เล่มที่ 2 บทที่ 37
“จ้าวจื่อซิน เ้าไม่รักและเอ็นดูน้องหญิงแล้วหรือ” จ้าวจื่อซินไม่พูดอะไร แต่เฉินเทียนหยูกลับตบจ้าวจื่อซินอย่างดุเดือด “ทำไมเ้าไม่ตามหาน้องหญิงล่ะ? ทำไมเ้าไม่รักและเอ็นดูน้องหญิง?”
เฉินเทียนหยูะโเสียงดังแต่เปลือกตาของชิงยวี่กลับกระตุก เขาก้าวถอยหลังทันทีและทำเป็ไม่รู้ไม่ชี้
คุณชายรองสกุลเฉินคนนี้ก็โง่มากพอจริงๆ ภรรยาของเ้า ทำไมต้องให้เ้านายของข้ารักและเอ็นดูด้วยล่ะ? นอกจากนั้นถ้าเ้านายของข้ารักและเอ็นดูภรรยาของเ้าจริงๆ นั่นก็หมายความว่าภรรยาของเ้าเสร็จเ้านายของข้าเป็แน่
เขาลอบส่ายศีรษะ เพื่อพิสูจน์ว่าเขาไม่ได้ยินและไม่รู้อะไรเลย ชิงยวี่จึงทำตนประหนึ่งมนุษย์ล่องหน
ชิงยวี่ปกป้องตัวเองด้วยสติและเหตุผล ทว่าจ้าวจื่อซินกลับถอนสายตา เพ่งมองไปที่เฉินเทียนหยู เมื่อมองปราดหนึ่ง ก็เห็นความเย็นะเืสุดจะพรรณนาเป็คำพูดได้
เมื่อเฉินเทียนหยูถูกจ้าวจื่อซินมองเช่นนั้น เขาก็ใโดยไม่มีเหตุผล ก่อนจะก้าวเท้าถอยหลังอย่างอธิบายออกมาเป็คำพูดไม่ได้ เขาพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เ้า... เ้ามองข้าเช่นนั้นทำไมหรือ? เ้าไม่รักและเอ็นดูน้องหญิง ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปหาเอง ฮึ่ม!”
หลังจากเปล่งเสียงฮึ่มอย่างหนัก เฉินเทียนหยูก็ไม่ได้เดินไปหาตามทางเดิมแต่ก้าวเท้าวิ่งไปในทิศทางตรงกันข้าม
จ้าวจื่อซินมองตามแผ่นหลังซึ่งแสดงออกถึงความรีบร้อนของเฉินเทียนหยูก่อนหรี่ตาเล็กลงและเอ่ยถามชิงยวี่ “เ้าบอกข้ามาสิว่ามู่หรงฉิงคนนั้นมีภูมิหลังอย่างไร? คิดไม่ถึงว่าจะสามารถทำให้เฉินเทียนหยูสนใจมากถึงเพียงนี้ สามารถดึงดูดความสนใจจากคนโง่ได้มากมาย ยิ่งทำให้คนเข้าใจยากแล้วจริงๆ เฮอะ! เป็ไปได้หรือไม่ว่าคนโง่จะรักคนโง่ด้วยกัน?”
เอ่อ… เ้านาย จริงๆ แล้วเ้านาย้าบอกว่า มู่หรงฉิงคนนั้นน่าสนใจมากใช่หรือไม่? ชิงยวี่ไม่เข้าใจว่าทำไมจ้าวจื่อซินถึงต้องบิดเบือนความหมายด้วย หลังจากคิดตรึกตรอง เขาก็พูดอย่างไม่มั่นใจว่า “เ้านาย้าไปดูหรือไม่? บางทีหลังจากการสังเกตให้มาก จะช่วยให้เข้าใจถึงภูมิหลังของฮูหยินน้อยตระกูลเฉินก็เป็ไปได้นะ”
“อืม ไม่เลว จะต้องสังเกตให้มากขึ้นถึงจะถูก ด้วยข้อตกลงห้าปี เวลาสามปีได้ผ่านไปแล้ว อีกไม่นานข้าก็จะเป็อิสระแล้ว อย่าทำอะไรผิดพลาดใน่เวลาสุดท้ายนี้จะดีที่สุด” หลังจากพูดจบ จ้าวจื่อซินก็ก้าวเท้าไล่ตามเฉินเทียนหยู
ทันทีที่จ้าวจื่อซินเดินพ้นไป ชิงยวี่จึงเงยหน้าขึ้น ดวงตาเต็มไปด้วยความเศร้าโศก เ้านาย... เ้านายคงอยากรู้เกี่ยวกับมู่หรงฉิงคนนั้นใช่หรือไม่?
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ขณะที่เฉินเทียนหยูซึ่งอยู่ในทิศทางตรงกันข้ามกับมู่หรงฉิงกำลังมองหาเด็กสาวในทิศทางเดียวกับตำแหน่งที่นางอยู่ มู่หรงฉิงก็กำลังนั่งอยู่บนพื้นมองดูสมุดบันทึกวิชาของแพทย์อย่างตั้งใจ
สมุดบันทึกเล่มนี้บันทึกถึงการเลิกกินผลโยิว่ายังอยู่ในระหว่างการทดสอบ จากเนื้อหาในสมุดบันทึกหมอเทวดาใช้สัตว์เป็การทดสอบ เนื่องด้วยไม่มีมนุษย์คนไหนอยากจะเอาตัวเองเข้าไปทดลอง ถ้าเกิดกลายเป็คนโง่จริงๆ มันไม่ใช่เื่ตลก
เพียงแต่มู่หรงฉิงไม่เข้าใจ ถ้าทำการทดลองกับสัตว์แล้ว หมอเทวดาจะแยกแยะได้อย่างไรว่าสัตว์ทดลองเ่าั้เป็ปกติ? หรือกลายเป็สัตว์โง่ไปแล้ว?
พูดได้หรือไม่ว่าหมาป่าที่กินเนื้อในทุกวัน ถ้าให้กินหญ้า มันก็จะกินอย่างโง่เขลากระนั้นหรือ?
“เฮอะ ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่น่าเชื่อถือ” เมื่อตระหนักรู้ว่าตัวเองกำลังคิดไร้สาระเกินไป นางก็ยกยิ้มอย่างอดไม่ได้และมองดูสมุดบันทึกต่อไป
พิจารณาจากบันทึกในสมุด สถานการณ์ของเฉินเทียนหยูคล้ายกับป่วยเกินเยียวยา แม้อยากจะรักษา แต่ก็ไม่ใช่เื่ง่าย อย่างไรก็ตามหมอเทวดาได้แสดงความคิดเห็นด้านข้างไว้ว่า ‘เวลาครึ่งปี’ พูดได้หรือไม่ว่าตราบใดที่มีวิธีการถูกต้อง ภายในเวลาครึ่งปีก็จะสามารถทำให้เฉินเทียนหยูกลายเป็ปกติได้?
สามปีของภาวะโง่งมและสมองเสื่อม ครึ่งปีก็สามารถกลายเป็คนปกติได้ ความสำเร็จแบบนั้นมันรวดเร็วเกินไปแล้ว แต่ถ้าล้มเหลวก็จะเสียชีวิต เช่นนั้นจะได้ไม่คุ้มเสีย
นางส่ายศีรษะไปมาพลางวางสมุดบันทึกในมือลง จากนั้นเปิดดูสมุดบันทึกที่ประสบผลสำเร็จอีกเล่มหนึ่ง
ด้วยความเร่งด่วนในปัจจุบัน นาง้าทำความเข้าใจยา ‘ทางเลือก’ เพียงแต่ไม่รู้ว่าในสมุดบันทึกของหมอเทวดาจะเขียนถึงยา ‘ทางเลือก’ หรือไม่? ถึงกระนั้นนางก็ไม่ได้คาดหวังมากเกินไป
ทว่าสิ่งที่มู่หรงฉิงไม่คาดคิดก็คือ บันทึกเกี่ยวกับยา ‘ทางเลือก’ ถูกเขียนอยู่ในหน้าที่สามของสมุดบันทึก มันทำให้มู่หรงฉิงไม่กล้าที่จะเชื่อเล็กน้อย
มู่หรงฉิงต้องประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม หลังจากพบว่าเนื้อความซึ่งบันทึกเกี่ยวกับยา ‘ทางเลือก’ มีเพียงไม่กี่คำ ทว่าแต่ละคำนั้นทรงพลังมาก
ครั้นนึกถึงแม่นมทั้งสองคนซึ่งถูกยวี้เอ๋อร์เปลี่ยนความคิด มู่หรงฉิงก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็ความรู้สึกผิดหรือเป็ความเศร้า?
แม่นมทั้งสองคนเคยฝ่าฟันอุปสรรคมามากมาย ได้เห็นเื่ต่างๆ หลากหลายที่ซ่อนอยู่ในจวน แต่ไม่คาดคิดเลยว่าแม่นมทั้งสองคนจะตกอยู่ในกำมือของผู้หญิงเช่นยวี้เอ๋อร์
ควรจะกล่าวว่า พวกนางเชื่อใจยวี้เอ๋อร์ง่ายดายเกินไป? หรือเป็เพราะยวี้เอ๋อร์ปลอมตัวเก่งเกินไป?
นางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจและอ่านเนื้อหาทั้งหมดในสมุดบันทึก หลังจากอ่านจนครบถ้วน มู่หรงฉิงก็เข้าใจถึงพลังของยา ‘ทางเลือก’ แล้วเช่นกัน
หลังจากกินยา ‘ทางเลือก’ จะทำให้คนความจำเสื่อม โดยต้องดำเนินการร่วมกับ ‘คาถาพิศวาส’ ก็จะสามารถเปลี่ยนความทรงจำของผู้คนได้
อย่างไรก็ดีคนคนหนึ่งสามารถใช้ยา ‘ทางเลือก’ ได้เพียงครั้งเดียวในชีวิต และผลของ ‘คาถาพิศวาส’ ก็สามารถเปลี่ยนความทรงจำได้แค่ครั้งเดียวเช่นกัน
ตัวอย่างเช่น แม่นมฟางพวกนางถูกยวี้เอ๋อร์วางยา ‘ทางเลือก’ และถูกยวี้เอ๋อร์ใช้ ‘คาถาพิศวาส’ เพื่อเปลี่ยนความทรงจำ ดังนั้นในอนาคตแม่นมฟางจะไม่ได้รับผลกระทบจากพิษชนิดนี้อีกต่อไป กล่าวอีกนัยหนึ่ง หลังจากแม่นมสองคนฟื้นตัวเพราะยาแก้พิษ แม้พวกนางจะกินยา ‘ทางเลือก’ ในภายภาคหน้า ก็จะไม่เป็ผลอีกต่อไป
เนื้อความที่ได้อ่านส่งผลให้มู่หรงฉิงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก ดูเหมือนว่า ทุกสิ่งในโลกก็มีข้อดีและข้อเสียเช่นกัน ยา ‘ทางเลือก’ มีฤทธิ์ได้จากอำนาจของ ‘คาถาพิศวาส’ หากสามารถใช้ได้อย่างไม่จำกัด เกรงว่าโลกคงจะถูกคนเ่าั้ควบคุมไปนานแล้ว
พิจารณาจากเนื้อหาในสมุดบันทึก ยาแก้พิษ ‘ทางเลือก’ คือยาเม็ดสีม่วงเข้ม หลังจากกินยาแก้พิษภายในครึ่งชั่วยาม ความจำก็จะกลับคืนมา ยาเม็ดนี้มีสีม่วงเข้มและปราศจากรสชาติ ผิวของมันเรียบเหมือนหยก จะเห็นได้ว่าการปรุงยาแก้พิษไม่ใช่เื่ง่ายเลย
เมื่อก่อนเคยพูดกับจ้าวจื่อซินว่าจะร่วมมือกัน ย่อมต้องแสดงความจริงใจต่อกัน ฝั่งจ้าวจื่อซินก็สัญญาแล้วว่าจะหายาแก้พิษ ‘ทางเลือก’ มาให้ ถ้าเขาต้องเดินทางไปโน่นไปนี่ เกรงว่าสองสามเดือนคงจะไม่เพียงพอเป็แน่ แต่นางมีเวลาไม่มากและอนุหนิงก็ได้ให้คนไปส่งจดหมายถึงพี่ชายใหญ่ของนางแล้ว ถ้าพี่ชายของนางกลับมาที่เมืองหลวงในตอนนี้ ย่อมถึงเหลียงโจวภายในอีกสองเดือนข้างหน้า และถ้านางไปเหลียงโจวจะต้องใช้เวลาหนึ่งเดือน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง นางต้องไปถึงด้านนอกเหลียงโจวภายในเวลาหนึ่งเดือนเพื่อรอพี่ชายใหญ่ ต้องไม่ปล่อยให้พี่ใหญ่เข้าเมืองเหลียงโจวอย่างเด็ดขาด มิเช่นนั้นด้วยจิตใจอันร้ายกาจของอนุหนิง อีกฝ่ายคงต้องเตรียมนักฆ่าจำนวนมากซุ่มโจมตีบนท้องถนนระหว่างเดินทางอย่างแน่นอน จากนั้นแค่รอให้พี่ใหญ่ะโเข้าไปในกับดัก
มู่หรงฉิงขบคิดถึงการช่วยเหลือพี่ชายใหญ่ นางพลอยรู้สึกวิตกกังวลอย่างมิอาจห้ามได้ นางต้องใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น และในปัจจุบันแม่นมทั้งสองคนก็ใช้การไม่ได้แล้ว อีกทั้งนางเพิ่งแต่งงานเข้ามาในจวนเฉิน ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะออกเดินทางไกล
ตอนนี้นางควรจะทำอย่างไรดี?
ด้วยความวิตกกังวล นางอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว จากนั้นเก็บสมุดบันทึกสองเล่มไว้ในแขนเสื้อ ก่อนยกมือขึ้นนวดหัวคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ “จะทำอย่างไรดี? นางมีเวลาไม่มากแล้ว...”
น้ำเสียงแ่เบาซึ่งไม่อาจบรรยายได้ว่าเป็ความเศร้าโศก หากทำได้ นางอยากจะไม่สนใจสิ่งใดและไปที่ป้อมปราการชายแดนเสียเดี๋ยวนี้จริงๆ
“ฮูหยินน้อยช่างมีอารมณ์สุนทรีย์จริงๆ คุณชายรองตามหาฮูหยินถึงกับจะคลุ้มคลั่งแล้ว แต่ฮูหยินน้อยกลับนั่งตากลมอยู่ใต้ต้นไม้ โดยไม่วิตกกังวลในสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับตนเอง”
น้ำเสียงร่าเริงดังขึ้น นางจึงหยุดนวดหว่างคิ้วทันควัน จากนั้นเงยหน้าขึ้น จึงพบกับดวงตาแกมล้อเลียนทั้งสองข้างของจ้าวจื่อซิน
‘จ้าวจื่อซินคนนี้น่ารำคาญจริงๆ’ นั่นเป็ความคิดแรกที่ผุดขึ้นในใจของมู่หรงฉิงเมื่อนางเห็นจ้าวจื่อซิน
“น้องหญิง น้องหญิงอยู่ที่ไหนหรือ?”
ขณะที่มู่หรงฉิงนึกไม่พอใจ จู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงของเฉินเทียนหยูดังแว่วมาจากระยะไกล นางเลิกคิ้ว ดูเหมือนว่าคนโง่งมคนนั้นได้พบว่านางหายตัวไปในท้ายที่สุด
จ้าวจื่อซินเห็นมู่หรงฉิงไม่ได้เอื้อนเอ่ยวาจาใด จึงนั่งลงตรงข้ามมู่หรงฉิงอย่างสบายๆ เวลาเกือบจะเที่ยงแล้ว ดวงอาทิตย์ก็ค่อยๆ แผดเผา แม้แต่อยู่ในป่าซึ่งมีต้นไม้ใหญ่ปกคลุม ยังเริ่มรู้สึกร้อนมากเช่นเดียวกัน
จ้าวจื่อซินละสายตาจากใบหน้าปราศจากอารมณ์ของมู่หรงฉิงไปที่ร่างกายของนาง ถึงได้เห็นเสื้อคลุมด้านนอกของนางเปียกน้ำจากเสื้อชั้นใน เมื่อเขาเลื่อนสายตา เขาเห็นว่ารองเท้าข้างขวาถูกถอดออก และข้อเท้าที่เปลือยเปล่านั้นบวมอย่างมาก
ครั้นรับรู้ถึงการจ้องมองของจ้าวจื่อซิน มู่หรงฉิงจึงขยับข้อเท้าเข้ามา จากนั้นดึงนิ้วเท้าเล็กๆ ขาวนวลแพรวพราวเข้าไปซ่อนไว้ใต้ชายกระโปรง แต่เนื่องจากการเคลื่อนไหวเร็วเกินไป ส่งผลต่อข้อเท้าที่เ็ปของนาง ทำให้นางขมวดคิ้วอย่างมิอาจห้ามได้
“เกิดอะไรขึ้นหรือ? ทำไมเสื้อผ้าถึงเปียกปอนเช่นนั้น? และทำไมเท้าถึงบวมอีกล่ะ?” การซุกซ่อนของมู่หรงฉิงทำให้จ้าวจื่อซินอารมณ์เสียอย่างอธิบายเป็คำพูดไม่ถูก สามคำถามจึงโพล่งออกไปติดต่อกันทั้งยังดูก้าวร้าวน่าหวั่นกลัว
เดิมจ้าวจื่อซินเป็คนเ็าเมื่อบวกรวมกับน้ำเสียงในการถาม ทำให้มู่หรงฉิงรู้สึกว่าคงเป็การยากเกินไปที่จะปฏิสัมพันธ์กัน นางไม่ชอบ แต่เนื่องจากต้องทำงานร่วมกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้เผยความรังเกียจมากเกินไป แค่เปล่งเสียงโดยปราศจากอารมณ์ว่า “ข้าบังเอิญตกลงไปในแม่น้ำ และข้อเท้าพลิกขณะขึ้นฝั่ง จึงเป็อย่างที่เห็น”
มู่หรงฉิงไม่้าให้จ้าวจื่อซินรู้เกี่ยวกับหมอเทวดา ท้ายที่สุดแล้วบุคคลนั้นเป็หมอเทวดาจริงๆหรือไม่ ก็ไม่อาจทราบแน่ชัด กอปรกับจ้าวจื่อซินเป็คนหยิ่งทะนง ทำตัวราวกับทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา นั่นเป็สาเหตุให้มู่หรงฉิงปิดบังสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้โดยสัญชาตญาณ
ใบหน้าสงบเสงี่ยมและน้ำเสียงไม่แยแสของมู่หรงฉิง มีความสง่างามเช่นบุตรสาวจากครอบครัวใหญ่เป็อย่างมาก อย่างไรก็ดี ถ้าเป็บุตรสาวจากครอบครัวใหญ่ควรจะร้องไห้ฟูมฟายและคร่ำครวญถึงความทุกข์ทรมานของตัวเองไม่ใช่หรือ? ทำไมนางถึงทำตัวเหมือนสบายดีเช่นนั้นล่ะ?
มู่หรงฉิงคนนี้น่าสนใจจริงๆ
หลังจากคิดในใจ จ้าวจื่อซินก็หัวเราะทันที แต่การหัวเราะอย่างปุบปับจางหายไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน ก่อนที่มู่หรงฉิงจะรู้สึกตัว เขาก็เรียกคืนความเยือกเย็นกลับมาบนใบหน้าเสียแล้ว
จากนั้นหยิบขวดยาออกจากกระเป๋าเสื้อ “ทายาก่อน มิเช่นนั้นเท้าของเ้าจะเสียหายได้”
เนื่องจากนางเคยใช้ยานี้ นางจึงรู้ว่าผลลัพธ์ของยาเกิดขึ้นภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว มู่หรงฉิงก็ไม่ได้ปฏิเสธ นางรับยาก่อนหันหลังให้จ้าวจื่อซินและค่อยๆ ทายา
นางทายาเบาๆ อย่างระมัดระวัง แต่ด้วยความเ็ปก็ทำให้มีเหงื่อเม็ดเป้งผุดซึมออกมาจากหน้าผากของนางเป็จำนวนมาก ถ้าเป็ไปได้ นางไม่้าทายาจริงๆ เพราะมันเจ็บเกินทน
แม้ว่ามู่หรงฉิงจะหันหลังให้จ้าวจื่อซิน แต่ด้วยท่าทางแข็งทื่อของนางย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่านางเ็ปมากเพียงใด ทั้งที่เป็เช่นนั้น แต่นางกลับไม่สามารถเผยความอ่อนแอออกมาได้เลยหรือ? บางทีถ้านางกรีดร้องด้วยความเ็ป เขาจะใช้กำลังภายในช่วยนวดให้นาง แม้ไม่สามารถรักษาให้หายได้ในทันที แต่อย่างน้อย มันก็สามารถลดอาการบวมและขจัดภาวะเืคั่งได้
เขาหัวเราะเบาๆ อีกหนกับความคิดนั้น จ้าวจื่อซินพบว่า มู่หรงฉิงคนนี้ไม่เหมือนผู้หญิงธรรมดาทั่วไปจริงๆ
มู่หรงฉิงมีทั้งคุณธรรมและพร์ แต่นางไม่มีความอ่อนแอเฉกเช่นบุตรสาวจากตระกูลใหญ่ ขณะเดียวกันนางกลับไม่มีความชั่วร้ายเฉกเช่นหญิงในเรือน ตัดสินจากการใช้กลอุบายของนางต่อเฉินเทียนหยู นางเป็คนที่ทั้งกล้าหาญและมีกลยุทธ์ พิจารณาจากวิธีการจัดการยวี้เอ๋อร์ผู้ทรยศต่อนาง นางเป็คนมีความคิดที่รอบคอบ ครั้นพิจารณาจากท่าทีของนางที่มีต่อแม่นมทั้งสองคนแล้ว นางเป็คนที่มีความรักและความชอบธรรม
คนในเรือนโดยเฉพาะผู้หญิงเมื่อพบว่าคนของตนใช้การไม่ได้แล้ว สิ่งแรกที่นึกถึงคือผลประโยชน์ของตัวเอง ไหนเลยจะคิดสนใจความผูกพันระหว่างเ้านายและบ่าว ย่อมต้องลงมือกำจัดสิ่งอันตรายภายในทั้งหมดก่อนเป็แน่
แต่มู่หรงฉิงกลับไม่ทำเช่นนั้น นางยังคงเก็บตัวต้นเหตุของความหายนะไว้ สั่งให้เขาหายาแก้พิษมาให้ แม้ว่ามันจะดูมีเมตตาเช่นผู้หญิงเกินไป แต่มันกลับเป็ความงี่เง่าอย่างน่ารัก
“น้องหญิง เ้าอยู่ที่นี่จริงๆ หรือ หือ... จ้าวจื่อซินเจอก่อนข้าได้อย่างไรกัน?” มู่หรงฉิงเพิ่งสวมรองเท้าเสร็จและลุกขึ้นยืน ทันใดนั้นเสียงร่าเริงของเฉินเทียนหยูก็พุ่งเข้ามาพร้อมกับตัวของเขา เมื่อเห็นเฉินเทียนหยูกำลังจะกระโจนเข้าใส่ มู่หรงฉิงก็รีบยกมือขึ้น “อย่า! เท้าของข้าเจ็บอีกแล้ว ข้าจะล้มไม่ได้อีกแล้ว”
“อ๊ะ? ทำไมเจ็บอีกแล้วล่ะ?” ครั้นได้ยินว่ามู่หรงฉิงเจ็บเท้าอีกครั้ง เฉินเทียนหยูจึงเอ่ยถามอย่างกังวลใจ หลังจากสังเกตจากศีรษะจรดปลายเท้าด้วยดวงตาอันสดใส เขาสรุปได้ในทันทีว่า “น้องหญิงแอบข้าไปเล่นน้ำ แต่ไม่ระวังทำข้อเท้าแพลง ฮึ! สมน้ำหน้าแล้ว”
ข้า... ข้าอยากฟาดเ้าด้วยฝ่ามือจริงๆ เ้านั่นแหละที่สมน้ำหน้าแล้ว
แม้นางอยากจะฟาดเฉินเทียนหยูด้วยฝ่ามือ แต่ในท้ายที่สุดสติและเหตุผลกลับหยุดการกระทำเช่นนั้น นางคิดไตร่ตรองครู่หนึ่ง ก่อนหายใจเข้าลึกๆ พลางพูดเบาๆ ว่า “นั่งลง”
“นั่ง? จะทำอะไรหรือ?”
“แบกข้าที ข้าเดินไม่ไหวแล้ว”
“อ๊ะ?”
เฉินเทียนหยูร้องอ๊ะ ฝั่งมู่หรงฉิงจึงเลิกคิ้วขึ้น “ขนมกรอบเทพี...”
“โธ่! ก็ได้ ข้าแบกน้องหญิง น้องหญิงาเ็แล้ว ข้าจะต้องรักและเอ็นดูน้องหญิง” ทันทีที่ได้ยินคำว่าขนมกรอบเทพี เฉินเทียนหยูย่อมไม่ชักช้าอีกต่อไป เขาย่อตัวลงนั่งทันใดโดยหันหลังให้มู่หรงฉิง