เื่ราวของอนุรองกลายเป็ฝันร้ายของคนในจวนโหว โดยเฉพาะเหลยซื่อที่ได้ยินว่าอนุรองกล่าวโทษตนเองต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าและท่านโหว นางโกรธจนไอออกมาไม่หยุด ป่วยหนักยิ่งกว่าเดิม
จวนโหวสงบได้ไม่กี่วัน ฮูหยินผู้เฒ่าก็เรียกอวิ๋นซูเข้ามาในห้อง เนื่องจากอาการของเหลยซื่อยังไม่ดีขึ้น
“ซูเอ๋อร์ ่นี้เ้าได้รับความลำบากไม่น้อย แต่จะอย่างไรนางก็ยังเป็มารดาของเ้า”
เมื่อกล่าวเช่นนี้ อวิ๋นซูจึงเข้าใจความหมายของฮูหยินผู้เฒ่าโดยพลัน นาง้าให้ตนรักษาเหลยซื่อ
“ท่านย่า ซูเอ๋อร์ทราบแล้วเ้าค่ะ”
อวิ๋นซูไม่ได้กล่าวออกไปว่าเหลยซื่อคงจะไม่ยอมให้นางตรวจและรักษาเป็แน่ อย่างไรก็ไปเสียหน่อย หากไม่ให้รักษาก็มีสาเหตุมาจากเหลยซื่อเองแล้ว
เมื่อนางเดินเข้ามาในเขตเรือน หลิ่วอวิ๋นฮว๋าที่เดินมาพบก็ประหลาดใจ “เ้ามาทำอะไร?”
“ท่านพี่ ท่านย่าให้ข้ามาตรวจรักษาท่านแม่เ้าค่ะ”
เสียงของอวิ๋นซูเจือความเหินห่างอยู่ อีกฝ่ายยิ้มอย่างเ็า “เ้าจิตใจดีเช่นนั้นเชียว? เกรงว่าเ้ามาทำร้ายท่านแม่มากกว่ากระมัง?”
“อวิ๋นซู!” หลิ่วอวิ๋นเฟิงที่กำลังประคองยาถ้วยหนึ่งเดินออกมา เมื่อเห็นอวิ๋นซูก็พลันรู้สึกยินดี ความจริงเขาอยากจะเชิญให้น้องหกมาตรวจรักษามารดาก่อนหน้านี้ตั้งนานแล้ว เพียงแต่กลัวว่านางจะไม่เต็มใจ ไม่คิดว่าวันนี้นางจะมาจริงๆ
“พี่ใหญ่”
เมื่ออวิ๋นซูพูดคำว่าพี่ใหญ่ หลิ่วอวิ๋นเฟิงก็ยิ่งทวีความดีใจ “น้องหก เชิญทางนี้”
“พี่ใหญ่!” หลิ่วอวิ๋นฮว๋ากระทืบเท้า เหตุใดพี่ใหญ่ต้องเกรงใจนังสารเลวขนาดนี้ด้วย ท่านแม่กลายเป็เช่นนี้ไม่ใช่เพราะนางหรืออย่างไร
ในห้องมีกลิ่นยาฟุ้งกระจายอย่างเข้มข้น สตรีบนเตียงดูซูบผอมลงไปมากจนอวิ๋นซูแทบจะจำนางไม่ได้ ไม่กล่าวอะไรมากเกินจำเป็ ทำเพียงยื่นมือออกไปจับชีพจรของเหลยซื่อเท่านั้น
“อย่าแตะต้องท่านแม่นะ!”
“อวิ๋นฮว๋า!” หลิ่วอวิ๋นเฟิงกลัวว่าน้องสาวร่วมมารดาจะทะเลาะกับอวิ๋นซูจึงพานางออกไปจากห้อง ยังไม่ทันได้กล่าวเตือนอะไรมากมาย อวิ๋นซูก็เดินตามออกมาแล้ว “พี่ใหญ่เ้าคะ ข้าวางเทียบยาไว้ให้บนโต๊ะแล้ว ให้ท่านแม่ดื่มยามกลางวันและเย็น ผ่านไปสิบวันจึงหยุดยาได้เ้าค่ะ”
เร็วเช่นนี้เชียว? หรือน้องหกอยากจะรีบไปเพราะน้องรอง?
“ใคร้าเทียบยาของเ้ากัน!”
ดรุณีน้อยนางนั้นเดินตรงไปออกจากเขตเรือนโดยไม่มองหลิ่วอวิ๋นฮว๋าที่กำลังโวยวายอยู่เลย เสียงอันอิดโรยดังออกมาจากในห้อง “อวิ๋นเฟิง”
“ท่านแม่?!”
ทั้งสองรีบเข้าไปในห้องด้วยความยินดี สตรีบนเตียงฟื้นแล้ว
“ท่านแม่ รู้สึกอย่างไรบ้างขอรับ? อวิ๋นซูฝังเข็มให้ท่านถึงได้ฟื้นใช่หรือไม่ขอรับ?”
สายตาของเหลยซื่อมีความไม่พอใจปรากฏอยู่ “ตอนที่นังเด็กนั่นเข้ามาข้าก็ฟื้นแล้ว อวิ๋นเฟิง ไปจัดยาตามเทียบยาที่นางเขียนเถิด”
“ท่านแม่? ยาของนางจะทานได้อย่างไรเ้าคะ?” หลิ่วอวิ๋นฮว๋าไม่อยากจะเชื่อหูของตน
อย่างไรก็ตาม เหลยซื่อที่นอนอยู่บนเตียงมาหลายวันนั้นได้คิดอะไรต่างๆ มากมาย เหตุใดการกำจัดลูกอนุคนหนึ่งจะต้องรีบร้อนด้วย ยิ่งไปกว่านั้นการตายของอนุรองทำให้นางยิ่งเข้าใจ ตราบใดที่ขุนเขาเขียวขจียังอยู่ไยต้องกลัวไร้ฟืน1 ตนเองล้มป่วย เด็กนั่นคงดีใจแทบตาย จะยอมให้นางสมหวังได้อย่างไร
“เหตุใดจึงไม่กล้าทาน หากมีปัญหาจริงก็ดี จะได้ลากนางไปตายด้วยกันเสียเลย!”
“ท่านแม่ เพื่อนังเด็กสารเลวนั่นมันไม่คุ้มหรอกเ้าค่ะ!”
หลิ่วอวิ๋นเฟิงไม่ทราบว่าเหตุใดมารดาและน้องสาวของตนจึงได้เกลียดชังน้องหกนัก เขาทำได้เพียงทอดถอนใจ หันกายจะเดินจากไป ทว่ากลับถูกเหลยซื่อเรียกไว้
“อวิ๋นเฟิง รัชทายาท...”
“่นี้ฝ่าารงยุ่งอยู่กับการฝึกม้า จักรพรรดิเซียวแห่งแคว้นอี้จะมาเข้าร่วมงานเลี้ยงต้อนรับในเดือนนี้ขอรับ”
จักรพรรดิเซียวแห่งแคว้นอี้? ดูท่าแล้วองค์จักรพรรดิทรง้าผูกมิตรกับแคว้นอี้ จักรพรรดิเซียวนับเป็บุคคลในตำนานก็มิปาน
“ฝึกม้าหรือ เช่นนั้นเ้าไม่ต้องอยู่รับใช้ข้างกายพระองค์หรือ?”
“ท่านแม่ป่วยหนัก ลูกได้แจ้งให้รัชทายาททรงทราบแล้ว เมื่อร่างกายของท่านแม่ดีขึ้นค่อยไป”
เหลยซื่อขมวดคิ้ว “ร่างกายของแม่ไม่ได้ร้ายแรงอะไร เ้าควรไปได้แล้ว พาอวิ๋นฮว๋าไปด้วย”
ทั้งสองใ ปัญหาก็คือ หลิ่วอวิ๋นฮว๋าขี่ม้าไม่เป็
...
“คุณหนู คุณหนูเจ็ดจวนชางติ้งโหวส่งจดหมายมาเ้าค่ะ”
ในมือของอวี้เอ๋อร์มีจดหมายที่เพิ่งไปรับมาจากพ่อบ้านชรา “เหมือนจะเชิญคุณหนูไปขี่ม้าด้วยกันเ้าค่ะ”
ในสมองของอวิ๋นซูพลันปรากฏใบหน้างดงามน่ารักของคุณหนูเฟิ่งหลิงขึ้นจึงยิ้มออกมาน้อยๆ แล้วเปิดดูจดหมาย จู่ๆ นางก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “หลังจากที่ชุ่ยเอ๋อร์ไปแล้ว เ้าคงโดดเดี่ยวมากสินะ?”
หลังจากที่อวิ๋นซูพาชุ่ยเอ๋อร์ไปพบฮูหยินผู้เฒ่าและเล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่อนุรองกระทำออกมา นางก็สั่งให้อวี้เอ๋อร์เตรียมเงินจำนวนหนึ่ง แล้วให้สาวใช้ผู้นั้นออกไปทางประตูหลัง สาวใช้ทั้งสองเติบโตมาด้วยกัน ความรู้สึกย่อมไม่ธรรมดา อวิ๋นซูเห็นว่าอวี้เอ๋อร์ซื่อสัตย์กับตนจึงให้ความจริงใจกับสาวใช้ผู้นี้
ใบหน้าของอวี้เอ๋อร์ปรากฏรอยยิ้มจนใจ “ไม่เ้าค่ะ ได้อยู่ข้างกายคุณหนู อวี้เอ๋อร์ก็ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวแล้วเ้าค่ะ”
“หากอวี้เอ๋อร์รู้สึกเหงา ก็มาฝึกวิชาต่อสู้กับชุนเซียงและเซี่ยเหอสิ”
สาวใช้ทั้งสองเดินออกมาจากหัวมุม อวี้เอ๋อร์พลันหน้าแดง “พี่สาวทั้งสองแย่จริง ข้าบอกแล้วว่าอย่าบอกคุณหนู”
อย่างนางจะเรียกว่าต่อสู้ได้ที่ไหนกัน คงเรียกว่าเล่นเป็ลิงได้เท่านั้น นางแอบเรียนกับพี่สาวทั้งสองตอนกลางวัน ไม่กล้าให้คุณหนูเห็น เกรงว่าจะถูกหัวเราะเอาได้
เมื่อเห็นว่าสาวใช้ทั้งสามเข้ากันได้เป็ปี่เป็ขลุ่ย อวิ๋นซูก็วางใจได้บ้าง วันหน้ายังมีเื่ต้องกระทำ นาง้าสาวใช้ที่จงรักภักดีไม่มีใจเป็อื่น ชีวิตของตน บางทีก็ต้องฝากไว้ในมือพวกนาง
ตอนกลางวัน
ณ สนามฝึกม้าของราชวงศ์ ร่างงามร่างหนึ่งนั่งยืดคออยู่บนหลังลูกม้า เหตุใดพี่ซูยังไม่มาอีกเล่า
หลังจากที่เฟิ่งฉีได้คบค้าสมาคมกับรัชทายาท ก็ไม่ได้มีความรู้สึกกีดกันราชนิกุลอีกต่อไป ตอนนี้เขากำลังมองดรุณีน้อยที่กำลังใจลอยอยู่ไม่ไกล จึงเข้าไปใกล้อย่างเงียบเชียบ
“หลิงเอ๋อร์ เ้าชอบพี่สามหรือพี่สี่มากกว่า?”
“พี่สาม!”
เ้าเด็กน่าตายนี่! คนที่ช่วยนางเก็บกวาดเื่ยุ่งยากทุกครั้งมันเขามิใช่หรือ? อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าเฟิ่งฉีจะคาดเดาคำตอบของนางได้นานแล้ว “เช่นนั้นชอบพี่สามหรือพี่ซูมากกว่า?”
เฟิ่งหลิงกลอกตาใส่เขา “ถ้าพี่สามแต่งกับพี่ซูก็ไม่มีปัญหานี้แล้วนี่? โง่จริง!”
“...”
“ฮ่าๆๆ เช่นนั้นหากพี่ใหญ่แต่งกับพี่ซู เ้าจะชอบพี่สามหรือพี่ซูมากกว่าเล่า?”
เสียงที่ดังมาจากข้างหลังทำให้ทั้งคู่สะดุ้ง ใบหน้าของเฟิ่งอวี่ยกยิ้มทีเล่นทีจริง เฟิ่งหลิงเบิกตาโต “ไม่อนุญาตให้แย่งกับพี่สาม!”
“ฮ่าๆๆ ...” เป็ดังคาด น้องเจ็ดชอบน้องสามที่สุดจริงๆ
เฟิ่งอวี่หัวเราะพลางจูงม้าเดินไปยังทิศทางของรัชทายาทโดยมีเฟิ่งฉีตามไป “พี่ใหญ่ เมื่อครู่นี้พี่พูดจริงหรือว่า...”
ทว่าอีกฝ่ายกลับทำท่างมีเลศนัย “เ้าคิดว่าไงเล่า?”
ที่วัดเทียนฝู เขามักจะรู้สึกว่าท่าทางที่พี่ใหญ่มีต่อหลิ่วอวิ๋นซูนั้นไม่ค่อยธรรมดา หรือเขาถูกใจคุณหนูหกเข้าจริงๆ? เช่นนั้นพี่สามจะทำเช่นไร?
ตงฟางซวี่มองม้าตรงหน้าที่เลือกออกมาจากม้านับพัน ใบหน้าดูหนักแน่นจริงจัง
“ฝ่าากำลังคิดเื่เปรียบเทียบม้าอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ม้าแคว้นอี้ไม่รู้เพราะเหตุใด ทุกตัวจึงได้แข็งแรงเหมือนกันหมด” เขายื่นมือออกไปตบคออันแข็งแกร่งของสัตว์สี่เท้าตรงหน้า ม้าหลายตัวนี้แม้จะเป็ม้าพันธุ์ดี แต่หากเทียบกับแคว้นอี้ก็นับว่าแย่อยู่มาก
“น้ำและหญ้าของแคว้นอี้อุดมสมบูรณ์ ม้าที่เลี้ยงออกมาย่อมดีเป็ธรรมดา แคว้นของพวกเราอากาศหนาวเย็นมีหิมะตก ม้าจึงได้กินแต่หญ้าแห้ง จะโตมาแข็งแรงได้อย่างไร”
เฟิ่งอวี่มองแขนของตงฟางซวี่อย่างกังวล “าแของพระองค์ยังไม่หายดี ทางที่ดีอย่าขี่ม้าบ่อยนักเลยพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อพูดถึงาแที่แขน ตงฟางซวี่ก็นึกถึงคุณหนูหกแห่งจวนชางหรงโหว ยาสมานแผลที่ได้รับมาจากเฟิ่งอวี่อัศจรรย์นัก ทาที่แผลไม่กี่วันก็ไม่เจ็บแผลแล้ว เมื่อนำยาสมานแผลที่เหลือมอบให้หมอหลวง ผลคือพวกเขาไม่สามารถปรุงยาที่เหมือนกันออกมาได้
ได้ยินว่ามีการใส่วัตถุดิบที่แม้แต่หมอหลวงเองก็ยังไม่ทราบชื่อลงไป
“หากมีโอกาส ลองถามคุณหนูหกเสียหน่อยว่านางปรุงยาสมานแผลอย่างไร”
เฟิ่งอวี่ยิ้ม “อีกสักครู่ฝ่าาสามารถถามด้วยตัวเองได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
“เ้าจะบอกว่าคุณหนูหกจะมาหรือ?” ตงฟางซวี่ดีใจ
“น้องเจ็ดของกระหม่อมดูเหมือนจะหลงเสน่ห์นางเสียแล้ว วันๆ เอาแต่ร้องหาพี่ซูจนกระหม่อมปวดหัว เดิมทีวันนี้นางไม่อยากมา แต่จู่ๆ ก็คิดว่าจะนัดคุณหนูหกให้มาด้วยกัน นางจึงกระตือรือร้นยิ่งกว่าผู้ใด”
ในสมองของรัชทายาทอดไม่ได้ที่จะปรากฏภาพใบหน้าเล็กๆ ขึ้นมา นิสัยสุขุมเยือกเย็นเช่นนั้นเขาไม่คิดว่าคุณหนูเจ็ดจะชื่นชอบเช่นกัน บางทีนี่อาจเป็สิ่งที่เรียกว่าโชคชะตาก็เป็ได้
“พี่ซู!”
ตอนนี้เองเสียงเรียกอย่างยินดีของเฟิ่งหลิงดังขึ้น นางขี่ลูกม้าตัวน้อยเข้าไป ทุกคนจึงพากันมองไปยังผู้มาเยือน ทว่ากลับต้องตกตะลึงไปพร้อมๆ กัน อวิ๋นซูในยามนี้สวมใส่ชุดบุรุษ เมื่อไม่มีการประทินโฉม กลับทำให้ใบหน้างสุกใสไร้ซึ่งการแต่งแต้มมีความคล้ายบัณฑิตอ่อนแอเสียหลายส่วน ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็เป็คุณชายน้อยรูปงามผู้หนึ่ง!
“แผลที่เท้าของหลิงเอ๋อร์ดีขึ้นแล้วหรือ?”
เฟิ่งหลิงถกกางเกงของตนขึ้น ปรากฏเรียวขาขาวราวหิมะ “ดูสิเ้าคะ ไม่มีรอยแผลเป็อะไรแล้ว!”
ท่าทางไม่สนใจอะไรเช่นนั้นทำให้อวิ๋นซูอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “หลิงเอ๋อร์ ท่าทางเช่นนี้อย่าให้ผู้อื่นเห็นจะดีกว่า”
ดรุณีน้อยผู้หนึ่งจากครอบครัวผู้ดีมีตระกูล ถกกางเกงขึ้นตามใจต่อหน้าฝูงชน นิสัยเช่นนี้หากเคยชินไปจะไม่ดี
“ที่นี่ไม่มีผู้อื่น พี่ซูเป็พี่สะใภ้สามของข้า!”
สะใภ้สาม? อวิ๋นซูแปลกใจเล็กน้อย ในหัวพลันนึกถึงคำพูดสุดท้ายของคุณชายเฟิ่งหลิงที่วัดเทียนฝู ทันใดนั้นบุรุษทั้งสามที่เดินมาจากตรงหน้าพลันทำให้นางรีบสลัดความคิดในหัวทิ้ง เตะขาครั้งหนึ่ง ม้าผอมแห้งอ่อนแอตัวนั้นก็วิ่งเหยาะๆ ตรงไปข้างหน้า
“คุณหนูหก ไม่เจอกันเสียนาน!”
“ถวายพระพรฝ่าา คุณชายเฟิ่ง คุณชายฉี”
สายตาของพวกเขาย้ายไปยังม้าของอวิ๋นซู นี่...หรือว่าจวนชางหรงโหวไม่มีม้าดีๆ แล้ว? ก็ใช่ คุณหนูหกเป็สตรีที่ยังไม่แต่งงาน ควรจะไม่ชอบขี่ม้าถึงจะถูก
อวิ๋นซูกำลังมองไปยังม้าพันธุ์ดีแต่ละตัวในสนามฝึกม้า ส่วนบุรุษทั้งสามก็ได้มาถึงจุดเริ่มต้นของสนามแข่งแล้ว
“มาดูกันหน่อยว่าม้าที่ผู้ใดเลือกจะเร็วที่สุด!”
“คราวนี้ไม่มีหมีสีน้ำตาลแล้ว ข้าไม่ยอมแพ้แน่!” รัชทายาทดึงบังเหียนขึ้น ยิ้มเยาะกับตนเอง
“ย่ะ!”
ม้าเร็วทั้งสามทะยานออกไปราวลูกศรที่ถูกยิงออกจากสายธนู อวิ๋นซูมองเส้นทางม้าวิ่งข้างหน้า เกิดความรู้สึกเก่าๆ ที่น่าคิดถึงขึ้นโดยปริยาย จึงอดไม่ได้ที่จะกระตุ้นม้าให้วิ่งเข้าไปในเส้นทางอันมีอุปสรรคกีดขวาง
*********************
1 ตราบใดที่ขุนเขาเขียวขจียังอยู่ไยต้องกลัวไร้ฟืน หมายถึง หากมีชีวิตอยู่ย่อมมีความหวัง