุ่ยไปติดตามเสาไฟฟ้าทุกต้นให้คนทั้งอำเภอรู้ว่าโรงเรียนมัธยมศึกษาชิงซงมีนักเรียนสอบได้ที่หนึ่งของมณฑลอยู่
แต่พอนึกดูแล้วมันจะเหมือนใบประกาศจับ เลยเลิกความคิดนี้ไปเสียก่อน
ไม่งั้นตอนนี้รูปถ่ายขาวดำของสวี่ฮุ่ยคงติดเต็มบ้านเต็มเมืองไปแล้ว
ลุงกับป้าจางต่างประหลาดใจ
ทั้งสองมอบซองแดงสองหยวนให้สวี่ฮุ่ยเพื่อแสดงความยินดีที่เธอสอบได้ที่หนึ่ง
งานประกาศเกียรติคุณที่ศาลากลางใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงก็เสร็จสิ้น
ปีนี้ทางจังหวัดยังคงให้เงินรางวัลหนึ่งพันหยวนเหมือนเดิม แต่เพิ่มกระเป๋าเป้สะพายหลังรุ่นใหม่ล่าสุดสีชมพูมาให้ด้วย สวี่ฮุ่ยชอบมาก
ขนาดกระเป๋าเรียนสะพายข้างสีเหลืองเธอยังไม่เคยใช้เลย นับประสาอะไรกับกระเป๋าเป้
เกือบสิบเก้าปีในชีวิตเธอ ไม่ว่าจะเป็อะไร เธอก็ใช้ต่อจากสวี่เยว่ทั้งนั้น
หลังจากประชุมเสร็จ อาจารย์ใหญ่โจวไม่ได้รีบกลับ แต่พาสวี่ฮุ่ยไปเดินเล่นในเมือง
สวี่ฮุ่ยนึกว่าอาจารย์ใหญ่โจวจะซื้อของกลับบ้าน เธอจึงตามเขาไปอย่างว่าง่าย
จนกระทั่งอาจารย์ใหญ่โจวหยุดอยู่หน้าเคาน์เตอร์ขายเสื้อผ้าผู้หญิงในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ให้พนักงานหยิบชุดเดรสผ้าแดครอน[1] สีอ่อนตัวหนึ่งออกมาให้เธอเทียบ สวี่ฮุ่ยถึงเพิ่งรู้ว่าอาจารย์ใหญ่โจวอยากซื้อเสื้อผ้าให้เธอ
เธอรีบปฏิเสธ
อาจารย์ใหญ่โจวพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หรือเธอจะยืมชุดเพื่อนบ้านใส่ตอนไปร่วมงานประกาศเกียรติคุณที่มณฑลครั้งหน้าอีก?”
สวี่ฮุ่ยคิด ๆ ดูแล้วก็จริง
เธอพูดว่า “งั้นหนูจ่ายเองค่ะ”
พูดจบก็หยิบเงินออกมาจากกระเป๋า นับเงินสามใบแล้วยื่นให้พนักงานขาย
ชุดเดรสตัวหนึ่งราคาสามสิบหยวน เท่ากับเงินเดือนครึ่งเดือนของคนงาน สวี่ฮุ่ยรู้สึกเสียดายเงินอยู่พักหนึ่ง
อาจารย์ใหญ่โจวยื่นมือมาขวางเธอไว้ “ฉันจ่ายเอง เธอสอบได้ที่หนึ่ง ทำให้โรงเรียนมีชื่อเสียง ฉันยังไม่ได้ซื้อของขวัญให้เธอเลย”
ถึงแม้สวี่ฮุ่ยจะปฏิเสธหลายครั้ง แต่อาจารย์ใหญ่โจวก็ยืนกรานจะจ่ายให้อยู่ดี
สวี่ฮุ่ยจึงบอกว่าเธอไม่ชอบใส่ผ้าแดครอน มันไม่ระบายอากาศ ไม่ซับเหงื่อ ใส่แล้วร้อน
เธอชี้ชุดเดรสผ้าฝ้ายสีแดงกุหลาบที่แขวนอยู่ในตู้แล้วบอกว่าเธอชอบชุดที่ทำจากผ้าฝ้ายมากกว่า ใส่สบาย
อาจารย์ใหญ่โจวเห็นป้ายราคาสิบห้าหยวนก็เข้าใจเจตนาของสวี่ฮุ่ย
เขาไม่เพียงซื้อชุดเดรสแขนตุ๊กตาสีแดงกุหลาบเท่านั้น ยังซื้อชุดเดรสผ้าฝ้ายแขนกุดลายดอกไม้พื้นขาวอีกตัวหนึ่งด้วย ราคาสองตัวนี้มากกว่าสามสิบหยวน
สวี่ฮุ่ยอึ้งไปสักพัก เดิมตั้งใจจะให้อาจารย์ใหญ่โจวประหยัดเงิน สุดท้ายกลับทำให้เขาเสียเงินมากขึ้นซะงั้น
สวี่ฮุ่ยจะเอาชุดเดรสลายดอกไม้ไปคืน มีชุดใหม่ใส่ไปร่วมงานประกาศเกียรติคุณที่มณฑลตัวเดียวก็พอแล้ว
แต่อาจารย์ใหญ่โจวบอกว่าซื้อสองตัวเผื่อเธอเปลี่ยนซัก
อีกอย่างจ่ายเงินไปแล้ว ไม่มีปัญหาเื่คุณภาพ พนักงานขายก็ไม่รับคืนหรอก
สวี่ฮุ่ยเลยต้องรับชุดทั้งสองตัวนั้นมา
อาจารย์ใหญ่โจวมองสวี่ฮุ่ยั้แ่หัวจรดเท้าและบอกกับพนักงานขายด้วยน้ำเสียงเป็มิตรให้ช่วยเลือกรองเท้าแตะหุ้มส้นที่เหมาะกับ “นักเรียนจ้วงหยวน” ของเขา พร้อมกับถุงเท้าสีขาวอีกสองคู่
ตอนแรกพี่พนักงานขายนึกว่าทั้งสองเป็พ่อลูกกัน แต่พอได้ยินพวกเขาเรียกชื่อกันถึงรู้ว่าเป็อาจารย์กับนักเรียน ผู้ชายคนนั้นยังเป็ครูใหญ่อีกด้วย
พี่พนักงานขายรู้สึกซาบซึ้งใจที่ครูใหญ่ยอมควักกระเป๋าตัวเองซื้อเสื้อผ้าให้นักเรียน เพราะนักเรียนไม่มีชุดที่เหมาะที่จะใส่ไปร่วมงานประกาศเกียรติคุณที่มณฑล
ตอนนี้พอรู้ว่าสวี่ฮุ่ยสอบได้ที่หนึ่ง พี่พนักงานขายก็ยิ่งชื่นชมเธอ
ดังนั้นจึงช่วยเธอเลือกรองเท้าแตะกับถุงเท้าอย่างกระตือรือร้น แถมยังอาสาเลือกที่คาดผมสีเดียวกับชุดเดรสสีแดงให้เธอด้วย
อาจารย์ใหญ่โจวซื้อทั้งหมดอย่างยินดี สวี่ฮุ่ยเห็นว่าจ่ายเงินไปแล้ว ก็ไม่ได้เกรงใจ จึงรับของทั้งหมดมา
แต่ในใจก็จดจำบุญคุณนี้ไว้ ต่อไปถ้ามีโอกาสเมื่อไหร่จะต้องตอบแทน และจะตอบแทนให้เป็สองเท่า
[1] ผ้าแดครอน หมายถึง เส้นใยโพลีเอสเตอร์ ซึ่งถูกค้นพบโดย Dr. W.H. Carothers ชาวสหรัฐอเมริกา ั้แ่ปี ค.ศ. 1930 ต่อมานักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษได้ทำการศึกษาค้นคว้าต่อจน ผลิตเส้นใยโพลีเอสเตอร์ชนิดแรกได้โดยใช้ชื่อว่า Terylene ในปี ค.ศ. 1941 และบริษัทดูปองได้ขอซื้อลิขสิทธิ์มาผลิตในประเทศสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1946 โดยใช้ชื่อว่า Dacron (แดครอน)