หลังเขาชิงเฉิงนั้นเป็สถานที่ที่มีคนพักอาศัยอยู่น้อยมาก บริษัทสินทรัพย์สร้างคฤหาสน์เดี่ยวมากมายไปตามแนวเขา
สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ตั้งอยู่ในทิวเขาป่าไม้งดงามอย่างเขาชิงเฉิงและมีมูลค่าอยู่ในระดับเดียวกันกับรูปร่างลักษณะของมันก่อนหน้านี้หลินลั่วหรานเองก็เคยเปิดเห็นมันผ่านๆ ในนิตยสารบ้านและที่ดินมาก่อนราคาของคฤหาสน์หลังหนึ่งอาจจะประมาณสี่สิบถึงห้าสิบล้าน
แม้ว่าประชาชนนั้นจะร่ำรวยขึ้นทุกวันแม้แต่มหาเศรษฐีที่มักถูกพูดถึงอยู่บ่อยๆ เมื่อพูดถึงทรัพย์สินที่อยู่ส่วนมากก็เป็อสังหาริมทรัพย์ทั้งนั้น แน่นอนว่าพวกเขาสามารถนำต้นทุนเงินหมุนเพียงสี่สิบถึงห้าสิบล้านมาซื้อบ้านพักตากอากาศได้สบายๆดังนั้นในตอนที่หลินลั่วหรานอ่านนิตยสาร คฤหาสน์เหล่านี้ต่างก็เอาไว้เพื่อให้เช่าและแม้จะเป็แบบนั้น แต่ราคาค่าเช่าก็ไม่ใช่ว่าจะถูกมันยังคงเป็ราคาที่ทำให้คนที่ไม่นับว่าเป็พนักงานกินเงินเดือนด้วยซ้ำอย่างหลินลั่วหรานต้องหวาดผวา
ถ้าหากว่าไม่ได้มาฝึกศาสตร์ ตอนนี้ตัวเธอจะอยู่ที่ไหนกันนะ?
เธอลงมาจากรถแท็กซี่ หลินลั่วหรานมองเหม่อไปยังประตูทางเข้าของคฤหาสน์หนึ่งปีก่อนหน้านี้ เธอไม่เคยคิดเลย ว่าวันหนึ่งจะได้มีบ้านแบบนี้ การฝึกศาสตร์นั้นไม่ได้มีเพื่อความร่ำรวย แต่ว่าถ้าหากสามารถฝึกศาสตร์ไปพร้อมกับการทำให้ตัวเองและครอบครัวมีชีวิตการเป็อยู่ที่ดีขึ้นได้ก็คงไม่มีใครโง่พอที่จะปฏิเสธมัน
ตอนที่หลินลั่วหรานเดินเข้ามาในตัวคฤหาสน์เธอยังสร้างความมึนงงอยู่ไม่น้อยให้กับผู้รักษาความปลอดภัยที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเขาไม่เคยเห็นเ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่นั่งแท็กซี่แบบนี้มาก่อนถ้าหากว่าไม่ใช่เพราะเธอหน้าตางดงาม เขาอาจจะไม่สนใจไยดีอะไรเธอก็ได้ โชคดีที่กรรมสิทธิ์ของคฤหาสน์หลังนี้นั้นเป็ชื่อของหลินลั่วหรานอยู่ั้แ่ทีแรก เมื่อเธอแสดงบัตรประจำตัวก็สามารถเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
เส้นทางในหมู่บ้านคฤหาสน์นั้นเต็มไปด้วยป่าเขา สถานที่ที่พ่อและแม่พักอยู่เป็บริเวณที่อยู่ตรงโค้งด้านในสุด ด้านนอกของตัวคฤหาสน์มีท่าเรือหินอยู่แม่น้ำใหญ่ที่หน้าประตูแบ่งมันให้ห่างออกมาจากคฤหาสน์หลังอื่นเมื่อรวมเข้ากับของป้องกันภัยจากธรรมชาติอื่นๆ แล้วนับได้ว่ามีความส่วนตัวอยู่มากทีเดียว
ตอนนี้เป็เวลาเกือบจะสี่ทุ่มแล้วแต่ด้านในคฤหาสน์กลับมืดสนิทไร้ซึ่งแสงไฟ
หรือว่าจะนอนกันไปแล้ว? แต่เป่าเจียไม่ใช่คนนอนเร็วนี่นา...
หลินลั่วหรานประหลาดใจมาก เมื่อเห็นว่าประตูถูกแง้มเอาไว้เธอจึงแทรกตัวเข้าไปด้านในด้วยความเงียบเชียบ
ด้านในห้องนั้นไร้ซึ่งเสียงหายใจของผู้คน ดังนั้นจึงไม่ใช่ว่ากำลังพักผ่อนแต่เป็เพราะไม่มีใครอยู่ที่นี่
พ่อแม่ เป่าเจีย แล้วก็เสี่ยวลั่วตง พวกเขาไปไหนกันนะ? ในตอนแรกหลินลั่วหรานคิดว่าพวกเขาจะกลับไปที่บ้านในเมืองหรือเปล่าแต่ก็ต้องตัดออกไปในทันที
แม้ว่าการรักษาความปลอดภัยของที่นี่จะทำได้ดีมากแต่ว่าพ่อก็ไม่น่าจะออกโดยที่ไม่ปิดประตู หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้น? เมื่อคิดถึงความเป็ไปได้นี้ขึ้นมา หลินลั่วหรานก็ไม่สบายใจ
เธอรีบวิ่งผ่านสนามหญ้าด้านนอกเข้าไปยังตัวบ้านแม้แต่ประตูบ้านด้านในก็ยังไม่ถูกล็อก...หลินลั่วหรานพยายามสะกดความกลัวเอาไว้ก่อนที่จะรีบเข้าไปตรวจสอบด้านในห้อง
ยังดีที่ข้าวของภายในยังคงเป็ระเบียบเรียบร้อยดีไม่ได้มีร่องรอยรื้อค้นอะไร เมื่อคิดว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นที่บ้านพวกเขาก็น่าจะปลอดภัยดี
หรือว่าพวกเขาจะออกไปเดินเล่นกัน?
ไม่รู้ว่าทำไม แต่หลินลั่วหรานกลับรู้สึกว่า การสันนิษฐานข้อนี้มีความเป็ไปได้ค่อนข้างมากทีเดียวหลินลั่วหรานถอนหายใจออกมาด้วยความสบายใจ ก่อนที่จะเริ่มพิจารณาคฤหาสน์แห่งนี้ที่นี่อยู่ภายใต้ชื่อของเธอก็จริงแต่มันกลับเป็ครั้งแรกที่เธอได้มาเห็นบ้านหลังที่สองของเธอด้วยสายตาของตัวเอง
มันแตกต่างออกไปจากคฤหาสน์ในตัวเมืองของเธอคฤหาสน์แห่งนี้ตกแต่งด้วยสไตล์ยุโรปล้วน มีทั้งหมดสามชั้นและเพราะว่าหลบซ่อนอยู่ภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ จึงทำให้สามารถมองวิวรอบๆได้จากหน้าต่างกระจกบานใหญ่ที่ชั้นสาม และเพราะว่าถูกเงาของต้นไม้ใหญ่ปกคลุมอีกนั่นแหละจึงทำให้แม้แต่หน้าร้อนก็ยังเย็นสบาย และไม่ต้องกลัวว่าจะโดนแดดเผาไหม้
ตัวบ้านนั้นไม่เพียงมีขนาดที่ใหญ่มาก แต่ยังมีตั้งสามชั้นเมื่อรวมกับพื้นที่ว่างที่เหลืออีก อย่าว่าแต่ครอบครัวของหลินลั่วหรานเลยต่อให้เธอพาญาติพี่น้องมาพักอาศัยด้วยก็น่าจะยังพอ
ตัวคฤหาสน์ถูกกั้นเอาไว้ด้วยรั้วเหล็ก ด้านในมีสระน้ำขนาดใหญ่อยู่บริเวณรอบๆ ต่างถูกปูไปด้วยผืนหญ้า บนกำแพงก็ปลูกต้นกุหลาบจันทร์เอาไว้สองวันที่ผ่านมานี้มันกำลังอยู่ใน่ผลิดอกสวยงามอีกทั้งยังมีเก้าอี้หินวางเอาไว้ใต้เถาดอกไม้ตอนแรกก็มองว่าไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากคฤหาสน์ธรรมดาอื่นๆ แต่เมื่อมองดูดีๆแล้วกลับพบว่ามันมีความสวยงามที่แตกกันไปซ่อนอยู่
เดี๋ยวก่อนนะ ไอ้ที่กลมๆ อยู่ตรงมุมกำแพงนั้นมันอะไร? หลินลั่วหรานมองพิจารณาลงไป ก่อนที่จะต้องหลุดยิ้มออกมา ้าของไม้ไผ่คือถั่วฝักยาวและมะเขือที่เติบโตขึ้นมาอย่างงดงามมะเขือกลมๆ สีม่วงและถั่วฝักยาวอันใหญ่เติบโตอยู่ภายในคฤหาสน์ราคาแพงที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของทางยุโรปแบบนี้มันไม่เข้ากันเลยสักนิดนะ เธอมั่นใจว่ามันจะต้องเป็ฝีมือของแม่อย่างแน่นอนเพราะเวลาที่พ่อทำอาหารน่ะ เขาไม่ได้สนใจหรอกว่าวัตถุดิบจะมาจากไหน!
ในระหว่างที่เธอกำลังคิดว่าจะเอาเมล็ดที่ผ่านการปรับปรุงจากพื้นที่ลึกลับออกมาให้แม่ปลูกดีไหมอยู่นั้นเธอก็ได้ยินเสียงหัวเราะสดใสราวกับลูกพลัมที่จะมีขายใน่ฤดูร้อนเท่านั้นของผู้หญิงคนหนึ่งถูกส่งมาตามลมแม่น้ำจากที่แสนไกล ทำให้หลินลั่วหรานต้องหยุดยืนฟังไปตามเสียง
ฟังอยู่สักพัก รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินลั่วหรานก็กว้างขึ้น จนสุดท้ายเธอก็เอาแต่ยิ้มราวกับว่าจะเป็บ้าไปอยู่แล้ว
*****
ภายใต้แสงไฟสีเหลืองสลัวๆ เป่าเจียบอกให้แม่ของหลินลั่วหรานเดินระวังทางพร้อมทั้งชะลอฝีเท้าลงเพื่อรอพ่อของหลินลั่วหราน ในอ้อมอกของเธอก็กำลังอุ้มเสี่ยวลั่วตงที่กำลังหลับใหลอยู่เอาไว้
“อาหารมังสวิรัติที่เ้าสำนักเสี่ยวอันทำนี่ดีจริงๆ เลยแถมยังอดทนกับเสี่ยวลั่วตงได้อีก เป่าเจีย หนูว่าเราจะต้องตอบแทนอะไรเขาบ้างดีไหม?” คนที่กำลังพูดอยู่คือคนที่มักจะไปทานอาหารฟรีที่วัดหลังเขาอยู่เสมออย่างแม่ของหลินลั่วหรานเธอถูกฝีมือการทำอาหารของเ้าสำนักอย่างเสี่ยวอันดึงดูดเข้า เมื่อไปทานบ่อยๆก็ทำให้เธอรู้สึกไม่ดีขึ้นมา
รสชาติของผักพวกนั้น ไม่อาจจะสู้รสชาติของผักที่เสี่ยวหรานเคยเอามาให้ได้ทั้งที่เป็มะเขือเหมือนกัน แต่เมื่อตัวเองปลูกออกมาแล้ว ไม่ว่าจะผัดอย่างไรก็ไม่ได้รสชาติแบบนั้น!
ใบหน้าของเป่าเจียเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อจากความลำบากใจเ้าสำนักเสี่ยวอันที่แม่ของหลินลั่วหรานพูดถึง ก็คือลูกศิษย์คนโตของสำนักชิงเฉิงที่ทำให้นักปราชญ์เฒ่านั้นได้แต่ปวดใจเป่าเจียรู้ดีว่าเ้าสำนักเสี่ยวอันมักจะโดนว่าอยู่ตลอดทุกครั้งที่เขาลงมือเข้าครัว การที่นักปราชญ์คนหนึ่งเอาแต่สนใจอยู่กับอุปกรณ์ทั่วทั้งครัวตลอดทั้งวันแบบนั้นถ้าอาจารย์ของเขาไม่ปวดหัวด้วยความโมโห แบบนั้นสิถึงจะน่าแปลก!
เธอและพ่อกับแม่ของหลินลั่วหรานย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ได้สามเดือนกว่าแล้วตอนแรกเธอก็เพียงแค่มาดูแลพ่อกับแม่แทนเพื่อนรัก แต่เมื่อเวลาผ่านเลยไปแม่ของหลินลั่วหรานนั้นดูแลให้ความอบอุ่นกับเธอเป็อย่างดีและแม้ว่าพ่อของหลินลั่วหรานจะไม่ชอบพูดอะไรนัก แต่เมื่อรู้ว่าเธอชอบกินปลาเขาก็มักที่จะไปตกปลาในป่ามาทำอาหารให้เธออยู่เสมอ...บางครั้งเป่าเจียก็ได้แต่คิดว่าหากพ่อกับแม่ของเธอยังอยู่ มันก็คงจะไม่ต่างอะไรจากตอนนี้มากนักใช่ไหม?
สามเดือนที่ผ่านมาเป็วันเวลาที่อบอุ่นที่สุดในชีวิตของเป่าเจียเลยทีเดียว ถ้าเสี่ยวหรานอยู่ด้วยกัน มันจะต้องดีมากแน่ๆ!
เมื่อนึกไปถึงข่าวที่ถูกส่งมาจากเมืองหลวงว่าเพื่อนรักของเธอนั้นหายสาบสูญไปกว่าสองเดือนแล้วเป่าเจียก็ต้องปกปิดความกังวลเ่าั้เอาไว้และกลับไปแสดงใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง
เธอไม่ได้บอกเื่นี้กับพ่อและแม่ของหลินลั่วหรานเธอจึงได้แต่อ้างออกไปว่า เพื่อนรักของเธอนั้นออกไปทำงานบางอย่างให้กับประเทศและไม่สามารถจะติดต่อได้สักพัก ถ้าหากว่าหลินลั่วหรานจะไม่กลับมาจริงๆเธอก็คงไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปแล้ว
เมื่อความคิดนี้เกิดขึ้นมาในหัวของเป่าเจียแม่ของหลินลั่วหรานก็เริ่มบ่นขึ้นมาอีกครั้ง
“หนูว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น ทั้งประเทศมีคนตั้งกี่คนทำไมจะต้องให้เสี่ยวหรานของเราไปทำหน้าที่อะไรก็ไม่รู้เื่ที่ไม่ได้กลับมาฉลองปีใหม่จะยังไม่ว่าอะไรนะแต่ตอนนี้ก็จะเข้าหน้าร้อนอยู่แล้ว แม้แต่โทรศัพท์มาก็ยังไม่มี...”
ต่อหน้าคนสนิท แม่ของหลินลั่วหรานก็มักจะพูดไม่หยุดแบบนี้
ในตอนนี้การใช้ชีวิตในแต่ละวันไม่ได้มีความกังวลอะไรแล้ว เธอจึงดูสดใสขึ้นไม่เหมือนกับตอนที่อยู่หมู่บ้านหลี่อีกต่อไป เพราะว่าเธอเป็คนนอกสกุลจึงทำให้เหมือนระดับของเธอต่ำลงมาจากคนพวกนั้น เวลาจะพูดอะไรก็เลยไม่ได้มีน้ำหนัก
พ่อของหลินลั่วหรานก็ยังคงเป็เหมือนเดิมเมื่อได้ยินผู้เป็แม่บ่นออกมามากมาย เขาก็โต้กลับไปอย่างอดไม่ได้ “ลูกไปทำงานใหญ่ให้กับคนทั้งประเทศ ช่วยประเทศบ้างจะเป็อะไรไปก็แค่ยายแก่อย่างเธอน่ะ บ่นมากเกินไปแล้ว!”
ผู้เป็แม่โมโหจนต้องรีบถลึงตาใส่ “ฉันแก่ตรงไหน?”
ผู้เป็พ่อมองไปยังรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปมากของภรรยา เรือนผมดกดำนอกเสียจากริ้วรอยเล็กๆ บริเวณมุมตาแล้ว ก็ดูสวยงามสดใสมากแน่นอนว่าไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าแก่เลยสักนิด เขาจึงทำได้เพียงแค่ปิดปากลงและนั่นก็ทำให้ผู้เป็แม่เริ่มว่าเขาออกมา ความจริงแล้วหากเทียบกันกับผู้เป็แม่ ผู้เป็พ่อต่างหากที่เปลี่ยนไปมาก
เขาดูเด็กลงเช่นเดียวกัน เขานั้นดูราวกับคนที่อายุยังไม่ถึงสี่สิบโดยเฉพาะใบหน้าของเขา เมื่อคนเราเด็กลง มันก็สามารถเห็นได้เด่นชัดขึ้นมันทำให้เขาดูเป็ผู้ชายสง่าสมวัยและด้วยเหตุนี้จึงทำให้ใจของผู้เป็แม่ไม่สงบอย่างที่ควร...ในความคิดของผู้หญิงนั้นเธอก็ต้องกังวลเป็ธรรมดาว่าผู้เป็พ่อในวันนี้ดูไม่เข้ากับเธอ
ใครๆ ต่างก็พากันพูดว่า ลูกสาวมักจะเหมือนพ่อความจริงแล้วหน้าตาส่วนมากของหลินลั่วหรานก็ได้มาจากพ่อทั้งนั้นดังนั้นเมื่อผู้เป็พ่อดูเด็กลง อีกทั้งการแต่งกายก็ไม่ใช่ชาวสวนแบบนั้นแล้วแน่นอนว่าท่าทางก็เลยดูเปลี่ยนไปมาก
เป่าเจียมองไปยังคนแก่ทั้งสอง ที่เริ่มจะทะเลาะ “ขัดแย้ง” กันไปเรื่อย ก่อนจะต้องปวดหัวขึ้นมาใครว่าผู้หญิงต่างก็รักสวยรักงามกันทั้งนั้นแม่ของหลินลั่วหรานที่ดูไม่ได้สนใจอะไรนอกเสียจากจะดูดีให้มากกว่าผู้เป็พ่อให้ได้แล้ว ก็คงจะไม่มีทางเลือกอื่น
เธอเดินข้ามท่าน้ำมาแล้ว ในมือยังคงประคองเสี่ยวลั่วตงเอาไว้ก่อนที่จะผลักประตูใหญ่ของคฤหาสน์ให้เปิดออก
แสงไฟที่สาดส่องเข้ามามุมลึกของกำแพง มีเงาร่างของคนคนหนึ่งยืนอยู่เป่าเจียยืนมองอยู่สักพัก ก่อนที่จะถูกใบหน้าอันคุ้นตาทำเอาน้ำตาของเธอไหลริน
คนที่ยืนอยู่กลางพุ่มไม้ก็คือคนที่บนใบหน้าที่มีหยาดน้ำตาเกาะอยู่อย่างเพื่อนรักที่หายตัวไปกว่าสองเดือนของเธอ และดูเหมือนว่าจะสวยขึ้นอย่างหลินลั่วหราน
“ทำไมไม่เข้าไปล่ะ?” แม่ของหลินลั่วหรานสงสัยที่เป่าเจียเอาแต่ยืนอยู่หนาประตูแบบนั้นเมื่อเดินเข้ามาไม่กี่ก้าว เธอก็เห็นลูกสาวที่ยืนอยู่ใต้แสงไฟ เธอส่งเสียงร้องดัง “อ๊ะ” ขึ้นก่อนที่จะพุ่งตัวเข้าไปกอดตัวของหลินลั่วหรานเอาไว้ โดยไม่สนใจอะไรอีก
“เสี่ยวหราน ลูกกลับมาแล้ว!” สามเดือนที่ไม่ได้พบเจออีกทั้งยังออกไปทำหน้าที่อะไรก็ไม่รู้ ที่แม้แต่จะติดต่อกันก็ยังทำไม่ได้ถ้าผู้เป็แม่ไม่เป็ห่วงก็คงจะแปลกแล้วตอนนี้เมื่อเธอได้ััว่าหลินลั่วหรานยังปลอดภัยดีเธอก็โอบกอดหลินลั่วหรานเอาไว้ ไม่อยากจะปล่อยให้ออกห่าง
หลินลั่วหรานปลอบประโลมผู้เป็แม่ ก่อนที่จะเรียก “พ่อ” ขึ้นมาผู้เป็พ่อยกชายแขนเสื้อขึ้นมาปาดน้ำตาที่ไม่ควรจะไหลออกมาได้ง่ายๆ ของลูกผู้ชายก่อนที่จะพูดซ้ำๆ ว่า กลับมาก็ดีแล้ว กลับมาก็ดีแล้ว
“เป่าเจีย สามเดือนนี้ลำบากเธอน่าดู” หลินลั่วหรานมองไปยังเป่าเจียอย่างจริงจังพร้อมทั้งพูดแสดงความขอบคุณออกมาด้วยความจริงใจ และในน้ำเสียงนั้นก็แสดงความขอบคุณที่เธอช่วยปกปิดความจริงที่เธอ “หายไป” เอาไว้ด้วย ดูจากท่าทางแล้วดูเหมือนว่าคนแก่ทั้งสองจะไม่รู้ว่าครั้งหนึ่งเธอเคย “หายไป”
เป่าเจียกะพริบตาเพื่อไล่น้ำตา ก่อนที่จะยื่นมือเข้าไปตบลงที่บ่าของหลินลั่วหราน
“ขอบคุณอะไรของเธอ! พวกเรายังต้องพูดอะไรแบบนี้อยู่อีกหรือไง”
เสี่ยวลั่วตงถูกเสียงของพวกผู้ใหญ่และการขยับตัวของเป่าเจียปลุกให้ตื่นขึ้นมา เขาลืมตาขึ้นอย่างมึนงงเมื่อเห็นหลินลั่วหรานเขาก็คิดว่าตัวเองกำลังฝันอยู่ก่อนจะพึมพำบางอย่างออกมาแล้วหลับลงไปอีกครั้ง
ท่าทางเด็กๆ ของเขา ทำให้บรรยากาศเศร้าโศกเสียใจมลายหายไปจนหมดแม้แต่คนเคร่งขรึมอย่างผู้เป็พ่อ ก็ยังยิ้มออกมา
ทุกคนต่างพากันเดินเข้าไปยังด้านในตัวบ้านหลินลั่วหรานเดินตามอยู่ด้านหลังเธอมองไปยังพ่อแม่ที่ดูเด็กลงและเป่าเจียที่ยังมีชีวิตะโโลดเต้นอยู่ความอบอุ่นปรากฏขึ้นในหัวใจของเธอ การกลับบ้านนี่ดีจริงๆ
แต่ในขณะนั้นเอง ภายในวัดชิงเฉิงที่ห่างออกไปนั้นด้านในกระท่อมเล็กที่ตั้งอยู่บริเวณด้านหลัง ชายนักปราชญ์เฒ่าคนหนึ่งก็ลืมตาตื่นขึ้นมา
“เอ๋ เธอกลับมาแล้ว...มู่เหล่านี่กังวลเสียเปล่าจริงๆเด็กสาวที่มีโชคมากขนาดนั้น จะเป็อะไรไปง่ายๆ ได้อย่างไร”
ใบหน้ากลมๆ ของเ้าสำนักเสี่ยวอันยื่นผ่านช่องประตูเข้ามา
“อาจารย์ ท่านบอกว่าใครมีโชคนะ?”
เมื่อได้กลิ่นเต้าหู้ผัดที่ยังไม่หายไปจากตัวของลูกศิษย์นักปราชญ์แก่ก็โมโหขึ้นมา เขาเข้ามาฝึกศาสตร์ตั้งหลายปีแล้วทำไมตอนนั้นถึงได้รับคนแบบนี้มาเป็ศิษย์กันนะ?
นักปราชญ์เฒ่าโมโหขึ้นมาแล้ว และผลลัพธ์มันก็มักจะสาหัสเสมอ...
“อ๊ะ เจ็บ!” เ้าสำนักเสี่ยวอันกุมเข้าที่หัวพร้อมกับะโไปทั่วเพราะว่าการตอบกลับของนักปราชญ์เฒ่าก็คือ ที่ทับกระดาษสีเหลืองอำพันชิ้นหนึ่ง!