“เ้าเด็กคนนี้ไฉนจึงพูดเื่นี้ขึ้นมาในเวลานี้เล่า?” น้ำเสียงของหลี่เหล่าไท่เหฺยอ่อนลงแล้ว แต่สีหน้านั้นย่ำแย่ยิ่ง เขาถูกเด็กน้อยอายุห้าขวบข่มขู่หรือนี่ ซ้ำยังไม่รู้จะทำเช่นใดดี
“ครั้งนั้นท่านพ่อแยกเรือนออกมา ไม่ได้แบ่งทรัพย์สมบัติของท่านปู่มาแม้แต่อย่างเดียว คฤหาสน์ของท่านปู่เองก็มีอยู่ เรือนใหญ่และเรือนสามมาอาศัยอยู่ที่นี่นั้นไม่ถูกต้องนัก” หลี่ลั่วกล่าวอีก
“พูดจาเหลวไหล” หลี่เหล่าไท่เหฺยโมโหแล้ว “ขอเพียงข้ายังมีชีวิตอยู่ ทุกคนต้องอยู่ด้วยกัน”
“ครั้งนั้นเมื่อแยกเรือนออกมา ไฉนท่านปู่จึงไม่เอ่ยกับท่านพ่อเช่นนี้เล่า?” หลี่ลั่วถาม
“เ้า...ในสายตาของเ้าช่างไม่มีผู้าุโผู้เยาว์เสียจริง ไม่รู้จักเคารพผู้หลักผู้ใหญ่” หลี่เหล่าไท่เหฺยโมโหจนด่ากราด
“ท่านปู่คิดจะให้ทุกคนอาศัยอยู่ด้วยกัน ข้ามิใช่ว่าจะรับปากไม่ได้ แต่คนของครอบครัวสกุลหยวน...ไสหัวออกไปให้ข้าเสียเถอะ” น้ำเสียงของหลี่ลั่วพลันแข็งขึ้นมา “ข้าเป็เด็กน้อยอายุห้าขวบ ไม่้ารักษาหน้าตาอันใด จวนโหวไม่มีทางเสียหน้าเพราะเื่ที่เด็กอายุห้าขวบก่อขึ้น แต่เื่ของสกุลหยวน เป็ท่านปู่ต่างหากเล่าที่ต้องเสียหน้า”
“ข้าจะคิดดู”
“หยวนข่ายยังอยู่ที่ศาลาจวนว่าการ พรุ่งนี้ให้สกุลหยวนย้ายออกไปเสีย เพื่อไม่ให้เขาออกจากจวนว่าการแล้วกลับมายังจวนโหว” หลี่ลั่วกล่าวย้ำเตือน
“พรุ่งนี้รีบเร่งเกินไป จะหาเรือนได้เร็วเช่นนี้ได้อย่างไรเล่า?”
“จวนชิ่งป๋อไม่มีเรือนให้พวกเขาอาศัยหรือไร? จวนชิ่งป๋อเป็ญาติฝ่ายมารดาของพวกเขาแท้ๆ” หลี่ลั่วท้วงขึ้นเสียงเย็น “ข้าไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ขอตัวก่อนขอรับ”
หลี่เหล่าไท่เหฺยไม่รู้แม้กระทั่งว่าหลี่ลั่วออกไปจากห้องหนังสือั้แ่เมื่อใด เขามีชีวิตอยู่มาจนอายุปูนนี้แล้ว นี่เป็ครั้งแรกที่ต้องมาพานพบเื่เช่นนี้ เขายังไม่ทันได้ตั้งตัวกับเื่ที่รุมเร้าเข้ามาเลย ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงที่สุดก็คือหลี่ลั่วมีอำนาจบารมีแข็งแกร่งนัก หลานคนนี้ไม่เหมือนเขา และไม่เหมือนลูกชายของเขา แต่เขามองเห็นอำนาจบารมีของบุตรชายภรรยาเอกในตัวของหลานคนนี้
หลี่ซวี่เป็คนพยศและมีอำนาจแข็งแกร่ง เหมือนครานั้นเขา้ายืนยันที่จะแยกเรือนกระทั่งไม่สนใจคำว่ากตัญญู อย่างไรเสียก็้าแยกเรือน และตอนนี้หลานคนนี้ก็เป็เช่นเดียวกัน
นี่เป็สิ่งที่สืบทอดกันมาหรือ? ในตอนนี้หลี่เหล่าไท่เหฺยไม่คิดเื่นี้แล้ว เขาต้องไปจัดการเื่ของสกุลหยวนก่อน ดังนั้นเขาจึงมาที่ห้องของหลี่เหล่าไท่ไท่ เมื่อเห็นหลี่เหล่าไท่ไท่เขาก็ได้แต่ทำคอหดคอยืด ภรรยาคนที่สองของเขาคนนี้เป็คนแข็งๆ เขาไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากกับนางอย่างไรดี เื่ราวในบ้านนางเป็คนจัดการมาโดยตลอด เขาไม่เคยไม่ยุ่งเกี่ยวกับเื่เหล่านี้ บัดนี้ไฉนเื่ราวจึงช่างมากมายวุ่นวายนัก? หลี่เหล่าไท่เหฺยยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด แต่เมื่อหงุดหงิดเขาจึงนำเอาเื่นั้นโยนไปให้ภรรยาคนนี้ของเขา หากไม่ได้รับเอาคนสกุลหยวนเข้ามาเื่คงไม่ยุ่งยากเช่นนี้ ดังนั้นปัญหาจึงอยู่ที่คนสกุลหยวน
“นายท่าน จัดการเรียบร้อยแล้วหรือไม่? ลั่วเกอเอ๋อร์ทางนั้นเป็เช่นใดบ้าง? ข่ายเกอเอ๋อร์ยังอยู่ในคุกรอให้ท่านไปช่วยออกมา” หลี่เหล่าไท่ไท่กล่าว
“ฮึ” หลี่เหล่าไท่เหฺยร้องเสียงเย็นขึ้นครั้งหนึ่ง “เ้ายังมีหน้ามาพูดอีกหรือ? หยวนข่ายเ้าสัตว์เดรัจฉานตัวนั้นกล้าทำเื่เช่นนี้กับหลินเจี่ยเอ๋อร์ เ้ายังมีหน้ามาพูดว่าลั่วเกอเอ๋อร์ทำไม่ถูกอีก”
“ท่านพูดอันใดกัน? ลั่วเกอเอ๋อร์พูดจาปลิ้นปล้อนกลับกลอกต่อหน้าท่านใช่หรือไม่” หลี่เหล่าไท่ไท่ถาม
“หลินเจี่ยเอ๋อร์เป็หลานสาวของข้า” หลี่เหล่าไท่เหฺยกล่าว “เื่ที่ข่ายเกอเอ๋อร์ทำนั้นช่างต่ำช้าป่าเถื่อนนัก พวกเขามาทำการค้าที่เมืองหลวงไม่มีที่อยู่ หยางซื่อจึงยอมให้พวกเขาเข้ามาอยู่อาศัย แต่นี่กลับผิดต่อพวกเขาแล้ว เขากลับกล้าล่วงเกินหลินเจี่ยเอ๋อร์ ลั่วเกอเอ๋อร์ปกป้องดูแลพี่สาวของตนเองเช่นนี้ผิดอันใดหรือ?”
“ท่าน...นี่ท่านพูดเื่อันใดกัน? ครั้งนั้นเมื่อท่านแต่งข้าเป็ภรรยาท่านพูดว่าอย่างไร ท่านบอกว่าจะดีต่อข้า แล้วบัดนี้เล่า? ท่านจะรังแกบุตรชายของข้าใช่หรือไม่? ท่านคิดว่าจวนชิ่งป๋อของข้าไม่มีคนอื่นแล้วหรือไร?” หลี่เหล่าไท่ไท่ถาม
“จวนชิ่งป๋อย่อมมีคนอื่นอยู่แน่นอน” หลี่เหล่าไท่เหฺยกล่าว “ในเมื่อจวนชิ่งป๋อมีคนอื่นอยู่ เช่นนั้นครอบครัวหยวนเฉิงก็ให้ย้ายไปอยู่ที่จวนชิ่งป๋อเถิด อาศัยอยู่ที่นี่กับพวกเราก็ไม่ถูกต้องอันใดนัก บัดนี้เ้าเป็สตรีของสกุลหลี่”
“หลี่เนี่ยนจู่ นี่ท่านกล้ารึ” หลี่เหล่าไท่ไท่ลุกขึ้นมาจากเตียง “ท่านกล้าไล่พวกเขาออกไปรึ?”
“มิใช่ข้ากล้า แต่เป็ลั่วเกอเอ๋อร์ที่กล้า” หลี่เหล่าไท่เหฺยกล่าว ไม่เกี่ยวกับเขา แต่ลั่วเกอเอ๋อร์พูดไว้ชัดเจน
“สัตว์เดรัจฉาน เ้าสัตว์เดรัจฉานตัวนั้น เขากล้าข่มเหงรังแกบุตรชายของเขา ข้าไม่มีวันปล่อยเขาเอาไว้แน่” หลี่เหล่าไท่ไท่ส่งเสียงร้องฮึ
หลี่เหล่าไท่เหฺยหรี่ตาลง “เ้ากำลังพูดเื่อันใดกัน? ลั่วเกอเอ๋อร์เป็หลานชายของข้า และก็เป็หลานชายของเ้าด้วย”
“ข้าไม่มีหลานชายที่ไม่รู้จักเคารพผู้ใหญ่อย่างเขา” หลี่เหล่าไท่ไท่พูด
“ในเมื่อเ้าไม่ยอมรับเขาเป็หลาน เช่นนั้นที่นี่เป็จวนโหว เขาเป็โหวเหฺย” หลี่เหล่าไท่เหฺยกล่าวเตือน “อย่างไรเสียลั่วเกอเอ๋อร์ก็ได้พูดเอาไว้แล้ว พรุ่งนี้สกุลหยวนต้องย้ายออกไป หากเ้ามีความสามารถเปลี่ยนความคิดของลั่วเกอเอ๋อร์ได้ เ้าก็ไปหาเขาเอง”
“ท่านช่างเป็สามีที่อ่อนแอ แม้แต่หลานชายของตนก็ยังจัดการไม่ได้” หลี่เหล่าไท่ไท่ด่าด้วยความโมโห
“เ้าไม่ต้องพูดถึงข้า เ้าเข้ามาอาศัยอยู่ที่นี่มีจุดประสงค์อันใดพวกเราต่างรู้ดี” หลี่เหล่าไท่เหฺยพูด “เ้ากับข้าเป็พวกเดียวกัน เ้ากับสกุลหลี่ก็เป็พวกเดียวกัน กับสกุลหยวนนั้นไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว ข้ากำลังวิ่งเต้นตำแหน่งราชเลขาธิการ ข้าไม่อยากให้เกิดเื่อันใดขึ้น”
“ท่าน...”
“ข้าออกไปก่อนละ เ้าลองคิดดูให้ดีก็แล้วกัน”
‘ปัง’...หลี่เหล่าไท่ไท่หยิบหมอนใบหนึ่งโยนข้ามไป
ณ เรือนโฉวงจี๋
หลี่ลั่วกำลังนอนฟุบอยู่บนตั่งยาว สวมเพียงกางเกงตัวในตัวเดียว ร่างกายท่อนบนไม่ได้สวมเสื้อ บริเวณแขนของเขามีเนื้อเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย “ออกแรงอีกหน่อย” เขากล่าว “วันนี้ข้าเหนื่อยแทบตาย”
“โหวเหฺยร้ายกาจยิ่งนักขอรับ บ่าวนับถือ” ซินเป่าพูด
หลี่ลั่วหัวเราะเบาๆ “เ้านี่ปากหวาน พูดจาน่าฟัง นวดเร็วเข้า”
“ขอรับ”
ซินเป่าไม่ได้ร่ำเรียนด้านการนวดมาก่อน แรงที่กดนวดจึงไม่สมดุล และกดไม่ถูกจุดชีพจรสำคัญ นวดได้สักครู่หลี่ลั่วจึงยอมถอดใจ “ไป หยิบกระดาษและพู่กันมา”
ซินเป่าวิ่งไปหยิบกระดาษและพู่กันที่ห้องหนังสือด้านข้าง
หลี่ลั่วนอนคว่ำแล้ววาดรูปคนลงบนกระดาษ จากนั้นจึงวาดจุดชีพจรสำคัญบนร่างกายของมนุษย์ออกมา “เห็นแล้วหรือไม่ ให้กดตามจุดชีพจรเหล่านี้ หากแรงพอแล้วข้าจะร้องบอก ต้องกดทุกจุด หลังจากนั้นให้นวดตามจุดชีพจรเหล่านี้ด้วย”
“ทราบแล้วขอรับ” ซินเป่าได้ยินแล้วรู้สึกหูตากว้างไกลขึ้นมา “โหวเหฺย ท่านมีความรู้กว้างขวางมากจริงๆ ขอรับ”
“ติดตามข้า ต่อไปเ้าจะได้เรียนรู้มากกว่านี้อีก” หลี่ลั่วกล่าว
“ซินเป่าต้องกอดขาใหญ่ทั้งสองข้างของท่านให้แน่นแน่ๆ ขอรับ”
หลี่ลั่วคิดถึงขาทั้งสองข้างของตน “ขาของข้าหนามากหรือ?”
“ไม่หนาขอรับ”
“ใหญ่หรือไม่?”
“ไม่ใหญ่ขอรับ”
“แล้วไฉนจึงกลายเป็ขาใหญ่เล่า?”
“ต่อไปจะใหญ่ขอรับ”
“ฮ่าๆๆ...” หลี่ลั่วฟังแล้วทนไม่ไหวหัวเราะออกมา “เล่านิทานให้ข้าฟังหน่อย ข้าชอบฟังนิทานเื่ผี”
“เสี่ยวโหวเหฺย ท่านแม่ของข้าเคยเล่าให้ข้าฟัง มีครอบครัวหนึ่งแม่ตายไป ต่อมาพ่อก็ได้แต่งแม่เลี้ยงเข้ามา พ่อคนนั้นส่วนใหญ่ก็ยุ่งอยู่กับงาน มักจะไม่อยู่ที่บ้าน ครอบครัวนั้นมีลูกสาวสามคนนอนกับแม่เลี้ยง คืนหนึ่งลูกสาวได้ยินเสียงแม่เลี้ยงกำลังกินของกินอยู่ ดังนั้นลูกสาวจึงถามขึ้นว่า ‘ท่านแม่ ท่านกำลังกินสิ่งใด ข้าอยากกินด้วย’ ดังนั้นแม่เลี้ยงคนนั้นจึงตอบว่า ‘ข้ากำลังกินขนมกรอบเค็ม’...”
“ขนมกรอบเค็มคือสิ่งของอันใดเล่า?”
“มันทำมาจากแป้งหมี่ขอรับ ยาวขนาดนิ้วมือ มีรสชาติหวานๆ เค็มๆ กัดลงไปจะกรุบกรอบ” ซินเป่าอธิบาย “เป็ชิ้นๆ รสชาติดีมาก แต่น้ำตาลเยอะมาก ของกินชนิดนี้จึงมีราคาค่อนข้างสูง”
“อืม เล่านิทานต่อเถิด”
“จากนั้นแม่เลี้ยงจึงยื่นไปให้ลูกสาวหนึ่งชิ้น ตอนนั้นพวกนางนอนอยู่บนเตียง เตียงอยู่ติดริมหน้าต่าง ด้านนอกหน้าต่างมีแสงจันทร์สาดส่องลงมา ลูกสาวคนที่อยากกินนั้นอาศัยแสงจากดวงจันทร์ก็พบว่า นี่เป็นิ้วมือคน นางใมาก แต่นางยังใจเย็นได้อยู่ นางพูดกับแม่เลี้ยงว่า ‘ท่านแม่ ข้าอยากไปห้องน้ำ ข้าไม่กล้าไปคนเดียว ข้าเรียกน้องสาวไปเป็เพื่อนนะเ้าคะ’ แม่เลี้ยงก็บอกว่า ‘ได้ พวกเ้าไปด้วยกันเถอะ’ ดังนั้นแม่นางน้อยคนนั้นจึงเรียกพี่น้องของตนที่นอนอยู่ข้างๆ อีกคนหนึ่ง จากนั้นนางจึงหยิบนิ้วมือนิ้วนั้นให้น้องสาวของตนดู ต่อมาทั้งสองคนก็ได้หนีไป แม่เลี้ยงคนนั้นรอแล้วรอเล่าไม่เห็นสองพี่น้องกลับมา จึงออกไปตามหาพวกนางที่ห้องน้ำ ผลปรากฏว่าไม่เห็นทั้งสองคนแม้แต่เงา”
“แม่เลี้ยงคนนั้นเป็ปีศาจแปลงกายมารึ?”
“นางเป็ปีศาจแปลงกายมาขอรับ ข้าฟังนิทานเื่นี้ตอนที่ยังเป็เด็ก กลัวจนไม่กล้าไปเข้าห้องน้ำเลย มีอยู่ครั้งหนึ่งข้ากลัวมากจึงฉี่รดกางเกง”
หลี่ลั่วทนไม่ไหวหัวเราะออกมาพรืดหนึ่ง “ต่อไปติดตามข้าฝึกวิชายุทธ์ ขอเพียงเ้าซื่อสัตย์และภักดีต่อข้า ย่อมมีผลดีต่อเ้า”
“ขอรับ ขอบพระคุณโหวเหฺย” ซินเป่านั้นกระจ่างแจ้งในใจอย่างยิ่ง ท่านย่าของเขาซินหมัวมัวได้เตือนเขาไว้นานแล้ว ไม่ว่าอันใดต้องฟังเสี่ยวโหวเหฺย ต่อไปเขาจะต้องเป็หน้าเป็ตาให้กับสกุลซินให้ได้
ณ จวนฉีอ๋อง
จวนฉีอ๋องมีบ่อน้ำพุร้อนอยู่แห่งหนึ่ง เป็น้ำพุร้อนที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ จากนั้นจึงก่อสร้างขึ้นมาเป็บ่อน้ำพุร้อน ครั้งนั้นได้ใช้ทั้งกำลังแรงงานคนและทรัพย์สินสิ่งของไม่น้อยเลยทีเดียว นี่เป็บ่อน้ำพุร้อนที่จ้าวหนิงฮ่องเต้สร้างขึ้นเพื่อกู้จวิ้นเฉิน จวนองค์ชายใหญ่ องค์ชายรอง และองค์ชายสามล้วนไม่ได้รับเกียรตินี้
แต่องค์ชายทั้งสามจะริษยากู้จวิ้นเฉินก็ไม่ได้ ใครให้เขาจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินยี่สิบปีเล่า? เื่ที่กู้จวิ้นเฉินจะมีอายุไม่เกินยี่สิบปีนั้นมีคนรู้ไม่มากนัก มีเพียงแค่เชื้อพระวงศ์ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เื่นี้
กู้จวิ้นเฉินเป็คนที่รู้จักใช้ชีวิตคนหนึ่ง บ่อน้ำพุร้อนมีขนาดใหญ่มาก เรือนหลินฮวนทั้งเรือนมีเพียงบ่อน้ำพุร้อน บ่อน้ำพุร้อนขนาดใหญ่แห่งนี้อวลไปด้วยไอร้อน ราวกับอยู่ท่ามกลางสายหมอกอย่างไรอย่างนั้น
เห็นได้ชัดเจนว่าน้ำในบ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้นั้นร้อนเพียงใด แต่ทว่ากู้จวิ้นเฉินกลับไม่รู้สึกถึงความร้อนเ่าั้เลย เสมือนว่าเขาไม่รับรู้ถึงความหนาวเย็นในอากาศอย่างไรอย่างนั้น กู้จวิ้นเฉินยกมือขึ้นมาแล้วมองไปที่ฝ่ามือของตน ที่จริงแล้วเขาเคยรู้สึกได้ถึงความร้อนมาก่อน ความร้อนนั่นมาจากการััซึ่งเขาเคยได้รับมาเมื่อนานแสนนานมาแล้ว นานมากจนกระทั่งเขาลืมเลือนมันไปหมดสิ้น
และในยามที่มือของเด็กน้อยทั้งคู่จับมือของตนเอาไว้ เขาก็รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่ถ่ายทอดมาจากมือคู่นั้น
กู้จวิ้นเฉินลุกพรวดขึ้น เรือนร่างนั้นดูแล้วคล้ายกับจะเป็ชายหนุ่มอ่อนแอแลดูเปราะบาง ร่างกายสูงโปร่ง ทว่ามีกล้ามเนื้อขึ้นเป็ลอนหนา กู้จวิ้นเฉินฝึกยุทธ์ั้แ่ยังเยาว์ เมิ่งเต๋อหลางบอกว่าพิษที่เขาได้รับไม่มีผลกระทบต่อการฝึกยุทธ์ของเขา และด้วยยาพิษนี้ เมิ่งเต๋อหลางจึงได้ปรุงยาสำหรับควบคุมพิษให้กับเขา ซึ่งยาตัวนั้นกลับยังช่วยในการฝึกยุทธ์ของเขาให้อีกด้วย
เขายื่นมือไปหยิบเสื้อตัวในสีขาวมาตัวหนึ่ง สวมอาภรณ์โดยไม่ใส่ใจหยดน้ำบนร่างกายที่ยังไม่แห้ง จากนั้นเริ่มฝึกกระบี่
‘ท่านอ๋อง ต่อให้ยานี้จะทำให้ท่านมีอายุอยู่ได้จนถึงยี่สิบปี แต่ในระหว่างนั้นมิอาจรับรองได้ว่าสุขภาพของท่านจะแข็งแรงดี และมีความเป็ไปได้ถึงแปดส่วนว่าสุขภาพอาจเกิดปัญหาขึ้น’
นี่เป็คำเตือนของเมิ่งเต๋อหลางที่ทิ้งไว้ให้เขาก่อนจากไป
‘ครั้งก่อนข้าได้ยินท่านพูดกับองค์ชายสามว่าท่านจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินยี่สิบปี เช่นนั้นผู้ที่บอกท่านว่าท่านจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินยี่สิบปีได้บอกกล่าวแก่ท่านหรือไม่ว่า ในระหว่างนี้นั้นไม่ได้รับรองว่าท่านจะมีชีวิตอยู่อย่างสุขภาพแข็งแรงจนกระทั่งอายุยี่สิบปี ไม่สามารถรับรองได้ว่าในระหว่างนี้ร่างกายของท่านจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ขึ้น’
ส่วนนี่ เป็คำพูดของเด็กน้อยอายุห้าขวบที่เอ่ยขึ้นกับเขาในวันนั้น