เหนียนยวี่กล่าวอย่างตรงไปตรงมา ท่ามกลางแสงจันทร์ส่องสว่างกลางความมืดมิด ทำให้นางเห็นหน้ากากบนใบหน้าเขาอย่างรางเลือน
เมื่อครู่นี้ มิใช่ว่าบุรุษผู้นี้กลับไปแล้วหรอกหรือ? เหตุใดยังโผล่มาได้อีกเล่า?
เหนียนยวี่มองเห็นชายหนุ่มไม่ชัดนัก ฉู่ชิงหยิบกริชที่ตกลงบนเตียงขึ้นมา "มีคน้าฆ่าเ้า เ้ารู้หรือไม่ว่าคนผู้นั้นเป็ใคร?"
เพราะเหตุนั้นไงเล่า นางจึงรั้งเขาไว้ไม่ให้ตามคนผู้นั้นไป
"ข้ารู้" เหนียนยวี่ไม่ปกปิดแต่อย่างใด "บางทีนางอาจไม่ได้้าฆ่าข้า อาจเพียงหาหนทางบางอย่างเพื่อทำลายข้านะเ้าคะ?"
เหนียนอีหลานไม่ได้้าชีวิตนาง แท้จริงแล้ว การมีชีวิตอยู่ของนางสามารถตอบสนองความรู้สึกที่เหนือกว่าของเหนียนอีหลานได้ เพราะเหตุนั้น การทำลายรูปโฉมนาง จะทำให้นางขาดความเชื่อมั่น รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ และสิ่งนี้จะยิ่งทำให้เหนียนอีหลานมีความสุขมิใช่หรือ?
หรือกล่าวได้ว่า ยามนี้ชื่อของนางได้รับการจารึกลงในบันทึกราชวงศ์แล้ว แม้นจะเป็หนานกงเยวี่ยก็ยังต้องเกรงกลัว หาก้าสังหารนางจริง มันมิใช่เื่ง่ายเลยที่จะปกปิดความผิดจากเื่เช่นนี้
ฉู่ชิงขมวดคิ้ว หวนนึกถึงค่ำคืนยามพบกันคราแรก ชายหนุ่มร่างผอมบางคนหนึ่งแอบลักลอบเข้าไปในหอสูงจวนจิ้นอ๋องท่ามกลางเพลิงไหม้รุนแรง... ดวงตาสีนิลที่เผยให้เห็นนอกหน้ากาก พลันมืดครึ้มลงเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ ทว่ากลับยังคงมิอาจอ่านความรู้สึกของเขาได้
"อยู่ที่นี่เ้าจะเป็อันตราย" เพียงชั่วครู่หนึ่ง ฉู่ชิงพลันเอ่ยปากออกมา เขาถูกริชในมืออย่างแ่เบา พลางเอ่ยขึ้นตามจริง
เหนียนยวี่เหลือบมองเขา นางลุกขึ้นจากเตียง เทชาราดลงบนธูปหอม จากนั้นจึงเอ่ยบางอย่างออกมาอย่างชี้ชัดตรงประเด็น “เพราะเหตุนี้ ข้าถึงเคยบอกกับท่านไว้นานแล้วว่า เหนียนยวี่แค่ใช้ชีวิตที่คิดถึงแค่ตัวเองก็ลำบากมากเกินพอแล้ว ยิ่งไม่มีเวลาไปยุ่งเื่ของผู้อื่นอย่างแน่นอน ใต้เท้าคงวางใจลงบ้างแล้วใช่หรือไม่เ้าคะ?”
ครั้นเหนียนยวี่นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นางหยุดชะงักเล็กน้อย และกล่าวต่อว่า "กริชพวกนั้นคมเกินไป มองแล้วช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก ขอท่านใต้เท้าไม่ต้องมานำมันมาให้ข้าเห็นอีก"
ฉู่ชิงยังคงจ้องมองเหนียนยวี่ ดวงตาของเขามืดครึ้มลงเล็กน้อย ทว่ามิเอ่ยตอบสิ่งใด ครู่หนึ่งถัดไป บุรุษร่างสูงใหญ่ผู้นั้นก้าวเดินไปทางหน้าต่าง และะโลับหายไปในความมืดมิด
เหนียนยวี่มองทั่วห้องอันว่างเปล่า หากมิใช่เพราะกลิ่นลมหายใจของฉู่ชิงยังคงหลงเหลืออยู่ในอากาศ นางคงคิดว่าเขาไม่เคยปรากฎตัวออกมา
องค์หญิงใหญ่ชิงเหอ้ารับคุณหนูรองตระกูลเหนียนมาเป็บุตรีบุญธรรม ข่าวนี้แพร่กระจายออกไปนานแล้ว ทว่าผู้คนทั่วเมืองชุ่นเทียนกลับมิเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของคุณหนูรองตระกูลเหนียนมาก่อนเลย ผู้คนส่วนใหญ่จึงคิดว่ามันเป็เพียงข่าวลือ ที่ลือออกมาเพียงชั่วประเดี๋ยว มิมีผู้ใดคิดเป็จริงเป็จัง
ทว่าเมื่อสามวันก่อน ข่าวว่าชื่อของคุณหนูรองตระกูลเหนียนถูกบันทึกลงในบันทึกราชวงศ์แพร่สะพัดมาถึงตระกูลเหนียน ทั้งยังเล่าลือกระจายไปตามถนนหนทางตรอกซอกซอยของเมืองชุ่นเทียนอย่างรวดเร็ว
แทบทุกคนในเมืองล้วนรู้สึกอิจฉาคุณหนูรองตระกูลเหนียนผู้นั้นที่นางสามารถเข้าไปอยู่ในสายตาขององค์หญิงใหญ่ชิงเหอได้ ช่างเป็ความโชคดีสิริมงคลเสียนี่กระไร กลัวแค่ว่าพิธีคำนับในวันนี้จะไปเปลี่ยนโชคชะตาทั้งชีวิตของคุณหนูบุตรีอนุผู้นั้นเข้าแล้ว
จวนเหนียน
เหนียนเย่าเองก็ตื่นเต้นอย่างมากเช่นกัน เขาไปที่ลานเซียนหลานด้วยตัวเองั้แ่เช้าตรู่
เหนียนยวี่เพิ่งลืมตาตื่น เมื่อเห็นบิดาโดยไม่ทันตั้งตัวก็รู้สึกประหลาดใจไปชั่วครู่หนึ่ง ทว่าไม่นานก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งทันที
ด้วยหลักการในการดำรงชีวิตของเขา เมื่อมีเื่ดีๆ อย่างการได้สนิทสนมกับราชวงศ์ เป็ที่แน่นอนว่าเขาต้องตื่นเต้นขนาดนี้
“ยังมัวทำอะไรอยู่? เอาของเล็กๆ พวกนี้ไปไว้ในห้องคุณหนูรอง” เหนียนเย่าสั่งพ่อบ้าน ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มและความรัก ในชาติก่อนเหนียนยวี่เหมือนเคยเห็นบิดาเชิดชูนางหลังนางถูกแต่งตั้งยศโหว
ในใจรู้สึกเย้ยหยัน เหนียนยวี่ยิ้มราบเรียบบนใบหน้า "ท่านพ่อ ห้องของยวี่เอ๋อร์เล็ก จะมีที่ให้วางของมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร? ท่านพ่อเก็บเอาของพวกนี้คืนไปเถิด"
“เก็บกลับคืนไปหรือ? จะทำได้อย่างไร? ของพวกนี้ ข้าไปที่โรงเก็บเลือกมันด้วยตัวเอง ใช้ความพยายามไปอย่างมากจึงล่าช้าไปบ้างทำให้เพิ่งส่งมาถึงตอนนี้” เหนียนเย่ากล่าวเอ่ยอย่างเคร่งขรึม มองไปรอบๆ ห้องหนึ่งรอบ ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ "อืม... ห้องนี้เล็กไปหน่อยจริงๆ เป็ความผิดของพ่อเอง วิ่งไปๆ มาๆ อยู่ด้านนอกมานาน ไม่ได้สนใจเ้าเลย นี่ก็เพราะจำใจ ทำให้ยามนี้เ้ายังอยู่ในลานเซียนหลาน ทำผิดต่อเ้าจริงๆ "
เหนียนเย่ามีสีหน้ารับผิด นางฟังเขาคร่ำครวญอยู่เงียบๆ ครู่หนึ่ง เหนียนเย่าก็ออกคำสั่งอย่างเสียงดังว่า "พ่อบ้าน เ้าไปจัดการหาที่ดีๆ ในจวน สร้างหอสูงสักหลังให้คุณหนูรองตามความชอบของนาง”
ไม่เพียงแค่เหนียนยวี่ แม้แต่พ่อบ้านก็ยังมีสีหน้าแปลกใจ "นี่...ฮูหยิน...ที่นั่น..."
ในจวนนี้ไม่มีผู้ใดไม่รู้ว่า ฮูหยินไม่ต้อนรับคุณหนูรองเป็อย่างยิ่งหากสร้างหอสูงให้คุณหนูรอง เกรงว่าฮูหยินคงจะไม่พอใจนัก
"เ้าจะสนใจนางไปทำไม?"ใบหน้าของเหนียนเย่าดำดิ่งลง "ทำตามที่ข้าสั่งก็พอ"
"ขอรับ บ่าวจะไปจัดการเื่นี้ให้ขอรับ" พ่อบ้านรับคำสั่ง
เหนียนอีหลานที่อยู่นอกประตูบังเอิญได้ยินเื่ที่เหนียนเย่าจะสร้างหอสูงหลังใหม่ให้เหนียนยวี่เข้าพอดี มือที่จับผ้าเช็ดหน้าปักลายไว้กำแน่นขึ้น ทว่าเพียงชั่วขณะ ใบหน้ามืดมนนั้นของนางก็กลับคืนสู่ความไร้เดียงสาเช่นเคย นางก้าวเหยียบเข้าไปในห้อง เอ่ยคร่ำครวญ "บิดาลำเอียง ห้องเก็บของของจวนเหนียนของพวกเรายังมีของอีกมายมาย เดิมทีท่านพ่อทิ้งไว้ให้น้องเหนียนยวี่ ท่านพ่อ ท่านลืมไปแล้วหรือ อีหลานเองก็เป็บุตรีของท่านมิใช่หรือเ้าคะ?
เหนียนยวี่มองเหนียนอีหลาน นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาอย่างไม่รู้ตัว
พี่สาวแสนดีผู้นี้ปรับเปลี่ยนสีหน้าได้อย่างรวดเร็วจริงๆ !
“พ่อจะลืมเ้าได้อย่างไร? พวกเ้าทั้งคู่เป็บุตรสาวของพ่อ พ่อรักพวกเ้าแต่ละคนเท่ากัน ไม่เข้าข้างผู้ใด ห้องของเ้า ยังมีสิ่งใดขาดหายไปอีกหรือ?” เหนียนเย่าเหลือบมองเหนียนอีหลาน ความรักใคร่ในดวงตาเห็นได้ชัดว่ามีเพิ่มมากกว่าเมื่อกี้เล็กน้อย
เหนียนอีหลานราวกับครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง "เช่นนั้นก็แล้วไปเถิด วันนี้เป็งานมงคลของน้องก็ควรมอบสิ่งของดีๆ ให้น้องบ้าง"
กล่าวจบเหนียนอีหลานก็ก้าวเดินเข้าไปข้างๆ เหนียนยวี่ด้วยท่าทางอบอุ่นจริงใจ จับมือของเหนียนยวี่อย่างสนิทสนม "น้องยวี่เอ๋อร์ ข้าก็บอกแล้วว่าทั้งท่านพ่อและท่านแม่ทั้งคู่ต่างก็รักเ้า!"
“อืม ท่านพ่อท่านแม่ดีกับยวี่เอ๋อร์ ยวี่เอ๋อร์จะจดจำไว้ในใจ ยังมีท่านพี่..." ใบหน้าเหนียนยวี่มีความสุข "เมื่อคืนนี้ที่จวนมู่อ๋องข้าร่ำสุราหนักไปหน่อย เดิมก็นอนหลับยากอยู่แล้ว โชคดีที่ท่านพี่นำน้ำแกงแก้เมาค้างมาให้ เหนียนยวี่ดื่มแล้วรู้สึกสบายตัวขึ้นมาก จึงหลับไหลได้อย่างรวดเร็ว"
ยามที่เหนียนยวี่กล่าว นางทำเหมือนไม่สนใจสีหน้าของเหนียนอีหลาน ทว่ากลับลอบเห็นรอยยิ้มบนใบหน้านางแข็งทื่อไปครู่หนึ่งอย่างที่คิดไว้
"ยวี่เอ๋อร์เ้ากล่าวว่า เมื่อคืนเ้าและมู่อ๋องร่ำสุราด้วยกันที่จวนท่านอ๋องหรือ?"เหนียนเย่าทำสีหน้าแปลกประหลาด
"อื้อ" เหนียนยวี่ขานตอบอย่างเรียบง่าย เข้าใจความคิดของเหนียนเย่า อย่างที่คิด สีหน้าแปลกประหลาดของเหนียนเย่ามีร่องรอยความตื่นเต้นสายหนึ่งออกมาอย่างรวดเร็ว พูดพึมพำในลำคอว่า "ดี นี่ดี..."
มู่อ๋องไม่ชอบให้ผู้อื่นไปที่จวนนัก ทว่ากลับให้เหนียนยวี่ไป...
สิ่งนี้แฝงนัยอะไรกันแน่?
เหนียนเย่ามองไปที่เหนียนยวี่ ใคร่ครวญไตร่ตรองอะไรบางอย่างด้วยสีหน้าซับซ้อน
เหนียนยวี่ไม่สนใจเหนียนเย่า ดูเหมือนว่าเพราะนางเอ่ยถึงมู่อ๋อง สีหน้าของเหนียนอีหลานจึงไม่สดใสเช่นเดิม เหนียนยวี่เห็นแล้วจึงเอ่ยต่อไปว่า "เมื่อคืนนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เหมือนข้าจะเห็นว่ามีใครบางคนเข้ามาในห้อง...”
ทันที่ที่คำพูดนั้นหลุดออกมา มือของเหนียนอีหลานก็สั่นไหว สายตาระริกลุกลน เมื่อคืน...
"จะมีคนเข้าไปได้อย่างไร? น้องยวี่เอ๋อร์ มิใช่ว่านอนหลับฝันแล้วหรอกหรือ?"เหนียนอีหลานฉีกยิ้ม พยายามอย่างหนักที่จะสงบสติอารมณ์
"ใช่ ดูเหมือนจะเป็ความฝันจริงๆ " เหนียนยวี่เอ่ยเช่นนั้น ทว่าจู่ๆ บทสนทนาก็เปลี่ยนไป "แต่ท่านพี่ดูนี่สิ..."
จู่ๆ เหนียนยวี่ก็คว้าข้อมือขวาของเหนียนอีหลาน จากนั้นก็ได้ยินเสียงร้องเ็ปของเหนียนอีหลานดังตามมาติดๆ ในใจเหนียนยวี่เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ทว่ากลับไม่สนใจ ดึงนางมาที่หน้าเตียง ชี้ให้เห็นหยดเืไม่กี่หยดข้างหมอนบนเตียง...
"นี่..." เหนียนอีหลานใ ฝืนทนความเ็ปบนข้อมืออย่างหนัก ในใจเริ่มไม่เป็สุขกระวนกระวายมากขึ้นเรื่อยๆ
"ยวี่เอ๋อร์คิดว่ามันเป็แค่ความฝัน ทว่าเมื่อเช้านี้ตื่นขึ้นมาก็เห็นเืพวกนี้..." เหนียนยวี่ขมวดคิ้ว "ยวี่เอ๋อร์คิดว่านั่นอาจไม่ใช่ความฝัน!"
“แต่ถ้าไม่ใช่ความฝันแล้วจะเป็อะไรไปได้เล่า?” เหนียนอีหลานบ่น จู่ๆ ก็นึกถึงอะไรบางอย่าง แล้วเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางหวาดกลัว “มิใช่ว่าเมื่อคืนมีโจรเข้ามาในจวนเหนียนของเราหรือ? ท่านพ่อ หากมีโจรแอบเข้ามา เช่นนั้นควรตรวจสอบดูให้ดีเสียหน่อย”
โจรหรือ?
เหนียนอีหลาน นางเป็โจรที่เรียกไล่จับโจรหรือ?
ท่าทางเช่นนี้ ทำราวกับว่าโจรที่เข้ามาห้องนางเมื่อคืนนั้นมิใช่ตนเองก็ไม่ปาน!
เหนียนยวี่อดชื่นชมฝีมือการแสดงของพี่สาวไม่ได้ ยังคงจับข้อมือของเหนียนอีหลานไว้ และอดไม่ได้ที่จะค่อยๆ ใช้แรงบีบ...