เสียงหัวเราะอย่างเบิกบานใจดังก้องไปในอากาศ บุรุษทั้งสามขี่ม้าท่ามกลางป่าไม้อย่างสนุกสนาน
“น่าเสียดายที่อวิ๋นเฟิงไม่ได้มา มิฉะนั้นพวกเราสี่คนจะได้แข่งกันอีกครั้ง”
ตงฟางซวี่ที่อยู่เบื้องหน้าพลันลดความเร็วลง เฟิ่งอวี่และเฟิ่งฉีจึงตามไป “ฝ่าา ใจลอยเช่นนี้ ทรงกำลังทอดพระเนตรอะไรอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
จนเมื่อมีเสียงอุทาน พวกเขาจึงได้มองเห็นบุคคลผู้ซึ่งกำลังควบม้าห้อตะบึงในเส้นทางอุปสรรคอย่างลื่นไหลดังสายน้ำ
การเคลื่อนไหวของอวิ๋นซูมั่นคง ไม่เหมือนกับกำลังอยู่บนหลังม้าเลยสักนิด จู่ๆ นางก็ะโออกหลังม้า ใช้หนึ่งมือดันอานม้าพร้อมทั้งทะยานตัวขึ้นไปบนอากาศ เมื่อผ่านอุปสรรคด้านหน้าไป นางจึงลอยตัวลงสู่หลังม้าโดยพลัน การเคลื่อนไหวเบาบางมั่นคง
รั้วทั้งสี่นี้ ราวกับนางเพียงะโผ่านเบาๆ ครั้งหนึ่งโดยไม่เปลืองแรงแม้แต่น้อย รอบข้างเกิดเสียงชื่นชมดังแว่วมา
“นั่นเป็คุณชายบ้านใดกัน วนไปตั้งหลายรอบแล้ว ดูไม่เหนื่อยเลยสักนิด”
“ใช่ไหมเล่า? ลมหายใจของม้าตัวนั้นก็ไม่หอบเลย ไม่คิดเลยว่าม้าผอมแห้งแบบนั้นจะวิ่งได้ดีเช่นนี้”
“ฝีมือขี่ม้าร้ายกาจเช่นนี้ หรือจะเป็คุณชายของตระกูลแม่ทัพ?”
ที่ทุกคนไม่ทราบก็คือ ม้าศึกแคว้นอี้นั้นแข็งแกร่ง อวิ๋นซูอยู่บนหลังม้ามาั้แ่เด็ก สำหรับนางการขี่ม้าก็คือวิธีการฝึกฝนร่างกายที่ดีที่สุด และยังมีสิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งก็คือ เซียวอี้เชินเคยกล่าวว่า นางที่อยู่บนหลังม้านั้นงดงามที่สุด ด้วยเหตุนี้อวิ๋นซูจึงมีฝีมือชำนาญในด้านการขี่ม้าเป็อย่างยิ่ง
ทุกคนมองการเคลื่อนไหวอันงดงามของม้าตัวนั้น ยามวิ่งทะยานประดุจดั่งเหยียบย่างบนปุยเมฆ ทั้งสามอดไม่ได้ที่จะสบตากับ ไม่คิดเลยว่าคุณหนูหกจะมีความสามารถเช่นนี้ วันนี้นับว่าพวกเขาได้รู้แล้วว่าสิ่งใดที่เรียกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า
เสียงปรบมืออย่างคึกคักดังขึ้นหลังจากการเคลื่อนไหวอย่างงดงามครั้งสุดท้ายของอวิ๋นซูจบลง สายตาของบุรุษทั้งสามแสดงความชื่นชมนับถืออย่างเปิดเผย
“คุณหนูหกเรียนขี่ม้าจากที่ใดหรือ? ช่างน่าทึ่งจนข้าแทบหยุดหายใจ!” เฟิ่งฉีกล่าวชมอย่างเกินจริง อวิ๋นซูไม่เปลี่ยนสีหน้า ทำเพียงยิ้มบางๆ ไม่ตอบอะไร
“ฝ่าา หากเป็เช่นนี้ การแข่งม้ากับแค้วนอี้ในอีกหนึ่งเดือน พวกเราก็อาจจะมีตัวเลือกเพิ่มก็เป็ได้ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
คำพูดของเฟิ่งอวี่ทำให้ั์ตาของทั้งสามสว่างวาบ ทว่าต่อมาดวงตาของตงฟางซวี่ก็หม่นลง “แต่คุณหนูหกเป็สตรี”
“ไม่มีกฎว่าสตรีห้ามเข้าร่วมเสียหน่อย!”
บุรุษทั้งสามพลันมองไปยังอวิ๋นซูอย่างคาดหวัง ทว่าใบหน้าของดรุณีน้อยกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง
“แข่งม้ากับแคว้นอี้? ผู้ใดของแคว้นอี้!” น้ำเสียงของนางหนักแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ทั้งสามประหลาดใจที่จู่ๆ นางก็สูญเสียการควบคุม ณ ชั่วขณะนั้น พวกเขารู้สึกว่าหญิงสาวผู้นี้ไม่ใช่คุณหนูหกแล้วกระมัง?
“จักรพรรดิเซียวแห่งแคว้นอี้ หนึ่งเดือนหลังจากนี้จะมาร่วมงานเลี้ยงฉลองที่แคว้นของพวกเรา จากนั้นจะมีการแข่งม้าระหว่างสองแคว้น”
มือของอวิ๋นซูสั่นเทาโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าของนางไม่น่ามองยิ่งนัก นางดึงบังเหียนม้าแล้วเดินตามหลังม้าไป ไม่้าให้ทั้งสามเห็นท่าทางแปลกประหลาดของตน
หนึ่งเดือน อีกหนึ่งเดือนก็จะได้เจอคนผู้นั้นแล้ว ดี ดียิ่ง! ไม่รู้ว่าเมื่อเขาเห็นนางจะมีท่าทีเช่นไร ไม่สิ จะต้องดูไม่ออกแน่นอนใช่หรือไม่? อวิ๋นเม่ยเล่า จะมาด้วยกันหรือไม่? เืในกายดูเหมือนจะกระเหี้ยนกระหือรือขึ้นมา ยามนี้ไม่มีใครเห็นความเคียดแค้นชิงชังอันล้ำลึกในสายตาของอวิ๋นซู
เพียงได้ยินชื่อนั้น นางก็คุมอารมณ์ไม่ได้เสียแล้ว
“คุณหนูหก? คุณหนูหกไม่เป็ไรใช่หรือไม่?”
เื้ัมีเสียงดังไล่มาอย่างเป็กังวล อวิ๋นซูพยายามสงบสติอารมณ์ของตนแล้วจึงหันกลับมา “อาศัยแค่ม้าพวกนี้ เอาชนะแคว้นอี้ไม่ได้หรอกเ้าค่ะ”
นางพูดอย่างมั่นใจเสียขนาดนี้ เฟิ่งอวี่จึงมองไปยังรัชทายาทอย่างกระอักกระอ่วน กระทั่งสตรีผู้หนึ่งก็ยังกล่าวเช่นนี้...
อย่างไรก็ตาม ตงฟางซวี่กลับไม่โกรธอวิ๋นซู เพียงแต่ดวงตามืดครึ้มลงเล็กน้อย “...อืม”
“ม้าพวกนี้ล้วนเป็ม้าดี เพียงแต่ขาดไปสิ่งหนึ่ง” มีเพียงอวิ๋นซูที่ทราบ การที่ม้าของแคว้นอี้แข็งแกร่งห้าวหาญเป็เพราะในอาหารของพวกมันมียาบำรุงสำหรับม้าผสมอยู่เป็ระยะเวลานาน ซึ่งสามารถเพิ่มพละกำลังและทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ทว่ามีผลข้างเคียงอยู่อย่างหนึ่งก็คือ หากกินยาประเภทนี้นานวันเข้า ม้าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน ทั้งยังมี่วัยฉกรรจ์ที่สั้นกว่าม้าทั่วไป และจะตายลงในไม่ช้าเพราะกล้ามเนื้อฝ่อลีบ หากม้าปกติสามารถอยู่ได้ยี่สิบปี เช่นนั้นม้าของแคว้นอี้ก็อยู่ได้เพียงสิบปีเท่านั้น
“คุณหนูหกมีวิธีหรือ?” ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด พวกเขาจึงรู้สึกว่าสตรีผู้นี้รอบรู้หลายสิ่งที่พวกเขาไม่รู้
“ก็ต้องดูว่าฝ่าา้าชนะ หรือ้าซื้อใจคน?”
ตงฟางซวี่แย้มยิ้ม “พระบิดา้าซื้อใจ แต่ข้า้าชนะ”
จักรพรรดิแคว้นเฉินเห็นว่าหลายปีมานี้แคว้นอี้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งแคว้นเล็กๆ ก็ยังแอบร่วมมือกันอย่างลับๆ ด้วยเหตุนี้จึงอยากจะเป็พันธมิตรกับแคว้นอี้ หากแคว้นใหญ่เกรียงไกรทั้งสองแคว้นร่วมมือกัน ยังจะต้องกลัวการลุกล้ำของแคว้นเล็กๆ เ่าั้อีกหรือ? จักรพรรดิแคว้นเฉินทราบว่าจักรพรรดิเซียวยังเยาว์นัก ความหยิ่งทะนงของผู้เยาว์ย่อม้าเอาชนะเป็ธรรมดา การแข่งขันม้าระหว่างสองแคว้นจึงเป็เพียงการตั้งใจเพิ่มพูนอารมณ์เพียงเท่านั้น
ทว่าตงฟางซวี่กลับไม่ได้คิดเช่นนั้น การเป็พันธมิตรระหว่างสองแคว้นเป็แคว้นเฉินที่กล่าวขึ้นมาก่อน หากต้องอดทนอดกลั้นกับทุกสิ่งอย่าง นั่นจะเป็การทำให้แคว้นอี้รู้สึกเหนือกว่า เมื่อเป็เช่นนี้การร่วมมือกันระหว่างสองแคว้นก็จะเสียสมดุล ยิ่งไปกว่านั้นเขาได้ยินมาว่าจักรพรรดิเซียวมีจิตใจทะเยอทะยานเป็อย่างมาก เวลาเพียงไม่กี่ปีก็ปราบแคว้นเล็กๆ ไปไม่น้อย แคว้นเฉินแม้จะยิ่งใหญ่ ทว่าสำหรับผู้แข็งแกร่งแล้วกลับเป็ความท้าทายที่น่าดึงดูด
มีเพียงต้องทำให้แคว้นอี้รู้ถึงความแข็งแกร่งของแคว้นเฉิน จึงจะสามารถรักษาความร่วมมือกันไว้ได้
“หม่อมฉันมีเงื่อนไขข้อหนึ่งเพคะ”
“คุณหนูหกเชิญกล่าวมาเถิด” กล่าวเช่นนี้แสดงว่านางมีวิธี!
“การแข่งม้านั้นหม่อมฉันไม่ขอเข้าร่วม หม่อมฉันจะเป็เพียงที่ปรึกษาเท่านั้น” อวิ๋นซูเข้าใจเซียวอี้เชินเป็อย่างดี หากนางจะเคลื่อนไหวอะไรย่อมมิอาจเคลื่อนไหวในที่แจ้งโดยเด็ดขาด หากตนเองอยู่ในที่แจ้งศัตรูอยู่ในที่ลับ จะทำสิ่งใดย่อมตกเป็เป้าหมายได้ง่าย
ที่ปรึกษา?! สตรีผู้หนึ่งถึงกับพูดคำนี้ออกมา ทั้งสามมองไปยังอวิ๋นซูบนหลังม้า ในดวงตาของนางมีประกายแห่งความเชื่อมั่นในตนเองอย่างลึกล้ำ บนร่างแผ่กลิ่นอายความกดดันที่ยากจะต้านทานออกมา พลันนั้น ไม่ว่าใครก็ตามต่างเชื่อในคำพูดของนาง เชื่อในความมั่นใจและความสามารถของนาง
คุณหนูหกของชางหรงโหวช่างมีเสน่ห์ถึงเพียงนี้!
“ฝ่าา! เฟิ่งอวี่! คุณชายสี่!”
เสียงอันคุ้นเคยดังแว่วมาจากที่ไกลๆ อวิ๋นซูมองไปก็เห็นสตรีแต่งกายงามวิจิตรตามหลังหลิ่วอวิ๋นเฟิงมา ดวงตาของนางพลันหนักอึ้ง
“อย่าบอกพี่ใหญ่ของข้าเล่า ทำเป็ว่าข้าคือครูฝึกม้ามาใหม่ก็แล้วกัน!”
ทั้งสามยังไม่ทันเข้าใจความหมายของอวิ๋นซู หลิ่วอวิ๋นเฟิงก็พาหลิ่วอวิ๋นฮว๋ามาถึงหน้าพวกเขาแล้ว
สตรีงดงามวิจิตรผู้นั้นแย้มยิ้มบาง ค้อมกายให้ทั้งสาม “ถวายพระพรฝ่าา คุณชายใหญ่ คุณชายสี่”
หลิ่วอวิ๋นฮว๋าในตนนี้ทำให้เฟิ่งอวี่นึกถึงตอนที่พบกันครั้งแรก พลันนั้นก็รู้สึกขบขัน มุมปากยกขึ้นอย่างระงับไม่อยู่
สตรีผู้นั้นย่อมไม่พลาดท่าทีของเขา ทั้งยังคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร ใบหน้าจึงแดงระเรื่อ หลุบตาลงอย่างอึดอัด
“คนเมื่อครู่นี้คือ...” หลิ่วอวิ๋นเฟิงมองเห็นหลงของอวิ๋นซูอยู่ไกลๆ ให้ความรู้สึกคุ้นตาราวกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
“เอ้อ...ฮ่าๆ เป็ครูฝึกม้าคนใหม่”
“หืม? ผอมแห้งเช่นนี้เชียว?” ครูฝึกม้าควรจะสูงกำยำมิใช่หรือ?
“อวิ๋นเฟิง ร่างกายของฮูหยินชางหรงโหวดีขึ้นแล้วหรือ?” รัชทายาทยังคงถามอย่างใส่ใจ ทั้งยังเป็การเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างเป็ธรรมชาติ
“ขอบพระทัยฝ่าาที่ทรงเป็ห่วง ร่างกายของท่านแม่ดีขึ้นมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ การแข่งม้ากับแคว้นอี้จะขาดกระหม่อมไปได้อย่างไร เวลาจะต้องรักษาไว้ให้มั่น”
เฟิ่งฉีมองเงาหลังของอวิ๋นซูอย่างเหม่อลอย น่าเสียดาย ฝีมือการขี่ม้าของพี่สามเองก็ร้ายกาจมาก หากไม่ใช่ว่าจะต้องแกล้งป่วย การแข่งม้ากับแคว้นอี้จะขาดเขาไปไม่ได้เด็ดขาด
“อวิ๋นฮว๋า เ้าไปเล่นกับคุณหนูเจ็ดเถิด พวกเราจะไปฝึกม้ากันแล้ว”
หลิ่วอวิ๋นฮว๋าได้ยินจึงคิดได้ว่าพี่ใหญ่ไม่ทราบว่าตนเองกับคุณหนูเจ็ดนั่นมีความหลังกันนิดหน่อย เื่คราวก่อนที่ตนจงใจพานางไปทิ้งไว้ในป่ายังไม่มีใครรู้ ดังนั้นจึงยิ้มบางๆ แล้วเดินไปนั่งที่ด้านหนึ่ง มองไปทางรัชทายาทด้วยใบหน้าอ่อนโยน
รูปร่างหน้าตาของคุณชายทั้งสองแห่งจวนชางติ้งโหวล้วนหล่อเหลางดงามยิ่งนัก แต่เมื่อได้เทียบกับคุณชายสามแล้ว ก็ยังดูจืดจางกว่าบ้าง หลิ่วอวิ๋นฮว๋ารู้สึกเสียดาย สุขภาพของคุณชายสามอ่อนแอจริงหรือ? หากมีโอกาสก็อยากจะพูดคุยกับเขาเสียหน่อย
เมื่อคิดถึงคำของเหลยซื่อที่ว่าชางติ้งโหวตั้งใจจะเสนอให้คุณชายสามแต่งงานกับตน ใบหน้าของหลิ่วอวิ๋นฮว๋าก็อดไม่ได้ที่จะแดงเรื่อ ตอนนี้นางไม่ได้รู้สึกต่อต้านเช่นเมื่อก่อนแล้ว เพียงแต่เสียดายที่ดูเหมือนว่าท่านแม่จะมีความคิดให้ตนเข้าวังร่วมการคัดเลือกนางสนม
แม้ว่ารัชทายาทเองก็ไม่เลว แต่ว่า...
“ฮึ! นางมาทำอะไรที่นี่! ดูสิ นางจ้องฝ่าาตาเป็มัน น่าหมั่นไส้จริง!”
เฟิ่งหลิงยังคงคลอเคลียอยู่ข้างกายอวิ๋นซู นางมองไปยังสตรีที่อยู่ห่างไกลผู้นั้นด้วยใบหน้าเหยียดหยาม “พี่ซู ไปเล่นที่จวนข้ากันเถิด เล่นกับพี่สามของข้าด้วย!”
คุณชายสามอีกแล้ว! เด็กคนนี้พูดถึงคนอื่นไม่เป็หรือไร? เฟิ่งหลิงมักจะพูดถึงคุณชายเฟิ่งหลิงบ่อยครั้ง ทำให้อวิ๋นซูรู้สึกทำตัวไม่ถูก “หลายวันนี้มีเื่ให้ทำคงไม่สะดวกออกนอกจวน หากหลิงเอ๋อร์ชอบก็มาหาข้าที่จวน มาเล่นกับข้าได้”
“จริงหรือ?” เฟิ่งหลิงดวงตาเปร่งประกายแวววาว นี่เป็ครั้งแรกที่มีคนเชิญนางเข้าไปเล่นในจวน!
คุณหนูเจ็ดของชางติ้งโหวมีนิสัยเ้าเล่ห์เอาแต่ใจ นี่เป็เื่ที่ใครๆ ต่างรับรู้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้นางไร้สหายเคียงข้าง ทุกครั้งที่จัดงานเลี้ยงอะไรล้วนแต่เป็ความคิดท่านโหวและฮูหยิน ซึ่งแต่ละคนก็มีจุดประสงค์ของตน
“แต่ว่าข้าไม่อยากเจอหลิ่วอวิ๋นฮว๋า!” คุณหนูเจ็ดปากบุ้ยขึ้นมาในทันที
ไกลออกไป หลิ่วอวิ๋นฮว๋าคอยสังเกตการกระทำทางจากอีกทาง คุณหนูเจ็ดผู้นั้นถึงกับคลอเคลียข้างกายบุรุษเลยเชียวหรือ? ฟ้าสว่างออกขนาดนี้ยังไม่รู้จักอาย! ยังดีที่นางแสดงท่าทางไร้เดียงสาออกมาต่อหน้าผู้อื่น เกรงว่าความบริสุทธิ์เพียงเปลือกนอกนั้นจะใช้เพื่อสร้างเื่ที่ผู้คนไม่อาจอภัยเสียมากกว่า หรือองค์รัชทายาทจะไม่รู้ถึงพฤติกรรมเหลวไหลของเด็กคนนี้?
“อวิ๋นฮว๋า ระวัง!”
เสียงะโเรียกอย่างใดึงความสนใจของหลิ่วอวิ๋นฮว๋ากลับมา นางหันไปมองทว่ากลับมีหินแหลมคมปะทะเข้ากับแก้มของนางอย่างไม่คาดคิด
ทุกคนตกตะลึง หลิ่วอวิ๋นฮว๋าอึ้งอยู่อย่างนั้น จากนั้นบนแก้มของนางเกิดความเจ็บแปลบแผ่ซ่านออกมา นางจึงใช้มือแตะลงไปอย่างไม่รู้ตัว ปลายนิ้วมีรอยเืติดอยู่!
“พี่ใหญ่! นี่...หน้าข้า...”
นางร้องเช่นนี้ ปากแผลยิ่งเปิดออกกว้าง เืไหลหยดลงมาตามแก้ม
บุรุษทั้งสี่พลันล้อมวงเข้ามา หลิ่วอวิ๋นเฟิงรีบตรวจสอบาแบนใบหน้าของนาง “อย่าััแผลนะ! เร็วเข้า รีบกลับไปจวน...”
“หลิงเอ๋อร์ ที่ตัวเ้ามี...” เฟิ่งอวี่มองไปยังดรุณีน้อยพลางะโออกไป
“ไม่มี! ใช้หมดแล้ว!”
“...” เมื่อคืนยังเห็นนางทายาขี้ผึ้งนั่นอยู่เลย! เฟิ่งอวี่พลันเข้าใจกระจ่างว่าเฟิ่งหลิงไม่อยากจะสนใจหลิ่วอวิ๋นฮว๋าคนนี้
“อวิ๋นฮว๋า พวกเรากลับกัน! วางใจเถิด ไม่มีอะไรหรอก!”
หลิ่วอวิ๋นฮว๋าได้ยินคำพูดของเฟิ่งหลิงเมื่อครู่นี้อย่างชัดเจน นังเด็กนั่นมันจงใจชัดๆ! หันไปจ้องดรุณีน้อยอย่างโกรธแค้น ทว่าเฟิ่งหลิงกลับแค่นเสียงออกมาอย่างได้ใจ ใครเขากลัวกัน
“น้องสี่ เื่เมื่อครู่นี้เป็ความผิดของเ้าเต็มๆ” เฟิ่งอวี่มองเฟิ่งฉีอย่างแฝงความหมาย อีกฝ่ายขมวดคิ้ว ความหมายของพี่ใหญ่ฟังดูแล้วออกจะ...
“ดังนั้น หากคุณหนูรองเสียโฉม เ้าต้องรับผิดชอบนาง”
“เช่นนั้นข้าจะกรีดหน้านางอีกข้าง แบบนี้ก็เท่ากันแล้ว!” น้ำเสียงนี้ฟังดูรังเกียจอย่างไม่เก็บซ่อนเลยสักนิด
“...”