“ปากคอเราะร้าย คารมก็ไม่เลว แต่พลังฝีมือเพียงแค่ระดับขั้นแรกขอบเขตเยี่ยมยุทธ์? สัตว์อสูรคุณภาพระดับแปด? น่าเสียดายที่ฝีมือต่ำเกินไป” ถูเชียนจวินหัวเราะอย่างไม่แยแส ส่ายหัวไปมาพูดกับเสว่อู๋เหินที่อยู่ข้างๆ
“เมื่อเทียบกับคุณชายแล้วแน่นอนว่าเขาไม่มีค่าแม้แต่น้อย เพียงแต่เ้าเด็กคนนี้ยังพอมีไพ่ตายอยู่บ้าง อู๋เหินเคยพลาดท่าให้เขามาครั้งหนึ่ง” เสว่อู๋เหินยิ้มออกมาเล็กน้อย ไม่ว่าน้ำเสียงหรือสีหน้าล้วนแสดงออกมาอย่างนอบน้อมไร้ที่ติ
“อ้อ! ก็แค่เพียงเห็บหมัดตัวหนึ่งที่ะโได้สูงกว่าตัวอื่นๆ แค่นั้นเองไม่ควรค่าแก่การให้ความสนใจ หลังจากงานประลองาระหว่างเขตปกครองครั้งนี้จบลง หากเ้ายังมีชีวิตรอดกลับมาจงเดินทางไปนครแห่งเทพ เพื่อต่อไปจะได้ติดตามข้าเป็อย่างไร?” ถูเชียนจวินพอใจกับท่าทีของเสว่อู๋เหิน มองเห็นแววปรารถนาที่เร่าร้อนภายในดวงตาของเขาจึงพูดออกมาอย่างราบเรียบ
“ขอบคุณคุณชาย!” ได้ยินคำของถูเชียนจวิน ไฟปรารถนาภายในดวงตาเสว่อู๋เหินยิ่งเร่าร้อนขึ้นกว่าเดิม เขาตื่นเต้นดีใจเป็อย่างมากกำลังจะคุกเข่าลงแสดงความขอบคุณ แต่ถูเชียนจวินกลับโบกมาไปมา ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่เพียงยืนอยู่ด้านหลังอย่างเคารพนอบน้อมมากยิ่งขึ้น
มองดูเย่ชิงหานที่ยืนพูดฉอดๆ อยู่กลางเวที เสว่อู๋เหินมุมปากปรากฏรอยยิ้มจางๆ ขึ้นมา ร่างกายของเขาสั่นสะท้านเล็กน้อยแสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้นดีใจภายในใจ เขารู้จักกับถูเชียนจวินเมื่อสิบปีก่อนตอนที่ออกไปท่องเที่ยวฝึกฝนอยู่ข้างนอก ตอนนั้นถูเชียนจวินยังเป็เด็กหนุ่มอายุสิบห้าสิบหกที่ยังชอบเที่ยวเล่นอยู่ เขาแอบหนีออกมาจากนครแห่งเทพมาเที่ยวเล่นเป็ประจำ พอดีเขาได้รู้ถึงฐานะที่แท้จริงของถูเชียนจวิน ครั้นแล้วจึงได้คอยเอาอกเอาใจและพาเขาออกไปเที่ยวยังที่ต่างๆ ด้วยกัน และพยายามทำทุกอย่างตามที่เขา้าเพื่อทำให้เขาพอใจ
ในที่สุดวันนี้ก็ได้รับผลตอบแทนจากถูเชียนจวิน ในที่สุดก็มีโอกาสเดินเข้าไปภายในนครแห่งเทพที่อยู่บนูเาแห่งเทพที่สูงใหญ่เสียดฟ้าลูกนั้น ภายในใจจะไม่ให้ตื่นเต้นดีใจได้อย่างไร แม้จะเดินเข้าไปในฐานะผู้รับใช้หรืออาจจะพูดได้ว่าทาสรับใช้ แต่เขาไม่เสียใจในภายหลัง ในทางตรงกันข้ามกลับดีใจอย่างบ้าคลั่งเสียด้วยซ้ำ เนื่องจากว่าเขาได้รับรู้ความลับที่ยิ่งใหญ่บางอย่างมาจากถูเชียนจวินโดยบังเอิญ ความลับที่สามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของเขาได้ มีเพียงการเหยียบย่างเข้าไปในนครแห่งเทพเพียงเท่านั้นพลังฝีมือของเขาถึงจะสามารถพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วได้ในพริบตา เพื่อเปลี่ยนแปลงโชคชะตาและเพื่อได้รับโอกาสและโชคชะตานั้นจะต้องแลกกับอะไรก็ยอมทั้งนั้น
.................................
“ลิงจะเต้นระบำแล้ว!”
ได้ยินมุกตลกของถูเชียนจวิน เสว่อู๋เหินรีบมองไปยังเย่ชิงหานที่อยู่กลางเวที รู้สึกแปลกประหลาดภายในใจว่าเย่ชิงหานจะแสดงอะไรออกมา หรือเขาจะเรียกสัตว์อสูรออกมาแล้วเล่นกายกรรมลิง?
เย่ชิงหานเดินไปยังกลางเวทีอย่างเหนื่อยหน่าย หลังจากที่ดึงความอยากของทุกคนได้เต็มที่แล้ว เขาไม่ได้เริ่มแสดงในทันที แต่กลับทำท่าทางแปลกพิเศษอย่างหนึ่งขึ้น ร่างกายเขาสั่นกระตุกขึ้นครั้งหนึ่ง แหงนหน้ามองฟ้า แผ่นหลังเหยียดยืดตรงขึ้น สองมือไขว้ไปด้านหลัง ใบหน้าเคร่งขรึมระคนกับสีหน้าผู้ที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน ดวงตาเริ่มเปลี่ยนแปลงเป็ลึกล้ำขึ้น คิ้วขมวดขึ้นโดยอัตโนมัติ ทันใดนั้นเด็กหนุ่มผู้ฝึกยุทธ์ได้เปลี่ยนเป็นักกวีวัยกลางคนที่ตกอับคนหนึ่งขึ้นมาแทน
เอ่ออ...! บุคลิกลักษณะของเย่ชิงหานที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้ทุกคนที่อยู่ในงานต่างอึ้งไปตามๆ กัน ความสามารถในการเปลี่ยนสีหน้าของเขาไม่ธรรมดาจริงๆ แถมยังแสดงให้เหมือนกับของจริงไม่มีที่ติ
“เหล้ามา!”
ในขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึงอยู่นั้น เย่ชิงหานร้องะโออกมาเสียงหนึ่ง ร่างกายของเขายังคงยืนอยู่ที่เดิม เพียงแค่มือเท่านั้นที่ยื่นออกไปทางโต๊ะที่เฟิงจื่ออยู่
เฟิงจื่อยิ้มแหะๆ ออกมา ใช้มือข้างหนึ่งตบเบาๆ ไปยังไหเหล้าที่อยู่บนโต๊ะ ไหเหล้าบินลอยตรงไปหาเย่ชิงหานอย่างมั่นคงไม่หยดออกมามาสักหยดเดียว
เย่ชิงหานไม่ได้หันหน้ามาราวกับว่ามีตาหลังฉันนั้น เมื่อไหเหล้าลอยมากระทบกับมือของเขา เขาเปลี่ยนฝ่ามือเป็กรงเล็บจับกุมไปยังไหเหล้า จากนั้นเอียงร่างเล็กน้อยแหงนหน้ายกไหเหล้าขึ้นดื่มในทันที
ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่อง เหล้าที่ปราศจากสีเปลี่ยนเป็สีขาวนวล เหล้าสีขาวนวลในตอนนี้ไหลพรั่งพรูลงมาจากไหเหล้าเข้าไปภายในปากของเย่ชิงหาน สาดเทลงใบหน้าและเสื้อผ้าของเขา ร่วงหล่นลงไปยังหญ้าบนสนาม ชั่วพริบตาเดียวกลิ่นอันหอมหวานรุนแรงจากเหล้าลอยคละคลุ้งไปทั่วทั้งอากาศ
“ฮ่าๆ...เหล้าดี กระบี่มา!”
ดื่มเหล้าจนหมดไห เย่ชิงหานหัวเราะเสียงยาวออกมา มือสะบัดครั้งหนึ่งไหเหล้าลอยพุ่งไปยังเฟิงจื่อ จากนั้นมือชี้ไปยังโต๊ะที่อยู่ด้านหลังตู๋กูเจี้ยน
ตู๋กูเจี้ยนยิ้มออกมาเล็กน้อย มือซ้ายจับกระบี่บนร่างของตนยกขึ้น มือขวากระแทกไปยังด้ามของกระบี่อย่างแรง กระบี่พุ่งเข้าหาเย่ชิงหานอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ
ในตอนนี้เย่ชิงหานคล้ายกับว่าอยู่ในอาการเมานิดหน่อย ร่างกายโอนเอนไปมาเล็กน้อย ยังคงหรี่ตามองขึ้นไปบนท้องฟ้า เหมือนกับว่าไม่ได้รับรู้ถึงกระบี่ที่พุ่งมาเลยแม้แต่น้อย
ร่างกายที่โอนเอนไปมากลับได้จังหวะหลบกระบี่ที่พุ่งมาได้อย่างพอดี กระบี่สีเงินพุ่งผ่านหน้าไป เขายื่นมือออกมาข้างหนึ่งที่ดูเชื่องช้าแต่คว้าจับด้ามกระบี่ไว้ได้อย่างมั่นคง จากนั้นก้าวเดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่งชูกระบี่ในมือขึ้นบนเหนือศีรษะแล้วใช้มืออีกข้างหนึ่งจับไปที่ฝักกระบี่ค่อยๆ ดึงออกอย่างช้าๆ
เช้ง!
ฝักกระบี่สีเงินที่สวยวิจิตรตระการตาถูกดึงออก เผยให้เห็นถึงตัวกระบี่ที่ส่องแสงแวววาวลานตา กระบี่ยาวสามฟุตกว้างสี่นิ้ว กระบี่ที่เย็นเฉียบภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องยิ่งเปล่งประกายความเย็นเฉียบออกมาอย่างเด่นชัดมากยิ่งขึ้น สะบัดมือทิ้งฝักกระบี่ไปปักคาอยู่บนพื้น เย่ชิงหานใช้ปลายนิ้วลูบไล้คมกระบี่อยางช้าๆ สายตาจ้องมองกระบี่อย่างลึกซึ้ง ราวกับว่ากำลังจ้องมองสตรีผู้เป็ที่รักยิ่ง
ทุกคนที่อยู่ในงานต่างเงียบงันลงในทันที ราวกับว่าถูกท่วงท่าการเคลื่อนไหวของเย่ชิงหานนำพาเข้าไปอยู่ในทัศนียภาพอีกฉากหนึ่ง ทวีปัเพลิงการฝึกยุทธ์เป็สิ่งที่สำคัญ ศิลปะและวรรณกรรมล้วนถูกมองข้าม ดังนั้นจึงไม่ได้รุ่งเรืองมากนัก ครั้งนี้เป็ครั้งแรกที่ทุกคนได้เห็นการแสดงเช่นนี้ ต่างรู้สึกแปลกใหม่ รู้สึกตื่นเต้น และรู้สึกดุจมายาดุจความฝัน
เย่ชิงหานไม่ได้สนใจต่อสีหน้าอาการของทุกคน ทำเพียงแค่จ้องมองกระบี่ที่อยู่กลางอากาศ คล้ายกับว่าในโลกนี้หลงเหลือเพียงเขากับกระบี่เล่มนี้เพียงเท่านั้น ผ่านไปชั่วครู่เขาเริ่มขยับเคลื่อนไหว มือขวาจับกระบี่มั่นแทงไปยังเบื้องหน้าครั้งหนึ่ง ร่างกายติดตามไปอย่างรวดเร็วะโร่ายรำกระบวนท่ากระบี่ขึ้นหลายครา จากนั้นร่างกายหยุดนิ่งลงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ แล้วพลันพูดออกมา “จิตเมามายใต้แสงไฟชมกระบี่อันคมกริบ...”
พูดจบร่างกายร่ายรำขึ้นอีกอย่างรวดเร็ว ร่ายรำเพลงกระบี่เร็วช้าสลับกัน อากัปกิริยาคล่องแคล่วปราดเปรียวสวยงามอย่างที่สุด ทั้งร่ายรำทั้งขับร้องออกมาด้วยจังหวะที่แปลกพิเศษ
“จิตเมามายใต้แสงไฟชมกระบี่อันคมกริบ เสียงเป่าเขาสัญญานดังกังวานทั่วค่ายเรียกตื่นคืนจากฝัน”
“วัวเนื้อโอชานำมาแบ่งเหล่าทหารสุขสำราญ เสียงเครื่องดนตรีที่มีสายขับบรรเลง ขับขานเพลงทหารกล้าก้องทั่วถึงนอกกำแพงใหญ่...”
กระบี่ยิ่งร่ายรำยิ่งรวดเร็ว จากนั้นจึงค่อยๆ ช้าลง แต่ภายในสายตาของทุกคนกลับมองเห็นทุกอย่างเลือนรางไปหมด อาจจะมองดูว่าเป็รำกระบี่ที่เชื่องช้า แต่สิ่งที่มองเห็นกลับเป็แสงสีขาววูบวาบไปมา ในเวลานี้เอง ภายในงานปรากฏเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงขึ้น เกาะแห่งทะเลาสาบแห่งความเงียบสงบพลันบังเกิดลมพัดกรรโชกขึ้น ลมในฤดูร้อนพัดหวีดหวิวมาปะทะกับเสื้อของทุกคนส่งเสียงดังอยู่ไม่ขาด เพียงแต่ต่างตกอยู่ในอาการเคลิบเคลิ้มดื่มด่ำกับการแสดงร่ายรำกระบี่ที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์ของเย่ชิงหานจึงไม่ทันได้สังเกต จะมีก็แต่เพียงเหล่าผู้าุโที่มีพลังฝีมืออยู่ในระดับขอบเขตปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง ต่างคิ้วขมวดขึ้นพร้อมๆ กัน สาดส่องสายตามองดูไปทั่วทั้งสี่ทิศ...
“ม้าศึกพุ่งทะยานดุจม้าตี๋หลู่ เสียงธนูพุ่งจากสายดังดั่งอัสนีฟาดผ่า”
“ปลดเปลื้องจากภาระหน้าที่ด้านงานทัพ แลกมาซึ่งชื่อเสียงติดตามตัวยามเมื่อยังมีชีวิตอยู่ อนิจจาน่าสงสารผมขาวงอกสิ้นเสียแล้วเอย...”
ยิ่งเย่ชิงหานร่ายรำกระบี่และขับร้องบทกวีเร็วมากขึ้นเท่าใด ลมที่พัดมาก็ยิ่งแรงมากขึ้นเท่านั้น ในขณะที่ทุกคนไม่ทันได้สังเกต พลังฟ้าดินที่อยู่ภายในเกาะแห่งทะเลสาบแห่งความเงียบสงบบรรลุไปถึงในระดับที่เข้มข้นอย่างน่ากลัว...อาจจะผ่านไปแค่ชั่วพริบตาเดียว หรืออาจจะผ่านไปอย่างเนิ่นนาน เย่ชิงหานค่อยๆ หยุดการเคลื่อนไหวลง ในเสียงกระบี่สุดท้ายที่ดังขึ้นเขายืนถือกระบี่ด้วยมือข้างเดียวหลับตาแหงนหน้าขึ้นฟ้ายืนนิ่งๆ อยู่ ณ กลางลานเวทีนั้น ที่แปลกประหลาดก็คือ...ลมกรรโชกที่พัดขึ้นมาภายในเกาะแห่งทะเลสาบแห่งความเงียบสงบเมื่อสักครู่พลันเลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับว่าไม่เคยพัดขึ้นมาก่อน
ทั่วทั้งสนามตกอยู่ในความเงียบสงัด แม้เข็มตกก็สามารถได้ยินเสียง มองดูเด็กหนุ่มที่ยืนถือกระบี่อยู่อย่างเดียวดาย ใบหน้าที่เห็นได้ชัดว่ายังอ่อนเยาว์แต่กลับเต็มไปด้วยสีหน้าของผู้ที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน ข้างหูยังคงดังก้องไปด้วยบทกลอนและท่วงทำนองที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ทำให้ทุกคนต่างตกอยู่ในความเงียบงัน ลมกรรโชกแปลกประหลาดที่พัดมา รวมไปถึงบรรยากาศที่ลึกลับที่เกิดขึ้น ทำให้ทุกคนรู้สึกราวกับว่าได้เดินทางผ่านเข้าไปยังฉากเหตุการณ์ที่แปลกมหัศจรรย์แห่งหนึ่ง คล้ายกับว่าได้เข้าไปอยู่ในสนามรบดึกดำบรรพ์ ทุกคนล้วนกลายเป็นักรบ ในมือถือกระบี่เข้าเข่นฆ่าศัตรู แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายพ่ายแพ้ย่อยยับเหลือเพียงตนเองที่ยืนอยู่อย่างเดียวดายกลางสนามรบ จากผมดำเริ่มค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็สีขาว...
.................................
เยว่จีเบิกตากว้างเหลียวซ้ายแลขวา สีหน้าอาการเคร่งขรึมพยายามััหาความผิดแปลกที่เกิดขึ้นโดยรอบ เหล่าผู้าุโสูงสุดต่างมองตากันและเห็นได้ถึงความตื่นตระหนกและความประหลาดใจในดวงตาของกันและกัน
ถูเชียนจวินเหม่อมองดูท้องฟ้าไม่รู้ว่าครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ เสว่อู๋เหินดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย เฟิงจื่อและฮวาเฉ่าอ้าปากค้าง หลงสุ่ยหลิวเลียริมฝีปาก พวกตู๋กูเจี้ยนทั้งห้าใบหน้าเต็มไปด้วยความปีติยินดี เหล่าคุณชายทั้งหลายเืภายในกายเร่าร้อนพลุ่งพล่านใบหน้าแดงฉาน เยว่ชิงเฉิงดวงตาทั้งคู่เหม่อลอยเลือนรางทอประกายแสงแวววาวราวกับระลอกคลื่น เสียงบทกลอนที่ขับขานยังคงก้องอยู่ข้างหูของทุกคน...
“จิตเมามายใต้แสงไฟชมกระบี่อันคมกริบ เสียงเป่าเขาสัญญานดังกังวานทั่วค่ายเรียกตื่นคืนจากฝัน”
“วัวเนื้อโอชานำมาแบ่งเหล่าทหารสุขสำราญ เสียงเครื่องดนตรีที่มีสายขับบรรเลง ขับขานเพลงทหารกล้าก้องทั่วถึงนอกกำแพงใหญ่...”
“ม้าศึกพุ่งทะยานดุจม้าตี๋หลู่ เสียงธนูพุ่งจากสายดังดั่งอัสนีฟาดผ่า”
“ปลดเปลื้องจากภาระหน้าที่ด้านงานทัพ แลกมาซึ่งชื่อเสียงเกียรติติดตามตัวยามเมื่อยังมีชีวิตอยู่ อนิจจาน่าสงสารผมขาวงอกสิ้นเสียแล้วเอย...”
.................................
รำกระบี่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน บทกลอนที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน แม้ว่าประโยคภายในบทกลอนจะมีอยู่หลาย่ที่ทุกคนไม่เข้าใจ บางคำก็ไม่เข้าใจถึงความหมายแฝงที่อยู่ข้างใน แต่ก็ไม่ได้ลดทอนความชื่นชมที่ทุกคนมีต่อการแสดงนี้ ไม่ได้ลดทอนการสั่นะเืและการชำระล้างที่มีต่อจิติญญาของพวกเขา พวกเขารู้สึกว่าไม่รู้ว่าทำไมภายในใจถึงได้รู้สึกเคลิบเคลิ้มและดื่มด่ำ ดุจมายาดุจความฝันเช่นนี้
ผ่านไปเนิ่นนาน
ไม่รู้ว่าใครปรบมือขึ้นเป็คนแรก จากนั้นเสียงปรบมือก็ดังขึ้นไม่หยุดราวกับกระแสน้ำที่ไหลบ่ามาไม่ขาดสาย พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าบุรุษก็สามารถร่ายรำกระบี่เช่นนี้ได้ บุรุษก็สามารถขับร้องบทเพลงกลอนโดยเฉพาะอย่างยิ่งขับร้องได้สั่นะเืไปถึงดวงจิติญญาเรียกขานผู้คนให้ตอบสนองได้ถึงเพียงนี้ ถูเชียนจวินได้สติกลับคืนมาพยักหน้าและปรบมือออกมาเบาๆ แสงที่อยู่ภายในดวงตาแม้จะยังคงหยิ่งยโสอยู่เช่นเดิม แต่ภายในก็ปรากฏแววของความชื่นชมอยู่เล็กน้อย
เยว่จีถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ใบหน้าเคร่งขรึม นางไม่ได้ปรบมือแต่ทำการครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน จากนั้นผุดลุกขึ้นยืนในทันที เดินออกไปหยุดยืนอยู่ด้านหน้าของเย่ชิงหานอย่างรวดเร็ว ก้มตัวโค้งคำนับลงหนึ่งครั้งก่อนที่จะพูดขึ้นด้วยความเคารพนอบน้อม
“คุณชายหานมีความสามารถและสติปัญญาเหนือคน เยว่จีเต้นรำมาหลายสิบปี และสอนเต้นรำมาหลายสิบปี วันนี้ถึงได้รู้ว่าตนเองนั้นไม่ต่างจากกบในกะลา ข้าละอายใจจริงๆ...เยว่จียินดีฝากตัวเป็ศิษย์ของคุณชายติดตามไปทุกหนทุกแห่ง ขอคุณชายอย่าได้รังเกียจ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้