…แสงสีเขียวเรืองรองรอบกายอูิโยว หลิ่วไป๋เจ๋อที่อยู่ข้างกันพลันตกตะลึง รับรู้ได้ถึงบรรยากาศดุร้ายรอบตัวเขา
“เ้าเป็อะไรหรือไม่”
อูิโยวเร่งฝีเท้าและกัดฟันตอบ
“จิ่วฟางเทียนฉียังเป็หนี้กระต่ายข้าอยู่!” ดังนั้นห้ามเกิดเื่อะไรกับเ้าเป็อันขาด!
หลิ่วไป๋เจ๋อ “...”
ทั้งสองไล่ตามจนพ้นบริเวณูเาชุ่ยอวิ๋น แต่กลับไม่พบแม้แต่เงาของจิ่วฟางเทียนฉี ด้วยความเร็วของพวกเขาหากไล่กวดมาไกลขนาดนี้ เป็ไปไม่ได้เลยว่าจะตามอีกฝ่ายไม่ทัน พิกลยิ่งนัก
ทั้งสองหยุดอยู่กับที่ อูิโยวสูดหายใจเข้าลึก ขณะกำลังรวบรวมลมปราณหลิ่วไป๋เจ๋อก็ขัดจังหวะขึ้นมา
“เ้าจะใช้เงามรกตตามหาเขาหรือ”
อูิโยวจนปัญญา “หรือเ้ามีทางเลือกอื่น”
หลิ่วไป๋เจ๋อกล่าว “การใช้เงามรกตจะสูญเสียพลังิญญามากเกินไป ให้ข้าลองเถอะ”
ขณะที่เอ่ยหลิ่วไป๋เจ๋อก็หยิบขลุ่ยดินเผาออกจากข้างเอวแล้วจรดที่ริมฝีปาก เกิดท่วงทำนองบรรเลงโทนสูงต่ำที่มีชั้นเชิงแต่ให้ความรู้สึกแปลกแปร่ง อูิโยวไม่เคยได้ยินบทเพลงนี้มาก่อน
เพียงครู่เดียวก็มีเสียงกรอบแกรบดังมาจากป่าโดยรอบ หลิ่วไป๋เจ๋อเริ่มเร่งจังหวะ เสียงกรอบแกรบยิ่งดังใกล้เข้ามา ในที่สุดอูิโยวก็เห็นที่มาของเสียง
ผีเสื้อหลายพันตัวโบยบินมารวมกันอย่างรวดเร็ว รายล้อมรอบคนทั้งสอง
อูิโยวหันไปมองหลิ่วไป๋เจ๋อ ใบหน้าอีกฝ่ายค่อยๆ ซีดเซียวลง เม็ดเหงื่อผุดข้างขมับ ดูเหมือนว่าการทำเช่นนี้ต้องใช้พละกำลังอย่างมาก
ทำนองเพลงเปลี่ยนไปอีกครั้ง ไม่ได้เร่งเร้าเช่นก่อนหน้า บางครั้งก็เนิบช้าไพเราะ บางครั้งก็ปลอดโปร่งสนุกสนาน เหล่าผีเสื้อโบยบินทั่วท้องฟ้าราวกับได้รับคำสั่ง จากนั้นก็กระจัดกระจายแยกย้ายไปทุกทิศทุกทาง เพียงครู่เดียวก็หายลับไปในป่าทึบ
หลิ่วไป๋เจ๋อโซซัดโซเซ อูิโยวตาไวรีบเข้าประคองทันที
“เ้ายังพูดอยู่เลยมิใช่หรือว่าการใช้เงามรกตผลาญพลังจิติญญามากเกินไป วิธีเ้าก็ไม่ได้ดีไปกว่าข้าสักเท่าไรหรอก”
หลิ่วไป๋เจ๋อยิ้มไม่ได้กล่าวอะไร พยายามปรับลมหายใจให้คงที่
“เพลงยุทธ์นี้คืออะไรกัน เรียกผีเสื้อมาได้ด้วยหรือ”
หลิ่วไป๋เจ๋อกล่าว “ไม่ใช่เพลงที่ทรงพลังอะไร เป็เพลงที่บรรเลงยามว่าง มิได้ใช้พลังจิติญญา แค่ใช้ความรู้สึกที่ต่างจากปกติและใช้ความแข็งแกร่งทางร่างกาย พักสักหน่อยก็ดีขึ้นแล้ว ปกติเพลงยุทธ์นี้มักอัญเชิญมาเพียงตัวสองตัวเท่านั้น วันนี้เป็ครั้งแรกที่ข้าเรียกพวกมันมามากขนาดนี้ รู้สึกว่าตนเองช่างไม่เจียมตัวเอาเสียเลย”
เมื่ออูิโยวเห็นสีหน้าเขาดีขึ้นอย่างรวดเร็วก็กลืนคำบ่นลงไป
“พวกเราต้องทำอย่างไรต่อ”
“รอ!”
เหล่าผีเสื้อทยอยกลับมา บินวนรอบกายหลิ่วไป๋เจ๋อหนึ่งรอบไม่นานก็จากไป อูิโยวดูการสื่อสารระหว่างคนกับแมลงด้วยความพิศวงสงสัย
“เ้าฟังออกหรือว่าพวกมันพูดอะไร”
หลิ่วไป๋เจ๋อส่ายหัว “พวกแมลงจะมีภาษาพูดได้อย่างไร”
“แล้วเ้าได้เบาะแสอะไรจากพวกมันบ้าง”
“ลมหายใจ”
อูิโยวขบคิด สิ่งนี้คล้ายการใช้เงามรกตติดตาม ต่างที่เงามรกตใช้แมกไม้ แต่หลิ่วไป๋เจ๋อใช้ผีเสื้อ
หลิ่วไป๋เจ๋อยิ้มและเอ่ยว่า “ไม่ต้องแปลกใจหรอก เสียงเรียกของข้าดัดแปลงจากการติดตามด้วยเงามรกตของเ้า”
“เสียงเรียกหรือ”
“ใช่ เสียงเรียก”
อูิโยวพยักหน้าพลางยกนิ้วชื่นชม นึกได้ว่าอีกฝ่ายมองไม่เห็นจึงเอ่ยเสริมอีกประโยค
“เ้าเก่งกาจมาก ข้านับถือ!”
เหล่าผีเสื้อบินไปๆ มาๆ จนลดน้อยลง สีหน้าของทั้งคู่เริ่มจริงจังขึ้น หากเสียเวลาต่อไปคงไม่เป็ผลดีต่อจิ่วฟางเทียนฉีเท่าไร
ตอนที่ทั้งคู่กำลังจะถอดใจจากวิธีนี้ ก็มีผีเสื้อตัวหนึ่งบินกลับมาด้วยปีกที่ได้รับาเ็ มันบินมาเบื้องหน้าด้วยท่าทีจะร่วงแหล่มิร่วงแหล่ หลิ่วไป๋เจ๋อยกมือเรียวขึ้นช้าๆ ฝ่ามือส่องประกายแสงสีขาวออกมาห่อหุ้มมันไว้ ปีกที่ได้รับาเ็พลันหายเป็ปกติ
“แสงไป๋อวิ้น! เ้าทำได้อย่างไร…” เมื่อเทียบกับเสียงเรียกเมื่อครู่ อูิโยวประหลาดใจกับสิ่งนี้ยิ่งกว่า
“ไม่ใช่แสงไป๋อวิ้น ทางนี้!”
ผีเสื้อกระพือปีกที่หายดีแล้วบินเข้าไปในป่า หลิ่วไป๋เจ๋อและอูิโยวรุดตามมันไป หนึ่งเค่อ [1] ต่อมา แมลงตัวน้อยก็พาทั้งคู่มาถึงหน้าผามืดมิดแล้วหยุดลง
มันกระพือปีกสองครั้งก่อนร่วงหล่นจากอากาศ หลิ่วไป๋เจ๋อยื่นมือออกไปรับ เมื่อััฝ่ามือร่างก็สลายกลายเป็ฝุ่นผง กระจัดกระจายลอยไปในอากาศทันที
“มันถูกรักษาแล้วมิใช่หรือ”
หลิ่วไป๋เจ๋อตอบ “มันใช้พลังชีวิตหมดไปก่อนเวลาอันควรก็เท่านั้น”
อูิโยวมองไปทางหลิ่วไป๋เจ๋อ แววตาสะท้อนความหม่นหมอง ผ่านไปไม่นานเขาก็เอ่ยขึ้น “ไปกันเถอะ สิ่งสำคัญที่สุดคือการตามหาจิ่วฟางเทียนฉี!”
ผ่านพ้นเที่ยงวันไปใต้ผาก็มืดลง ไม่มีแสงใดส่องไปถึง อากาศชื้นเย็น สามารถพบเห็นงู หนู และสัตว์เลื้อยคลานอื่นๆ ได้ทั่วทุกที่ ทั้งสองไม่เคยรู้เลยว่ามีสถานที่เช่นนี้อยู่รอบนอกูเาชุ่ยอวิ๋นด้วย
ไม่ไกลออกไปพบว่าบนเถาวัลย์ที่แห้งตายแล้วมีผีเสื้อสองสามตัวห้อยติดอยู่บนใยแมงมุม ดูเหมือนพวกมันเพิ่งตายได้ไม่นาน แมงมุมปีศาจสีสันงดงามเข้ามาพันใยใส่พวกมันเพื่อนำมาเก็บตุนเป็อาหาร
อูิโยวเข้าใจว่าผีเสื้อที่บินกลับมาในตอนนั้นคงได้รับาเ็จากที่นี่ เขาสะบัดปลายนิ้ว แสงสีเขียวหายวับในชั่วพริบตา มองไปยังแมงมุมตัวนั้นอีกครั้งก็พบว่าถูกตอกติดกับต้นไม้เป็ที่เรียบร้อย
“วิถีของที่นี่ ผู้อ่อนแอย่อมเป็เหยื่อของผู้แข็งแกร่ง ทำไมเ้าต้องคิดเล็กคิดน้อยเช่นนี้ด้วย”
อูิโยวตอบกลับด้วยน้ำเสียงเ็า “วิถีอะไร เหยื่อของผู้แข็งแกร่งอะไร ข้าแค่ทนดูไม่ได้ รู้สึกไม่สบายใจ!”
ทั้งคู่เดินเข้าไปข้างในอีกระยะหนึ่ง เมื่อมาถึงสระน้ำก็พบกับเครื่องแต่งกายสีม่วง
จิ่วฟางเทียนฉีนอนอยู่บนโขดหิน ร่างกายเปียกปอน เสื้อผ้าฉีกขาดเปื้อนเืหลายแห่งและได้รับาเ็ ทั้งคู่ก้าวไปเบื้องหน้าด้วยความรีบร้อน อูิโยววางนิ้วมือที่ข้อมือเขาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ไม่นานก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“โชคดี แม้าแภายนอกค่อนข้างรุนแรง แต่ลมหายใจยังสม่ำเสมออยู่”
อูิโยวดึงชุดสีม่วงที่ขาดรุ่งริ่ง ก่อนจะบุ้ยปาก
“ใส่เสื้อผ้าสีน่าเกลียดแบบนี้ออกมาข้างนอกได้อย่างไรกัน รีบตื่นเดี๋ยวนี้ เ้ายังเป็หนี้กระต่ายหิมะละลายข้าอยู่ตัวหนึ่งนะ!”
หลิ่วไป๋เจ๋อ “...”
ท้ายที่สุดจิ่วฟางเทียนฉีก็ยังไม่ฟื้นคืนสติ อูิโยวแบกเขาไว้บนหลัง หลิ่วไป๋เจ๋อนำทาง แล้วปีนกลับขึ้นไปบนหน้าผา สองชั่วยามต่อมา พวกเขาทั้งสามก็เดินทางกลับไปถึงชิงหลิ่วถัง
ทันทีที่ทั้งหมดก้าวพ้นจากหน้าผาอันมืดมิด ร่างหนึ่งก็ก้าวออกมาจากพุ่มไม้ข้างสระน้ำใต้ผา สวมเสื้อคลุมปิดบังร่างกาย ไม่อาจแยกแยะตัวตนได้แน่ชัด
เขายืนอยู่ครู่หนึ่งตรงบริเวณที่จิ่วฟางเทียนฉีสลบไสล แล้วร่างนั้นก็หายเข้าไปใต้หน้าผา รอบด้านกลับสู่ความสงบเงียบอีกครั้ง
หลังผ่านพ้นความเหน็ดเหนื่อยมา ทั้งสามคนยังต้องเผชิญความรู้สึกหนักใจ โดยเฉพาะหลิ่วไป๋เจ๋อที่ปกติมักสวมเสื้อผ้าสะอาดเอี่ยมไม่มีฝุ่นผงเกาะแม้สักนิด ตอนนี้กลับคลุกฝุ่นจนเขรอะ ช่างน่าอายเสียจริง
หลังส่งจิ่วฟางเทียนฉีไปรับการรักษา ใส่ยาสมานแผลเรียบร้อยแล้ว อูิโยวก็มองทั่วทั้งร่างตนพร้อมขมวดคิ้ว เขาไม่ได้นำชุดมาเปลี่ยน เสื้อผ้าที่เคยนำมาก็เอากลับไปหมดแล้ว ต้องย้อนไปที่นั่นอีกครั้งอย่างนั้นหรือ
ระหว่างนั้นคนรับใช้ด้านนอกก็เคาะประตู
“ว่าอย่างไร”
คนใช้ผู้นั้นยืนถือเสื้อผ้าอยู่และเอ่ยรายงานว่า
“คุณชายใหญ่ให้ข้านำชุดมาให้คุณชายอูเปลี่ยนขอรับ”
อูิโยวยิ้ม ก่อนจะเปิดประตูและรับชุดสีดำมา ช่างเข้าอกเข้าใจเขาจริงๆ
อูิโยวที่อาบน้ำจนสะอาดสะอ้านสบายตัว ออกไปที่โถงใหญ่ของชิงหลิ่วถังด้วยความสดชื่น หลานหุ่ยผู้ดูแลตระกูลหลานที่มาถึงก่อนหน้ากำลังรออยู่ ระหว่างเดินไปก็บังเอิญพบกับหลิ่วไป๋เจ๋อซึ่งกำลังไปทางเดียวกัน หลังอาบน้ำชำระล้างสิ่งสกปรกก็กลายเป็เซียนกระพือปีกอีกครั้ง
อูิโยวรุดไปเบื้องหน้า เอ่ยถามด้วยใบหน้าสงบ
“ชุดนี้เป็ของเ้าหรือ ข้าไม่เคยเห็นเ้าใส่ชุดสีดำเลย”
หลิ่วไป๋เจ๋อยกมือแตะแขนเสื้อของอูิโยว ไม่ยาวไม่สั้นเกินไปและพอดีกับตัว จึงปล่อยมือและเอ่ยขึ้น
“ของเ้านั่นแหละ!”
อูิโยวงงงวย “ก่อนหน้านี้ข้านำเสื้อผ้าทั้งหมดกลับไปยังไป่เย่าถังแล้วนี่”
“เสื้อผ้าที่เตรียมให้ เ้าจะสนใจอะไรให้มากความ!”
อูิโยวยิ้มอย่างมีความสุข “เ้าช่างเอาใจใส่จริงๆ ไม่ได้การแล้ว... ข้าต้องเตือนท่านพี่หญิงสักหน่อย คนเย้ายวนอย่างเ้าจะปล่อยให้ผู้อื่นแย่งไปไม่ได้ นางต้องรีบคว้าเอาไว้จึงจะถูกต้อง”
สีหน้าของหลิ่วไป๋เจ๋อยังคงเดิม แต่มุมปากกระตุก... คนเย้ายวนอย่างนั้นหรือ!!!
“ไม่ทราบว่าคุณชายจิ่วฟางเป็เช่นไรบ้าง” หลานหุ่ยเห็นหลิ่วไป๋เจ๋อและอูิโยวเดินเข้ามาก็รีบเข้าไปถาม
“พี่จิ่วฟางไม่ได้เป็อะไรมากขอรับ ท่านมิต้องกังวล” หลิ่วไป๋เจ๋อนั่งลงบนเก้าอี้ไม้จันทน์ รินชาให้อูิโยวและตนเอง
ทางด้านอูิหลิงและอูิเยี่ยเพิ่งรู้ข่าว เนื่องจากต้องคอยดูแลคนเจ็บให้ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม แล้วพาไปพักฟื้นที่ฉือซั่นถังของไป่เย่าถังเป็การชั่วคราว ส่วนหลานหุ่ยก็รออยู่ที่โถงใหญ่ของชิงหลิ่วถังโดยไม่ได้ออกไปที่ใด
“ไม่เป็อะไรก็ดีแล้ว ไม่เป็อะไรก็ดีแล้ว!” หลานหุ่ยยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก ถอนหายใจด้วยความโล่งอก บุตรชายเพียงผู้เดียวของตระกูลจิ่วฟาง หากเป็อะไรไปเพราะตระกูลหลาน คงชดใช้ให้ไม่ไหวแน่
“ตอนนี้ท่านพ่อไม่อยู่จึงยังไม่ได้คารวะท่าน ผู้น้อยไร้ซึ่งมารยาทจริงๆ” หลิ่วไป๋เจ๋อเอ่ย ไม่ได้มีท่าทีไร้มารยาทดังที่กล่าว
“ท่านผู้เฒ่า ท่านบอกความจริงแก่พวกเราได้หรือไม่” อูิโยวไม่ได้สุภาพเท่าหลิ่วไป๋เจ๋อ เอ่ยด้วยคำพูดห้วนๆ ซึ่งทำให้หลานหุ่ยประหม่ามาก
หลานหุ่ยไอแห้งๆ พร้อมลูบเครา ก่อนจะเอ่ยช้าๆ
“อันที่จริงนายท่านเดินทางมาถึงเมืองหลวงเฟิ่งเทียนั้แ่หลายวันก่อนแล้ว”
“หลายวันก่อนหรือ กี่วันแล้ว”
หลานหุ่ยนับนิ้วของตน “สามสิบวัน”
“ที่ท่านผู้นำตระกูลหลานเตรียมการเช่นนี้มีจุดประสงค์อะไรหรือขอรับ” หลิ่วไป๋เจ๋อเคาะนิ้วบนโต๊ะ ใบหน้าที่ปกติไม่ค่อยยิ้มอยู่แล้วยิ่งเคร่งขรึม
หลานหุ่ยส่ายหัว เขาไม่รู้เื่นี้จริงๆ
“ถ้าเช่นนั้นในเวลานี้ท่านผู้นำตระกูลหลานอยู่ที่ใด”
หลานหุ่ยยังคงส่ายหัวเช่นเดิม ใบหน้าปรากฏความหนักอึ้ง
“ก่อนออกเดินทางนายท่านได้กำชับกับข้าน้อยว่า เื่ที่ท่านออกมาก่อนนั้นห้ามบอกใครเด็ดขาด สิบห้าวันให้หลัง ข้าน้อยจึงนำกลุ่มคนและขบวนรถม้าปลอมเป็เขา แล้วเดินทางอ้อมไปยังทิศใต้เพื่อเข้าสู่เมืองหลวงเฟิ่งเทียน”
“แล้วเหตุใดตอนนี้ถึงบอกกับพวกเราได้”
หลานหุ่ยครุ่นคิดอย่างหนักก่อนเอ่ยตอบ
“ขอบอกโดยไม่ปิดบังเหล่าคุณชาย สามสิบวันก่อนข้าน้อยได้รับข่าวว่านายท่านเดินทางมาถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัย ทว่าั้แ่วันนั้นกลับขาดการติดต่อ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สามารถติดต่อได้”
เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ
“ก่อนหน้านี้ที่ถูกโจมตีกะทันหัน ข้าน้อยจงใจใช้หลานเยียนของตระกูลหลาน เพราะหวังให้นายท่านติดต่อมา ใครจะไปคาดคิดว่าผู้ที่เดินทางมากลับเป็พวกคุณชายและคุณหนูแทน ส่วนนายท่านยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ตอนนี้ข้าน้อยเองก็เริ่มกังวลแล้วเช่นกัน”
เมื่อพูดเื่นี้หลานหุ่ยพลันขมวดคิ้วและทอดถอนหายใจ
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หลิ่วไป๋เจ๋อก็เอ่ยปากอีกครั้ง
“ท่านผู้าุโไปพักผ่อนที่ห้องรับรองก่อนเถิด ข้าจะส่งข่าวถึงท่านพ่อ อีกไม่กี่วันท่านก็จะกลับมา”
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น หลานหุ่ยจึงทำได้เพียงรอให้หลิ่วชิงเหยียนเดินทางกลับมา ไม่ว่าอย่างไรเหล่าคุณชายที่อยู่เบื้องหน้านี้ก็ยังเด็กเกินไป เกรงว่าจะไม่สามารถตัดสินใจเื่นี้ได้
—————————————————
[1] เค่อ หมายถึง หน่วยนับเวลาในยุคแรกๆ ของจีน โดย 1 วันมี 100 เค่อ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้