ขณะกล่าว ฉินอิ่งเยว่ลุกขึ้นกะทันหัน มองเฉินอ๋องด้วยแววตามากความรู้สึก “พี่เฉิน หากไม่ใช่ว่าขณะอยู่ในงานเลี้ยง ท่านไม่ยับยั้งชั่งใจและเอาแต่ดื่มสุรากลัดกลุ้ม ข้าคงไม่เชื่อว่าท่านรู้สึกกับข้าจากใจจริง... ข้านึกว่าท่านคงปฏิบัติต่อข้าไม่ต่างจากสตรีนางอื่น แต่วันนี้ข้าถึงได้รู้ว่าท่านปฏิบัติต่อข้าต่างจากผู้อื่นอยู่บ้าง ถึงแม้จะไม่ชอบข้าเหมือนที่ชอบพระชายาก็ตาม...”
“พี่เฉิน หลังจากรู้สิ่งเหล่านี้ ข้าถึงได้มาหาท่าน พี่เฉิน ข้ารู้ว่าถึงอย่างไรภายในใจของท่านก็ยังมีข้าอยู่บ้าง แค่นี้ข้าก็พอใจแล้ว... พี่เฉิน ในเมื่อเื่มาถึงขั้นนี้แล้ว นอกจากการทุ่มเทแรงใจปรนนิบัติองค์รัชทายาทและทำให้เขาพอใจ ข้าก็ไม่มีทางออกอื่นแล้ว พี่เฉิน ท่านลืมข้าเถิด...”
ฉินอิ่งเยว่คิดว่าการพูดความจริงกึ่งโน้มน้าวเช่นนี้สามารถสะกิดความรู้สึกเสียดายและไม่ยินยอมของเฉินอ๋อง เมื่อคิดว่าใกล้ถึงเวลาแล้ว ด้วยเหตุนี้นางจึงมองเฉินอ๋องด้วยแววตาเปี่ยมความรู้สึกจนไม่อาจบรรยายด้วยคำพูดทั้งชีวิต ทันใดนั้นเป็ฝ่ายโอบกอดเฉินอ๋องไว้แนบอก
เฉินอ๋องทุกข์ทรมานเป็อย่างมากเพราะฤทธิ์ยา “เยวียนหยางจุ้ย” ยามนี้ยังถูกฉินอิ่งเยว่โอบศีรษะของเขาให้แนบสนิทกับส่วนอ่อนนุ่มที่สุดจนได้ยินเสียงหัวใจของนาง...
ภายในหัวสมองของเขาเกิดความร้อนปะทุขึ้นมาทันใด รับรู้เพียงความร้อนแล่นผ่านทั่วทั้งร่าง สติสัมปชัญญะไม่หลงเหลือแม้แต่นิด หลังพร่ำเรียกเสียงทุ้มว่า “เยว่เอ๋อร์” จึงผลักร่างฉินอิ่งเยว่นอนราบลงบนโต๊ะทันที
ฉินอิ่งเยว่ไม่ขัดขืน นางเพียงแต่ผลักและเอ่ย “พี่เฉิน ท่านอย่าทำเช่นนี้ ข้ากลายเป็ผู้หญิงขององค์รัชทายาทแล้ว ร่างกายของข้าไม่สะอาด...”
นางรู้ว่าการพูดเช่นนี้ถือเป็การกระตุ้นเฉินอ๋อง เพราะเฉินอ๋องจะต้องไม่รังเกียจนางอย่างแน่นอน ต่อให้ตอนนี้เฉินอ๋องยังมีสติอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ทางหักใจหยุดการกระทำ เพราะนั่นเท่ากับทำให้นางปวดร้าว
เมื่อเฉินอ๋องได้ยินนางกล่าววาจาน้อยเนื้อต่ำใจเช่นนี้จึงยิ่งลุ่มหลงเมามาย ตอนนี้ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่มีต่อนาง ความคิดเพียงหนึ่งเดียวที่มีคือ เขาน่ะหรือจะรังเกียจนาง? เขาจะรังเกียจนางได้อย่างไร?
เพราะฤทธิ์สุราและความรู้สึกมากล้น... ทำให้ภายในสมองของเขาสับสนวุ่นวาย นอกจากน้ำเสียงของนาง เขาก็ไม่อาจได้ยินเสียงอื่น สติสัมปชัญญะแม้เพียงน้อยนิดก็ไม่หลงเหลืออย่างเกินความคาดหมาย...
ยามนี้เฉินอ๋องสติพร่าเลือน ทว่าฉินอิ่งเยว่กลับมีสติครบถ้วน ยิ่งไปกว่านั้นร่างของนางยังแนบลงกับโต๊ะ จึงทำให้ได้ยินเสียงจากภายนอกชัดเจนกว่าเดิม
เสื้อคลุมตัวนอกของนางถูกเฉินอ๋องถอดออก เผยให้เห็นหัวไหล่เกลี้ยงเกลา...
ฉินอิ่งเยว่นิ่งฟังเสียงฝีเท้าที่เข้าใกล้มาเรื่อยๆ
ทันใดนั้นออกแรงขัดขืนและเอ่ย “พี่เฉิน ท่านอย่าทำเช่นนี้... ท่านอย่าทำเช่นนี้... พวกเราจะทำเช่นนี้ไม่ได้...”
เมื่อเห็นนางขัดขืน ทันใดนั้นเฉินอ๋องจึงได้สติขึ้นมาเล็กน้อย
ทว่าฉินอิ่งเยว่ยังเอ่ยอีกว่า “ข้าไม่สะอาดแล้วจริงๆ...”
เขาเห็นนางร้องไห้
เมื่อเห็นเฉินอ๋องโน้มกายลงมา แววตาของฉินอิ่งเยว่ฉายแววลำพองใจโดยที่ไม่อาจสังเกตเห็น และแน่นอนว่าตอนนี้เฉินอ๋องมองไม่เห็น
“เฉินอ๋องเตี้ยนเซี่ย! ท่านปล่อยหม่อมฉัน...ขอร้องนะเพคะ...”
เมื่อได้ยินฝีเท้าอยู่ตรงหน้าประตู จู่ๆ ฉินอิ่งเยว่ก็เปลี่ยนสรรพนามโดยการเรียกเขาว่า “เฉินอ๋องเตี้ยนเซี่ย” นอกจากนั้นยังขัดขืนรุนแรงกว่าครั้งแรก
เฉินอ๋องได้ยินเสียงฝีเท้าหน้าประตูเช่นกัน
ทว่า...สายเกินไปเสียแล้ว...
“น้องสาม!” ประตูถูกคนผู้หนึ่งถีบจนเปิดออกโดยพลัน!
สิ่งที่ตามมา แน่นอนว่าคือองค์รัชทายาทที่แสดงสีหน้ากรุ่นโกรธ และบรรดาแเื่ที่มาดูเื่สนุก
เฉินอ๋องหยัดกายขึ้นยืนและส่ายหน้าอย่างแรง...
เมื่อชำเลืองมองฉินอิ่งเยว่ที่ถูกถอดเสื้อตัวนอกและเปลือยหัวไหล่อยู่บนโต๊ะ เขาจึงรู้แล้วว่านี่คือฝีมือของเขา
เฉินอ๋องส่ายหน้าเพื่อให้ตนมีสติมากขึ้น ใบหน้าสุขุมราบเรียบเป็อย่างมาก ไร้ซึ่งท่าทางลุกลี้ลุกลน
นี่คือฝีมือเขาจริงๆ ในเมื่อตกหลุมพราง เขาจึงไม่อาจแก้ตัว ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่จำเป็ต้องแก้ตัว
“น้องสาม เปิ่นกงหวังว่าเ้าจะมีคำอธิบาย” องค์รัชทายาทกล่าวเสียงขรึม
เฉินอ๋องจัดระเบียบอาภรณ์ ฤทธิ์ยาไม่สลายหายไป ในหัวยังคงมึนเบลอ แต่ไม่ถึงขั้นเป็ใบ้พูดอะไรไม่ออก
เฉินอ๋องชำเลืองมองฉินอิ่งเยว่แล้วเอ่ยทั้งรอยยิ้ม “แท้จริงแล้วคือฮุ้ยเหม่ยเหรินของพี่ใหญ่หรอกหรือ น้องดื่มสุราไปมากจึงเลอะเลือนเล็กน้อย คิดว่าผู้ที่เข้ามาคือพระชายาของตนเสียด้วยซ้ำ”
เขายังคงเผยสีหน้าท่าทีเช่นคนเสเพล คล้ายเื่นี้ไม่ใช่เื่ใหญ่แต่อย่างใด
“น้องสาม เหตุผลเช่นนี้ของเ้าช่างฟังไม่ขึ้นสักนิด!” น้ำเสียงขององค์รัชทายาทยังคงเจือความกรุ่นโกรธยิ่งนัก
แม้ตอนนี้ภายในใจของเขาไม่ได้กรุ่นโกรธและพอใจเป็อย่างมากเสียด้วยซ้ำ ทว่าใบหน้ากลับแสดงออกราวกรุ่นโกรธยิ่งนัก ท่าทางเหมือนรู้สึกเ็ปไม่น้อย
หากไม่ทำเช่นนี้จะทำให้เป็เื่ใหญ่ได้อย่างไร?
“น้องชายลบหลู่ฮูหยินเสียแล้ว ต้องขออภัยฮูหยินด้วย” เฉินอ๋องค้อมคำนับฉินอิ่งเยว่ที่นั่งร้องไห้อยู่บนโต๊ะ เอ่ยขอโทษด้วยความจริงใจยิ่งนัก
ยามนี้ฉินอิ่งเยว่เอาแต่ร้องไห้โดยไม่เอ่ยสิ่งใด
นี่คือวิธีที่นางคิดไว้นานแล้ว
ต่อให้นางเป็คนลงมือทำเื่นี้ แต่ไม่มีทางทำให้เฉินอ๋องรู้ว่าเื่นี้เกี่ยวพันถึงนาง นาง้าผู้ถูกกระทำยามอยู่ต่อหน้าเฉินอ๋อง เป็ผู้ที่ถูกองค์รัชทายาทใช้เพื่อหาผลประโยชน์เข้าตัว และกลายเป็ผู้ที่ถูกกระทำโดยไม่รู้เื่รู้ราวอะไรทั้งนั้น
นางไม่อาจสูญเสียความรักความชอบที่เฉินอ๋องมีต่อนางเพราะเหตุนี้ ต้องรู้ไว้ว่าความรักในเกียรติอันจอมปลอมของบุรุษก็ดื้อรั้นเช่นกัน เมื่อยังเป็ที่ชอบพอของเฉินอ๋อง องค์รัชทายาทถึงจะยิ่งรู้สึกว่านางมีค่า สิ่งของที่ทุกคนต่างแย่งชิงก็คือสิ่งล้ำค่า และสิ่งที่มีเพียงคนคนเดียว้า อย่างมากที่สุดก็เรียกได้ว่า— สิ่งของ
ก่อนหน้านี้องค์รัชทายาท้าให้นางบอกว่าเฉินอ๋องล่วงเกินนางอย่างกัดไม่ปล่อย แม้นางคิดว่าการทำเช่นนี้ไม่เหมาะสมนัก แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ออกไป เพราะนางนึกอยากให้องค์รัชทายาทรู้สึกสงสารนางเช่นกัน
หลังผ่านเื่ราวหลายต่อหลายเื่ องค์รัชทายาทเห็นนางเป็สตรีที่มีความเฉลียวฉลาดผู้หนึ่ง และในตอนนี้หญิงฉลาดผู้นี้กลับลืมเื่ที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้าและเอาแต่ร้องไห้ แสดงให้เห็นว่านางกล้ำกลืนฝืนใจยิ่งนัก องค์รัชทายาทจะไม่สงสารได้อย่างไร?
ตอนนี้ภายในใจของฉินอิ่งเยว่พอใจกับดุลยพินิจของตน ทว่าเบื้องหน้ากลับเอาแต่ร้องไห้ไม่ยอมหยุด นอกจากนั้นยิ่งร้องยิ่งแลดูน่าสงสาร
เมื่อเห็นฉินอิ่งเยว่เอาแต่ร้องไห้ มิหนำซ้ำยังร้องไห้อย่างน่าสงสารเช่นนี้ องค์รัชทายาทเริ่มรู้สึกสงสารเสียแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงไม่รอให้ฉินอิ่งเยว่ชี้ตัวเฉินอ๋อง โดยเอ่ยกับเฉินอ๋องเองว่า “น้องสาม เ้าประพฤติผิดจรรยาเช่นนี้ คิดจะขอโทษเพียงประโยคเดียวก็จบเื่งั้นรึ? น้องสาม เ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรคือความซื่อสัตย์และหิริโอตตัปปะ?”
“พี่ใหญ่” เฉินอ๋องก็จนปัญญายิ่งนัก “ข้าเห็นฮูหยินเป็พระชายาจริงๆ คือ...ข้าเข้าใจผิด ไม่ควรกล่าวคำขอโทษงั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“พี่ใหญ่... เื่นี้ค่อนข้างแปลกประหลาด...” เฉินอ๋องไม่รอให้องค์รัชทายาทซักถามด้วยความกรุ่นโกรธ จึงเอ่ยประโยคแฝงความนัยเช่นนี้
และแน่นอนว่าเขาไม่รอให้องค์รัชทายาทถามว่าอะไรแปลก พลันเอ่ยขึ้นว่า “หลังพวกเรามาที่เรือนชิ่นฟางเก๋อ พระชายารู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย ทว่าเปิ่นหวางกลับรู้สึกหนักศีรษะเป็อย่างมาก ไม่เพียงแต่รู้สึกหนักศีรษะ ร่างทั้งร่างนี้ยังร้อนรุ่มยิ่งนัก อีกทั้งยังทรมานเหลือเกิน พระชายาเห็นเปิ่นหวางเมามายจนเป็เช่นนี้ จึงลุกลี้ลุกลนจะไปตักน้ำเย็นมาลูบศีรษะให้เปิ่นหวาง เปิ่นหวางเห็นพระชายาออกไปข้างและตามด้วยเสียงร้องอย่างเ็ปของพระชายา หลังจากนั้นเป็เวลาที่พระชายาควรจะกลับมาจากตักน้ำ ฮูหยินก็เข้ามาเสียแล้ว”
เฉินอ๋องชำเลืองมองฉินอิ่งเยว่ เขาไม่อาจหักใจหยิบยกนางมาพูดจาหยอกล้อ ทว่าวินาทีนี้ เขาไม่มั่นใจว่าเื่นี้ไม่เกี่ยวกับนาง
เพราะก่อนองค์รัชทายาทจะเข้ามา จู่ๆ นางกับเปลี่ยนสรรพนามเป็ “เฉินอ๋องเตี้ยนเซี่ย” ถือว่าค่อนข้างแปลกประหลาด
ด้วยเหตุนี้เขาจึงเอ่ยหยอกเย้า “พี่ใหญ่ ท่านว่า...คงไม่ใช่เพราะพระชายากับฮูหยินซุกซน ตกลงกันไว้ว่าจะมาหยอกล้อเปิ่นหวางกระมัง? หรือว่า พี่ใหญ่ก็รู้เื่ล้อเล่นนี้เช่นกัน?”
“เ้าพูดจาไร้สาระอะไรกัน?” องค์รัชทายาทยังคงรักษาท่าทางกรุ่นโกรธเอาไว้ “เ้าทำผิดก็คือผิด ยังจะพูดเื่ล้อเล่นไม่ล้อเล่นอะไรอีก? เ้าลองบอกมาสิว่า เ้าล่วงเกินพี่สะใภ้ ควรมีโทษสถานใด?”
องค์รัชทายาทไม่เปิดโอกาสให้เฉินอ๋องผู้อะไร เอ่ยต่อทันทีทันใดว่า “หากเ้าล่วงเกินผู้อื่นยังเท่าไหร่ จะเป็สตรีนางใดก็ได้ เปิ่นกงมอบให้เ้าเสียก็สิ้นเื่ ทว่าเหตุใดต้องเป็ฮุ้ยเหม่ยเหรินที่เปิ่นกงให้ความสำคัญมากที่สุด? เ้าไม่เห็นหรือว่าเปิ่นกงคิดจะให้เกียรตินางขึ้นเป็พระวรชายาองค์รัชทายาท?”
คำกล่าวเช่นนั้นของเฉินอ๋อง้าให้ทุกคนรับรู้ถึงความนัยแอบแฝงของเื่นี้ และรู้สึกได้ว่าเขากำลังถูกใส่ร้าย
แต่เมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับตา ยิ่งไปกว่านั้นเขายังแสดงท่าทีกรุ่นโกรธอยู่ตรงหน้าเช่นนี้ มีหรือคนเหล่านี้จะกล้าพูดอะไร? นอกจากเ้าสามและเด็กผู้หญิงสองคนนั้น บรรดาผู้คนที่เขาเชิญมาในวันนี้ล้วนมีแต่คนของเขาทั้งนั้น และเด็กสองคนนั้นถูกเขาสั่งให้ไปเที่ยวเล่นอยู่อีกด้านหนึ่ง ส่วนเ้าสี่... หากไม่ได้จังหวะที่เหมาะสม เขาคงไม่มีทางปริปากพูดอะไรแน่นอน
แต่เขาไม่มีทางปล่อยให้เ้าสี่มีโอกาสช่วยพูดแก้ต่างอย่างแน่นอน
ยามนี้เ้าสามอยู่ในวงล้อมของศัตรู ต่อให้เป็เทพเซียนบน์ชั้นสูงสุดก็ทำอะไรไม่ได้
เริ่มได้ยินผู้คนทางด้านหลังถกเถียงกันว่า “ครั้งนี้เฉินอ๋องทำตัวเ้าชู้เกินไปเสียแล้ว ช่างใช้ไม่ได้จริงๆ...”
ผู้คนในเหตุการณ์ทั้งสิบกว่าคนเหล่านี้ คือพยานที่ดีที่สุดสำหรับเื่ฉาวโฉ่ของเ้าสาม
“เ้าสาม เื่นี้เปิ่นกงไม่อาจให้อภัยโดยไร้หลักการ ในฐานะที่ข้าเป็พี่ชาย ครั้งนี้จะต้องทำให้เ้าได้รู้ว่าอะไรคือเหตุและผลที่ถูกต้อง เ้าตามเปิ่นกงเข้าวังเถิด พวกเราไปให้เสด็จย่าตัดสินเื่นี้ ดูสิว่าเสด็จย่าคิดว่าพอจะให้อภัยเ้าได้หรือไม่...”
เมื่อได้ยินองค์รัชทายาทบอกว่าจะเข้าวัง เฉินอ๋องกลับเปล่งเสียงหัวเราะออกมา “ก็ดีพ่ะย่ะค่ะ เื่มาถึงขั้นนี้แล้ว จะไม่ให้ความร่วมมือพี่ใหญ่จนจบได้อย่างไร?”
เมื่อเห็นรอยยิ้มแฝงความนัยของเขา ทันใดนั้นผู้คนด้านหลังจึงพอจะดูออกถึงเจตนาขององค์รัชทายาท เหล่าคุณชายที่กำลังลอบวิจารณ์ ยามนี้ต่างพากันรับรู้และเงียบเสียงลง
คำพูดของเฉินอ๋องช่างมีลับลมคมในยิ่งนัก ั้แ่เริ่มเล่าเหตุการณ์ของเื่นี้จนถึงประโยคเมื่อครู่ บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าองค์รัชทายาทจงใจใส่ร้ายเขา
เดิมทีพวกเขาแค่จะแสดงไมตรีต่อองค์รัชทายาท คิดว่าถึงอย่างไรก็ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับตา จึงอยากจะประณามเฉินอ๋องสักหน่อย ถึงอย่างไรก็เป็เพียงการวิพากษ์วิจารณ์บนหลักคุณธรรมและจรรยาเท่านั้น เฉินอ๋องคงไม่คิดแค้นแต่อย่างใด นอกจากนั้นองค์รัชทายาทยังจะรับน้ำใจที่พวกเขาคอยผสมโรงอยู่ข้างหลัง
แต่ตอนนี้...หากองค์รัชทายาทคิดจะใส่ร้ายเฉินอ๋องจริงๆ การวิจารณ์เช่นนี้ของพวกเขาจะไม่กลายเป็การจงใจสาดน้ำสกปรกอย่างนั้นหรือ?
บรรดาคุณชายเหล่านี้ มีผู้ใดไม่ได้คลานอยู่ท่ามกลางความมั่งคั่งั้แ่เด็กบ้าง? พวกเขาล้วนรู้ซึ้งถึงความสัมพันธ์และความบาดหมางระหว่างผู้คนเป็อย่างดี ไม่มีทางทำเื่เช่นการเดินลุยน้ำขุ่นอย่างแน่นอน
เพราะฉะนั้นหลังเฉินอ๋องกล่าวเช่นนี้ บรรยากาศจึงเริ่มอึดอัดขึ้นมา
จิ้งอ๋องเอ่ยทั้งรอยยิ้มได้ถูกเวลา “หือ? เหตุใดจึงไม่พบพระชายาพี่สะใภ้เล่า? น่าแปลกเสียแล้ว อยู่ในจวนดีๆ เหตุใดจึงไม่เห็นเสียแล้ว? คงไม่ได้ถูกเด็กสองคนนั้นดึงไปเล่นด้วยกระมัง?”