กระทั่งเวลาคล้อยไปจนเย็นย่ำ หลานจื่อจึงได้เข้ามาเพื่อรายงานข่าว
“ท่านอ๋องเพคะ”
อวี้ฉู่จาวยกมือส่งสัญญาณให้หลานจื่อ ก่อนที่ตนเองจะค่อยๆ ลงจากเตียง ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้หลินหร่านแล้วถึงเดินออกมายังห้องโถงด้านนอก
จากนั้นก็ยื่นมือส่งสัญญาณออกไปนอกหน้าต่างแล้วเอ่ย “จัดการไปถึงไหน”
“หลังจากท่านอ๋องพาพระชายาออกมา ฮ่องเต้ได้ทรงส่งต่อเื่นี้ให้กับเสนาบดีกรมยุติธรรมเพื่อนำตัวนางไปปะาเพคะ แต่ว่า…”
หลานจื่อหยุดพูด ทำให้อวี้ฉู่จาวรู้ได้ทันทีว่านางผู้นั้นต้องไม่ตายอย่างแน่นอน
“ประจวบเหมาะกับที่ฮองเฮาเสด็จมา แม่นางหลินจึงเริ่มที่จะเอาตัวรอดและกล่าวว่าพระชายาทรงไม่ระวังเอง นางแค่อยากจะเข้าไปช่วยดึงพระองค์ไว้…อีกทั้งยังบอกว่าพวกหม่อมฉันดูผิดไปเองเพคะ หลังจากนั้นฮองเฮาก็ได้เอ่ยถามนาง ก่อนจะตรัสว่าเื่นี้เกิดขึ้นในวังหลัง รวมถึงยังเกิดในงานเทศกาลชมดอกไม้ของพระองค์ด้วย จึงให้ฮ่องเต้ส่งมอบเื่นี้ให้พระองค์เป็ผู้จัดการเองเพคะ”
“ผลเป็อย่างไร?” อวี้ฉู่จาวเอ่ยต่อ
“ผล…” หลานจื่อหยุดไปชั่วครู่ด้วยความลังเล
“พูด!” อวี้ฉู่จาวถามอย่างไม่แยแส
“แม่นางหลินมิได้เป็ผู้ผลักพระชายาตกลงไปในทะเลสาบ ทั้งหมดเป็เพียงเื่เข้าใจผิดเพคะ นอกจากนี้ องค์ชายสี่ยังเลือกแม่นางหลินเข้าวังเป็สนมอีกด้วย เวลาต่อมา ฮองเฮาก็ได้ส่งของกำนัลมาเป็การปลอบขวัญพระชายาเพคะ” หลานจื่อเอ่ยด้วยท่าทีระแวดระวัง
“เ้าออกไปได้แล้ว ไปเตรียมยาของพระชายาให้พร้อม”
“เพคะ” หลานจื่อก้มหัวทำความเคารพ ก่อนออกไปยังคอยสังเกตสีหน้าของท่านอ๋อง
ท่านอ๋องดูไร้ซึ่งความโกรธเคือง มีเพียงใบหน้าเรียบเฉยและท่าทีเ็าเท่านั้น
หลังจากหลานจื่อออกไป อวี้ฉู่จาวทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง
เขามองไปทางต้นอู๋ถง1 ที่อยู่ภายใต้แสงที่สอดส่องลงมาของดวงอาทิตย์ มันสาดแสงสีเหลืองอร่ามให้ความรู้สึกอบอุ่น ช่างเป็ภาพที่แสนงดงาม
นี่คือต้นไม้ที่พระมารดาของท่านอ๋องทรงชื่นชอบ แต่พระบิดาไม่เคยทราบเื่นี้แม้แต่น้อย
เพราะต้นอู๋ถงคือต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ และเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับฮองเฮาในเวลานั้น พระมารดาจึงไม่เคยแสดงท่าทีว่าชื่นชอบอะไร
เขาจำได้ว่าหลังจากที่พระมารดาสิ้นพระชนม์ ตนเองก็อาศัยอยู่เพียงคนเดียวที่สวนอู๋ถงอันแสนห่างไกลนี้เพื่อปกป้องต้นไม้เหล่านี้
่เวลานั้น ฮองเฮา้าที่จะทำเก้าอี้โยกหนึ่งตัว จึงได้พาคนมายังสวนอู๋ถงเพื่อตัดต้นไปครึ่งหนึ่ง
หลังจากเสด็จพ่อทรงทราบ ในใจก็เอาแต่ห่วงว่าเก้าอี้ที่ทำให้ฮองเฮานั้นจะออกมาดีหรือไม่ นั่งสบายหรือไม่กัน
พระสนมลี่เห็นเก้าอี้โยกของฮองเฮาก็บังเกิดความอิจฉา ภายหลังไปออดอ้อนเสด็จพ่อก็ได้มีคนเข้ามาตัดต้นอู๋ถงไปอีกครึ่งหนึ่ง
ั้แ่นั้นเป็ต้นมา ที่แห่งนี้จึงเหลือเพียงตอของต้นอู๋ถงเท่านั้น แม้แต่ใบไม้ก็ไม่มีเหลือ
จนกระทั่ง่ที่อวี้ฉู่จาวติดตามเสด็จอาไปรบแล้วได้รับชัยชนะกลับมา จึงได้ทำการปลูกต้นอู๋ถงขึ้นมาใหม่โดยไม่มีใครกล้าคัดค้าน
อวี้ฉู่จาวไม่ได้กังวลเื่ที่ปล่อยให้หลินเสี่ยวฉีหลุดรอดไปได้ แต่นี่กลับทำให้เขารับรู้ถึงความเป็จริงมากขึ้น
เขาได้รับรู้ว่า การกระทำและความสามารถของตนเองอาจยังมีไม่มากพอ
การกลับมาเกิดใหม่ในชาติภพนี้ของอวี้ฉู่จาวก็เพื่อที่เขาจะได้ไม่ทำผิดพลาด และไม่ทอดทิ้งหลินหร่านผู้เป็พระชายาอีก
ตัวเขามัวแต่คิดว่า ตราบใดที่ตนเองเข้าใจสถานการณ์โดยรวม และเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้เป็อย่างดีก็จะไม่มีปัญญาอันใดเกิดขึ้น
ทว่า ถึงแม้เขาจะเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ตำแหน่งที่เขามีก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งการกระทำของฮ่องเต้และฮองเฮาลงได้ คำสอนเกี่ยวกับความกตัญญูที่ถูกอบรมภายในราชวงศ์นั้น ราวกับเชือกที่มัดมือมัดเท้าเขาอยู่
ไม่อาจเทียบเคียงกับอำนาจของฮ่องเต้ฉงเต๋อได้แม้เพียงนิด
ถึงจะเป็แม่ทัพใหญ่เพียงผู้เดียวที่มีผู้คนอยู่ใต้บัญชาเป็หมื่นแล้วจะทำอันใดได้ อย่างไรก็ไม่ใช่อำนาจที่ยั่งยืน อำนาจเหล่านี้ยังคงอยู่ภายใต้กฎมณเฑียรบาลและคำสั่งสอนเื่ความกตัญญู
หากเป็เช่นนี้ต่อไป เกรงว่าแม้แต่อวิ๋นซีของเขาก็อาจพบเจอเื่ที่ทำให้าเ็เช่นนี้อีกได้
วันนี้ ในตอนที่พระองค์อยู่ในงานนั้น ฮ่องเต้ฉงเต๋อก็ตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เมื่อเขาออกมา ฮ่องเต้ฉงเต๋อผู้ที่ยึดมั่นในจิตใจอันเมตตาของผู้เป็กษัตริย์กลับได้ก่อปัญหาขึ้นมาซึ่งเกี่ยวพันกับเขา
หากมาคิดทบทวนอย่างละเอียด ตำแหน่งของจักรพรรดิถือเป็ตำแหน่งที่ดี ตำแหน่งนี้สิถึงจะเรียกได้ว่าเป็ผู้ที่อยู่เหนือจุดสูงสุดอย่างแท้จริง และหากเป็เช่นนั้น เขาก็จะปกป้องทุกสิ่งทุกอย่างที่เขา้าได้
เมื่อคิดวิเคราะห์อย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว อวี้ฉู่จาวจึงใช้เวลาตัดสินใจอยู่ครู่หนึ่ง เขาจำเป็ที่จะต้องตัดสินใจเกี่ยวกับเื่นี้ให้เด็ดขาด
ไม่นาน ด้านในห้องก็มีเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้น “ท่านอ๋อง….ท่านอ๋องอยู่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” เป็เสียงของหลินหร่านที่งัวเงียตื่นขึ้นมา
“ข้าอยู่นี่” อวี้ฉู่จาวรีบตอบรับทันที
เมื่ออวี้ฉู่จาวกลับเข้ามาในห้องบรรทม หลินหร่านก็กำลังจะลงมาจากเตียง
“เ้าพักผ่อนก่อนเถิด” อวี้ฉู่จาวก้าวเพียงสองก้าวก็มาถึงเตียง
หลินหร่านเชื่อฟังและไม่ขยับตัวอีก เขานั่งอยู่บนเตียงโดยไม่ดื้อดึงหรือขยับไปไหน
“เ้าดีขึ้นบ้างหรือยัง มึนหัวหรือไม่?” อวี้ฉู่จาวนั่งลงบนเตียงก่อนใช้มือแตะหน้าผากของหลินหร่านด้วยความเป็ห่วง
“ข้าดีขึ้นแล้ว ไม่มึนหัว ไม่รู้สึกหนาวแล้วด้วย น่าจะไม่เป็อะไรแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หลินหร่านรู้ดีว่าวันนี้ตนเองทำให้ท่านอ๋องเป็ห่วง จึงรีบแจ้งอาการ
“หากเป็เช่นนั้นก็ดี แต่อย่างไรก็ยังต้องดื่มยา...หลานจื่อ” อวี้ฉู่จาวะโออกไปด้านนอก ไม่นานหลานจื่อก็ยกยาต้มเข้ามาให้
หลังจากอวี้ฉู่จาวรับถ้วยยามา หลานจื่อถึงถอยออกไป
อวี้ฉู่จาวป้อนยาให้หลินหร่านด้วยตนเอง
เมื่อหลินหร่านดื่มยาเรียบร้อย อวี้ฉู่จาวจึงเอี้ยวตัวมาวางถ้วยยาลงบนโต๊ะข้างหัวเตียง พอเขาหันกลับมาอีกทีก็ถูกหลินหร่านกอด
อวี้ฉู่จาวได้แต่ส่ายหัวอย่างเสียไม่ได้
อวิ๋นซีของเขากำลังรู้สึกผิดเป็แน่
ท้ายที่สุดหลินหร่านจึงได้เอ่ยออกมา “ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง ข้าทำให้ท่านเป็ห่วง…”
หลังจากนั้นหลินหร่านจึงค่อยๆ เล่าเื่ราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้อวี้ฉู่จาวฟัง เพราะตนเองประมาทเกินไป ทำให้หลินเสี่ยวฉีหาทางทำเื่เลวร้าย และทำให้ตนเองต้องมาทนทุกข์เช่นนี้ นอกจากนี้ยังทำให้ท่านอ๋องเป็ห่วงและโมโหอีก
สำหรับสิ่งเหล่านี้ หลินหร่านได้ลองคิดและทบทวนกับตนเองเป็อย่างดีแล้ว
ก่อนหน้านี้ไม่นาน หลินหร่านเพิ่งรับปากกับท่านอ๋องว่าจะดูแลตนเองให้ดี แต่วันนี้เขากลับทำให้ตนเองต้องตกอยู่ในอันตราย
“หากเ้าขอโทษข้า เ้าจงจำสิ่งนี้ไว้เป็บทเรียน และอย่าให้เกิดเื่เช่นนี้ขึ้นอีก” น้ำเสียงของอวี้ฉู่จาวหนักแน่น แสร้งแสดงท่าทีดุเป็การเตือนหลินหร่าน
ครั้งนี้อวี้ฉู่จาวไม่เอ่ยปลอบด้วยคำพูดว่า ‘ไม่เป็ไร’
ถึงเวลาแล้วที่เขาต้องทำให้หลินหร่านตระหนักถึงความปลอดภัยของตนเอง
“อื้อ หลังจากนี้จะไม่เป็เช่นนี้อีกแล้ว” หลินหร่านยังคงโอบกอดอวี้ฉู่จาวแน่น
เมื่อได้ยินหลินหร่านรับปาก อวี้ฉู่จาวจึงไม่ขู่อะไรอีก เขายกมือโอบกอดอีกคนไว้ในอ้อมแขน
“ท่านอ๋อง เรากลับบ้านกันเถิด ข้าไม่อยากนอนที่นี่ ข้ารู้สึกไม่สบายใจนัก”
ความเป็จริงแล้ว เพราะในวังมีผู้คนมากมาย พร้อมกฎระเบียบที่มีนับไม่ถ้วน เมื่อต้องอยู่ที่นี่จึงทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก
“ได้ อีกเดี๋ยวเราไปเข้าเฝ้า กราบทูลลาเสด็จพ่อกัน”
หลังจากอวี้ฉู่จาวสวมเครื่องแต่งกายต่างๆ ให้หลินหร่านเป็ที่เรียบร้อย ทั้งสองคนถึงพากันออกจากสวนอู๋ถงเพื่อไปทำการกราบทูลลาฮ่องเต้ฉงเต๋อที่ท้องพระโรงเซวียนเจิ้ง
เฝ้ารอจนกระทั่งถึงเวลาที่จะเข้าไปกราบทูลลาฮ่องเต้ที่ท้องพระโรง ทั้งคู่ถึงได้เดินมาพบกับหลี่ิลู่ที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู
พออวี้ฉู่จาวพาหลินหร่านมาถึง หลี่ิลู่จึงโค้งคำนับถวายความเคารพ “ถวายบังคมจ้านหวัง ถวายบังคมพระชายา”
“เสด็จพ่อล่ะ?” อวี้ฉู่จาวถาม ท่วงท่าของเขายังคงสง่าผ่าเผย
หลี่ิลู่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่
หากท่านอ๋องทรงทราบว่าฮองเฮาได้ทำการช่วยเหลือแม่นางหลินผู้นั้นเอาไว้จะต้องพิโรธเป็แน่
ดังนั้น หลี่ิลู่จึงยกยิ้มอย่างเป็มิตร ตัวเขาก็ไม่กล้าทำให้ท่านอ๋องผู้นี้ไม่พอใจ “ฮ่องเต้ทรงประทับอยู่ด้านในพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องโปรดรอเพียงครู่เดียว กระหม่อมจะรีบเข้าไปกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้ฉู่จาวไม่ได้เอ่ยตอบอะไร
หลี่ิลู่ก้มหัวพลางแอบมองอวี้ฉู่จาวและหลินหร่าน ก่อนจะเดินเข้าไปด้านในท้องพระโรง
-------------------------------------------
1 ต้นอู๋ถง หมายถึง หนึ่งในต้นไม้ที่สูงส่งที่สุดของจีน คือต้นไม้อันทรงคุณค่า เป็ที่พักพิงของพญาหงส์ตามตำนานโบราณ
