หลี่หรูอี้กล่าวถาม “ข้อเสนอที่ว่านี้คงเป็เต้าหู้กระมัง?”
“เ้าพูดถูกแล้ว วันนี้ใต้เท้าหลิวให้เงินข้ามาห้าตำลึง เพื่อสั่งจองเต้าหู้แปดร้อยชั่ง อีกสามวันจะมารับของแต่เช้า ข้าคิดว่าในบ้านมีเครื่องโม่หินเครื่องใหญ่สองเครื่องและมีลาสองตัว ทำเต้าหู้จึงไม่เปลืองแรงมากนัก สุดท้ายจึงตกลงไป”
จ้าวซื่อกล่าวอย่างยินดี “ดีจริงๆ ไม่ทันไรก็ได้เงินห้าตำลึงแล้ว”
หลี่หรูอี้จับจ้องไปยังหลี่ซานที่กำลังยิ้มกว้างราวดอกไม้เบ่งบาน “ท่านพ่อ อีกสามวันก็คือวันสุดท้ายของเดือน พวกเราต้องทำขนมไหว้พระจันทร์ให้จวนเยี่ยนอ๋องหกร้อยชิ้น”
หลี่ซานหุบยิ้มทันที กล่าวด้วยน้ำเสียงผิดหวังว่า “เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี ข้ารับเงินค่าเต้าหู้แปดร้อยชั่งมาแล้ว”
หลี่หรูอี้กล่าวกำชับ “ท่านพ่อ ต่อไปหากมีคนสั่งจองเต้าหู้กับท่านอีก ห้ามให้สั่งเกินห้าร้อยชั่งเป็อันขาด และห้ามลดราคาให้ด้วย”
คราวนี้สั่งแปดร้อยชั่ง คราวต่อไปไม่แน่ว่าอาจจะสั่งเกินหนึ่งพันชั่งก็เป็ได้ ที่บ้านมีลาอยู่สองตัวกับเครื่องโม่หินขนาดใหญ่สองเครื่อง แต่คนที่ทำงานได้มีเพียงสามคน
จ้าวซื่อใกล้คลอดแล้ว หากที่บ้านยุ่งเกินไปแล้วจ้าวซื่อเกิดคลอดกะทันหันอาจทำให้วุ่นวายกันจนเกิดความผิดพลาดคงไม่ใช่เื่ที่ดี
หลี่ซานรีบพยักหน้า “ได้ ข้าจะทำตามนั้น” จากนั้นจึงถามต่อไป “เช่นนั้นเต้าหู้แปดร้อยชั่งกับขนมไหว้พระจันทร์รสหวานหกร้อยชิ้นจะทำได้หรือไม่” เขาไม่เคยทำขนมไหว้พระจันทร์รสหวาน เพียงเคยได้ยินคนในบ้านบอกว่า ตอนทำขนมไหว้พระจันทร์จะต้องมีคนยืนเฝ้าเตา เตาละหนึ่งคน ใช้แรงงานคนมากกว่าการทำเต้าหู้
หลายวันมานี้เขาขายเต้าหู้และเต้าฮวยได้เงินมากมาย ดีใจเสียจนลืมเื่ที่ต้องทำขนมไหว้พระจันทร์รสหวานให้จวนเยี่ยนอ๋องตอนสิ้นเดือนไปเสียสนิท
หากเขาจำได้ต้องไม่ยอมให้ใต้เท้าหลิวสั่งจองเต้าหู้แปดร้อยชิ้นแล้วจะมารับของในอีกสามวันให้หลังแน่นอน
“งานมากมายเพียงนี้ ข้าคงต้องซื้อคน” เมื่อวันก่อนหลี่หรูอี้เคยพูดถึงเื่ซื้อคนแล้ว แต่กลับถูกหลี่ซานปฏิเสธ หลี่ซานคิดว่าในบ้านมีคนมาก เหตุใดจะต้องซื้อคนอีก
ท่าทีของหลี่ซานยังคงหนักแน่นเช่นเดิม “ไม่ได้ ครอบครัวพวกเราเป็เกษตรกร ไม่ใช่ครอบครัวคนมีเงิน ไม่ใช่ครอบครัวข้าราชการ จะซื้อคนได้อย่างไร!”
หลี่หรูอี้ทราบอยู่แล้วว่า บิดาของตนจะกล่าวเช่นนี้จึงไม่ได้โกรธเคือง “หากไม่ซื้อคนก็ทำงานไม่เสร็จ เมื่อถึงตอนนั้นจวนเยี่ยนอ๋องและใต้เท้าหลิวตำหนิลงมาจะทำเช่นไรเ้าคะ?”
“ข้ากับอารองของเ้าไม่นอนแล้ว จะทำงานให้เสร็จแน่นอน” หลี่ซานเห็นหลี่สือผู้มีร่างสูงใหญ่ดุจูเาขนาดย่อมถือฟักทองลูกใหญ่เดินออกมาจากสวนหลังบ้าน ก็กล่าวเสียงดังว่า “เ้าก้อนหิน ที่บ้านมีงาน เ้ากับข้าต้องทำด้วยกัน กลางคืนไม่ต้องนอนแล้ว”
หลี่สือย่อมตอบรับเป็ธรรมดา ทั้งยังชูฟักทองขนาดใหญ่หนักสิบกว่าชั่งในมือขึ้นอย่างดีอกดีใจเพื่อให้หลี่หรูอี้ดู “หรูอี้ เ้าบอกว่าจะสอนข้าทำแป้งย่างฟักทอง”
“ไม่สอนแล้ว” หลี่หรูอี้แสร้งทำเป็เบะปาก จากนั้นก็ส่งสายตาให้จ้าวซื่อ “ท่านแม่ ท่านเห็นด้วยกับเื่ซื้อคนหรือไม่”
“เื่นี้…” ชั่วชีวิตนี้ของจ้าวซื่อไม่เคยเรียกใช้บ่าวไพร่ ไม่เคยมีประสบการณ์ซื้อคน ไม่รู้ว่าหากในบ้านมีบ่าวเพิ่มขึ้นมาจะเป็อย่างไร “เช่นนั้นพวกเราจ้างคนงานชั่วคราวเหมือนตอนทำขนมไหว้พระจันทร์รสหวานคราวก่อนได้หรือไม่”
หลี่หรูอี้เลิกคิ้ว “ เต้าหู้และเต้าฮวยของบ้านเราเป็อาหารที่เป็เอกลักษณ์เฉพาะ ข้าคิดอยากให้อาหารสองอย่างนี้ทำเงินไปอีกหลายปี จะได้หาเงินค่าสอบเคอจวี่และค่าแต่งงานให้พี่ชายได้ หากจ้างคนงานแล้วสูตรการทำแพร่ออกไป ทุกบ้านในหมู่บ้านทำเป็กันหมด แต่ละคนก็ทำเต้าหู้ออกไปขาย เช่นนั้นพวกเราจะยังขายเต้าหู้หาเงินได้อีกหรือ”
นางพูดกับพี่ชายทั้งสี่เื่ซื้อคนแล้ว พวกเขาล้วนกล่าวว่า พวกเขาไปเรียนก็ต้องใช้เงินมากแล้วจึงไม่อยากให้ที่บ้านเสียเงินซื้อคนอีก คิดใช้เวลา่หยุดเรียนมาช่วยงานที่บ้าน กระทั่งพี่รองที่เชื่อฟังนางที่สุดก็ยังกล่าวเช่นนี้
เดิมทีนางอยากให้พี่ชายทั้งสี่ไปพูดจาโน้มน้าวจ้าวซื่อ เช่นนี้ในบ้านก็จะมีหกคนเห็นด้วย แต่ผลกลับกลายเป็ว่า นางโน้มน้าวพี่ชายทั้งสี่ไม่ได้
ตอนนี้ในบ้านจึงมีนางเพียงคนเดียวที่้าซื้อคน
ที่นางอยากจะซื้อคนนั้นไม่ใช่เพียงเพราะ้ารักษาสูตรการทำเต้าหู้เท่านั้น แต่ยังคิดเพื่อน้องชายทั้งสองที่กำลังจะเกิดอีกด้วย
ที่บ้านมีทารกเพิ่มขึ้นมากี่คนก็มีคนยุ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น
คราวนี้จ้าวซื่อตั้งครรภ์เด็กแฝด จ้าวซื่อคนเดียวย่อมดูแลไม่ไหว นางต้องอยู่เดือนและต้องจัดงานอาบน้ำครั้งแรก (ครบสามวัน) และงานครบเดือนด้วย
นอกจากนี้หิมะยังไม่ตก เต้าหู้ก็ขายดีเพียงนี้แล้ว ผ่านไปอีกระยะหนึ่งเมื่อหิมะตก พืชผักใดๆ ย่อมไม่มีให้กิน เมื่อถึงตอนนั้นเต้าหู้จะยิ่งขายดี
นางอยากจับโอกาสทางการค้า ขยายกิจการให้ใหญ่ขึ้น
หากซื้อคนก็สามารถโม่ถั่วเหลืองตอนกลางคืนได้ เครื่องโม่หินสามารถใช้ได้ทั้งวันตลอดสิบสองชั่วยาม กำลังการผลิตเต้าหู้ก็จะเพิ่มขึ้น รายรับย่อมมากขึ้นตามไปด้วย
หลี่สือเอียงศีรษะ กล่าวด้วยท่าทีจริงจังว่า “หรูอี้ เ้ากล่าวได้ถูกต้องแล้ว”
“ดูเถิด อารองของข้าสนับสนุนข้าแล้ว พวกท่านยังไม่สนับสนุนข้าอีกหรือ”
หลี่ซานปรายตามองหลี่สือครู่หนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนที่จะกล่าวว่า “เ้าจะเข้าใจอะไร”
หลี่สือกล่าวเสียงอ่อย “ข้ารู้สึกว่าคำพูดของหรูอี้ถูกต้องแล้ว”
หลี่หรูอี้เห็นจ้าวซื่อขมวดคิ้วมุ่นคล้ายมีความคิดบางอย่าง จึงรีบพูดขึ้นว่า “เงินตรากระตุ้นใจคน เต้าหู้กับเต้าฮวยของบ้านเราทำเงินได้มากเช่นนี้ เมื่อคนที่มาทำงานให้บ้านเราออกไปจากบ้านเราแล้วจะต้องถูกมิตรสหายสอบถามเป็แน่ ถามไปถามมาเช่นนี้สูตรย่อมต้องหลุดออกไป”
จ้าวซื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบช้า “หรูอี้กล่าวได้ถูกต้องแล้ว ซื้อคนดีกว่า”
หลี่ซานส่ายหน้า “บ่าวไพร่ก็มีพวกที่ทรยศนาย”
หลี่หรูอี้ย่อมใคร่ครวญถึงปัญหานี้ไว้ก่อนแล้ว “บ่าวไพร่ขายตัวแล้วย่อมอยู่ในกำมือนาย ในสิบคนมีเก้าคนที่ไม่กล้าทรยศนาย”
หลี่ซานกล่าวเสียงดัง “ซู่เหมย เ้าลืมไปแล้วหรือ นายบ่าวคู่นั้นที่พวกเราพบตอนหนีภัยเมื่อปีนั้น บ่าวที่หูขาดไปข้างหนึ่งขโมยเงินเ้านายหนีไปจนหมด”
จ้าวซื่อนึกไปถึงเื่เมื่อในวันวาน ดวงตาพลันหม่นหมอง ทอดถอนใจเบาๆ “นั่นก็ใช่”
“นั่นเป็่เวลาพิเศษเ้าค่ะ” หลี่หรูอี้แอบคิดในใจว่า อีกไม่กี่วันนางจะไปซื้อคนที่อำเภอ ซื้อมาก่อนค่อยรายงานทีหลัง
จ้าวซื่อเห็นบุตรีสุดที่รักกรอกตาไปมาจึงถือโอกาสที่หลี่ซานนำเกวียนไปเก็บเรียกบุตรีสุดที่รักตามไปด้วยกัน แล้วกล่าวเสียงอ่อนว่า “หรูอี้ ข้าจะบอกอะไรเ้าให้ การซื้อคนไม่เหมือนกับการซื้อสัตว์”
“...” นั่นย่อมแน่อยู่แล้ว หลี่หรูอี้กระจ่างแจ้งแก่ใจดี
“หากซื้อคนต้องไปยื่นเื่ลงทะเบียนที่ศาลาว่าการของอำเภอ เ้าเป็เพียงดรุณีน้อยผู้หนึ่ง คนที่ศาลาว่าการไม่ยอมทำเื่ให้เ้าแน่”
“ท่านแม่ ท่านพ่อไม่เห็นด้วย ข้าย่อมไปซื้อคนไม่ได้” หลี่หรูอี้ลืมเื่เกี่ยวกับศาลาว่าการไปแล้วจริงๆ เสียดายที่นางเป็เพียงเด็กน้อยทั้งยังเป็สตรี คนที่ศาลาว่าการย่อมไม่คล้อยตาม
จ้าวซื่อเห็นรอยยิ้มเจื่อนของบุตรสาวแล้วก็ใจอ่อนกล่าวว่า “หรูอี้ รอเ้าออกเรือนก่อน ข้าจะซื้อสาวใช้ให้เ้าสองคน เ้าก็พาพวกนางไปปรนนิบัติเ้าที่บ้านสามี เช่นนี้เ้าจะได้ทำงานน้อยลงแล้ว”
“ท่านแม่ ขอบอกกับท่านตามตรง ที่ข้าอยากซื้อคนก็เพราะอยากให้ข้าทำงานน้อยลงหน่อย ท่านใกล้จะคลอดแล้ว ท่านต้องอยู่เดือน ข้าย่อมต้องช่วยเลี้ยงดูน้องชายสองคน งานบ้านย่อมมากกว่าตอนนี้ ข้าไม่อยากทำงานบ้านมากเพียงนั้น”
หลี่หรูอี้นั่งลงข้างๆ จ้าวซื่อ คำพูดเช่นนี้จะต้องพูดกับจ้าวซื่อเท่านั้น หากพูดกับหลี่ซาน หลี่ซานจะต้องคิดว่านางเย่อหยิ่งแน่ ไม่ใช่เพราะเขามีความคิดว่าชายต้องเป็ใหญ่ แต่เพราะความคิดที่ต้องขยันทำงานฝังลึกอยู่ในกระดูกของหลี่ซานเสียแล้ว ไม่ว่าจะเป็ชายหรือหญิงก็ต้องทำงานหนักทั้งนั้น
จ้าวซื่อชะงักไป ผ่านไปพักใหญ่จึงกล่าวขึ้นว่า “ข้าคนเดียวก็เลี้ยงดูได้ ก่อนหน้านี้พี่ใหญ่ พี่รอง พี่สาม พี่สี่ ของเ้าข้าก็เลี้ยงดูคนเดียว ไม่มีคนช่วย” ชาวบ้านบริเวณรอบๆ หลายร้อยลี้นี้ มีสตรีใดบ้างที่ไม่เลี้ยงบุตรด้วยตนเอง ไม่เคยได้ยินว่าผู้ใดอยู่เดือนแล้วต้องหาคนมาช่วยเลี้ยงลูกเลย หากใครไม่เลี้ยงลูก แต่กลับให้ผู้อื่นมาช่วยเหลือ นั่นจึงจะเป็เื่แปลก
แววตาของหลี่หรูอี้เต็มไปด้วยความตื่นตะลึง “ท่านคนเดียวดูแลเด็กสองคน จะดูแลได้อย่างไร น้ำนมเพียงพอหรือ” เมื่อกล่าวถึงน้ำนมก็คิดเื่อื่นขึ้นมาได้
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้