“ย่า คำพูดของย่าช่างประหลาดเหลือเกิน ลุงใหญ่กับลุงรองหาเงินอยู่ข้างนอก จะหาเงินเลี้ยงครอบครัวตนเองไม่ได้เลยเชียวหรือ? หรือว่าพวกเขาพิการแขนขา? เหตุใดจึงต้องให้แม่ข้าเป็คนปลูก? การจะจ้างคนช่วยทำสวนข้างนอก ยังต้องจ่ายค่าแรงตามจริงมิใช่หรือ? ที่พวกเขากลับมาลากเอาผักเอาข้าวสารที่บ้านทุกปี เคยซื้ออะไรให้แม่ข้าหรือไม่ ช่างน่าขัน กระทั่งต่าไป๋ถังที่ราคาแค่ยี่สิบอีแปะครึ่งกิโลกรัม พวกเขายังไม่เคยซื้อมาให้ ผิดแล้ว ซื้อสิ แต่ว่าซื้อแล้วเก็บไว้กินเอง ข้ายังเห็นตั้งหลายครา พวกเขาเคยนึกถึงปู่กับย่าบ้างหรือ?”
หลิวเต้าเซียงไม่มีทางให้หญิงชราเ้าเล่ห์ได้สมปรารถนา
“ฮือๆ เต้าเซียงพูดถูกต้อง แม่ ข้าเองก็ไม่เคยหวังว่าพวกเขาจะให้อะไรแก่ข้า แต่อย่างน้อยก็ควรกตัญญูต่อพ่อแม่บ้าง!” จางกุ้ยฮัวในวันนี้ได้ลิ้มรสการโอดครวญและขู่เข็ญ จึงรู้ว่าควรจะพูดเบี่ยงเบนอย่างไร
หลิวฉีซื่อฟังคำพูดก่อนหน้านั้นยังรู้สึกแค้นเคือง แต่พอถึงประโยคท้ายๆ ของจางกุ้ยฮัว ในใจก็เกิดความสงสัยเช่นกัน
หลิวเต้าเซียงเห็นว่านางดูลังเลจึงเอ่ยเสริมอีก จำต้องขยี้ความสงสัยในใจของหลิวฉีซื่อให้แ่งกว้างให้ได้ “ย่า พวกข้าเองก็เห็นใจย่า ฤดูใบไม้ผลิย่าเอาแต่ดองผักกับถั่วหมัก ล้วนแล้วเพื่อสิ่งใดกัน? คราวก่อน่ตรุษจีน ข้ายังได้ยินลุงใหญ่กับป้าใหญ่บอกว่า ทุกปีย่าก็ทำเป็แต่สิ่งเหล่านี้ เหตุใดไม่ตากแห้งปลากับหมูให้มากกว่านี้ หรือไม่ก็ทำอะไรตากแห้งมากกว่านี้ นางบอกว่ากินของตากแห้งทั่วไปเหล่านี้จนเอียนแล้ว!”
หลิวชิวเซียงผู้พี่ที่ไม่ค่อยมีตัวตนในฉากนี้ถึงกับเบิกตาโตมองดูน้องรองของตนด้วยความไม่อยากเชื่อ ในสมองเต็มไปด้วยคำถาม ป้าใหญ่เคยพูดเช่นนี้จริงหรือ?
“ย่า ข้า ข้า ข้าเอง ก็ ก็เคยได้ยิน อีกทั้ง ครั้งนั้นป้ารองอยู่ในห้อง แอบบอกกับพี่จูเอ๋อร์ว่า ต้องเก็บตำลึงเงินไว้ซื้อปิ่นปักผม แต่ว่า ไม่เห็นนางจะเอ่ยเื่ซื้อให้อาเล็กแต่อย่างใด”
เสียงขลาดกลัวของนาง ในที่สุดก็ช่วยหลิวเต้าเซียงเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยลงในใจของหลิวฉีซื่อได้สำเร็จ หนที่แล้วหลิวฉีซื่อได้ประดับปิ่นปักผมอัญมณี แต่ปีต่อๆ ก็ไม่เคยได้อย่างอื่นอีกเลย
เทียบกันกับหลิวเต้าเซียงที่แก่นแก้ว คำพูดปดของหลิวชิวเซียงที่ขี้กลัวเหมือนลูกหนูทำให้คนเชื่อได้ง่ายกว่า ไม่ว่าผู้อื่นจะคิดอย่างไร แต่หลิวฉีซื่อนั้นเชื่อเข้าแล้ว
“นี่ ข้าว่าฉีหรุ่ยเอ๋อร์ ละครบ้านเ้านี่ช่างน่าสนุกยิ่งนัก”
“นั่นสิ พ่อของซานกุ้ย ซานกุ้ยอย่างน้อยก็เป็ลูกชายของเ้านะ เหตุใดจึงใจเหี้ยมได้เพียงนี้?”
หลิวต้าฟู่ไม่ได้พูดอะไรมาก เขารักหน้าตาเช่นเดียวกับหลิวฉีซื่อ ทั้งที่กินข้าวอ่อน แต่ก็กลัวผู้อื่นกล่าวว่าตนเองกินข้าวอ่อน
ใบหน้าชราของเขายิ่งหมองคล้ำเข้าไปใหญ่เมื่ออยู่ในความนิ่งเงียบ
หลิวเต้าเซียงหัวเราะในใจ สมควรโมโหให้ตาย อย่านึกว่าแค่บุญคุณเล็กน้อย จะทำให้นางคิดว่าเขาคือปู่ที่ดีนะ
“เอาเถอะ มีเื่อะไรเข้าบ้านแล้วค่อยว่ากัน ซานกุ้ย พยุงเมียเ้าเข้าบ้าน” พูดถึงตรงนี้ หลิวต้าฟู่หันไปบอกกับจางกุ้ยฮัว “มีอะไรก็เข้ามาคุยในบ้าน ข้าเองไม่มีทางให้ซานกุ้ยเขียนหนังสือหย่าแน่นอน เ้าตัดใจจากเื่นี้เสียเถิด”
หลิวเต้าเซียงยื่นมือเล็กออกมาลูบคาง ฉับพลันนั้นก็คิดอะไรได้จึงสะกิดแม่ของตนเบาๆ แล้วหันหลังไปะโเอ่ยกับหลิวต้าฟู่ “ปู่ ปู่เองก็อย่าโกรธไปเลย ย่าเองก็ฟังคนอื่นพูดจาไปเรื่อย”
เอาน่ะ ทำหน้าที่คนเลวจบแล้ว คราวนี้ก็ต้องเป็คนดีบ้าง
หลิวต้าฟู่จ้องมองฉีรุ่ยเอ๋อร์ก่อน จากนั้นมองไปทางหลิวเต้าเซียงด้วยความเ็า ในใจเขาชิงชังความเื่เยอะของเด็กน้อยคนนี้
“ฟังใครมา?”
จางกุ้ยฮัวตอบทันทีว่า “ต้องเป็ป้าจ้าวแน่นอน คนในหมู่บ้านเราที่หลอกสะใภ้ไปอยู่หอนางโลมคนนั้น”
หลิวต้าฟู่พยักหน้า และเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “แยกย้ายกันได้แล้ว”
ชาวบ้านเ่าั้เห็นว่าสีหน้าของหลิวต้าฟู่เริ่มไม่ดี จึงแยกย้ายกันหมด
หลิวต้าฟู่มองไปทางหลิวฉีซื่อด้วยสายตาที่เยือกเย็น “เ้าเองก็เหลือเกิน หลานสาวเก็บเงินได้สองเหรียญจะใช้จ่ายอย่างไร เ้ายังมีหน้าไปจุ้นจ้านด้วยหรือ? หรือยังเห็นว่าบ้านหลิวของข้ายังอับอาบขายหน้าไม่พอ? หรือกลัวว่าวั่งกุ้ยอยู่ที่สถาบันจะไม่ถูกคนหัวเราะเยาะ แล้วดูถูกเขาหรือ? อย่างน้อยบ้านหลังนี้ ก็เป็บ้านคนรวยอย่างที่ปากเ้ากล่าว”
หลิวเต้าเซียงคิดไม่ถึงว่าหลิวต้าฟู่จะพูดเช่นนี้ออกมา ปรบมือ นางนึกว่าปู่แสนดีคนนี้จะเป็แค่ท่อนไม้เสียอีก
หลิวฉีซื่อพลันนึกถึงบุตรชายคนเล็กก็รู้สึกเสียใจทีหลังกับเหตุการณ์อาละวาดเช่นนี้ แล้วนึกถึงที่ตนเองไม่ได้มีโอกาสขึ้นเป็ภรรยาของเ้านาย แต่อย่างน้อยกลับได้บุตรชายมาช่วยนางกู้คืนยศถาบรรดาศักดิ์ จะเทียบอย่างไร ข้อหลังล้วนทำให้นางได้หน้ามากกว่า เมื่อคิดได้กระจ่างถึงข้อนี้ นางจึงยอมเอ่ยด้วยสีหน้าที่ไม่ยินยอมนัก “ข้าเองก็ไม่เคยคิดอยากได้เงินของนาง เพียงแต่รู้สึกว่าเด็กก็ต้องสั่งสอนให้ดี ควรฝึกขยันอดออมั้แ่เล็ก”
การขยันอดออมเป็สิ่งดีงาม หลิวเต้าเซียงรู้สึกว่าจุดนี้นางคงต้องเรียนรู้ให้มาก แต่ไม่ชอบใจที่ต้องให้หลิวฉีซื่อมาสอน พลันสูดหายใจแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้องไห้ “แต่อาเล็กบอกว่า เงินนี่สมควรให้ย่าใช้”
ฮึ บอกว่าจะสอนให้คนขยันอดออมไม่ใช่หรือ? คิดว่าที่ขว้างคีมคีบไฟมาคือขว้างเล่นอย่างนั้นหรือ?
นี่ปะไร โอกาสในการตบหน้ามาถึงแล้ว โอกาสดีเช่นนี้ถ้าไม่ใช้ เดี๋ยวหมดอายุก็น่าเสียดายกันพอดี
คําพูดของหลิวเต้าเซียงเหมือนเป็การตบหน้าหลิวฉีซื่อสักฉาดทันใด
หลิวต้าฟู่มองไปที่หลิวฉีซื่ออีกครั้ง ทำให้นางต้องข่มความโกรธไม่สนใจหลิวเต้าเซียงแล้วเดินเข้าลานบ้าน แต่สักพักก็ชะงักฝีเท้า
ทำไมกัน?
หลิวฉีซื่อรีบคว้าหลิวเสี่ยวหลันที่กำลังยืนอึดอัดมาข้างหน้า หันไปยิ้มแล้วเอ่ยกับซูจื่อเยี่ยที่อยู่ตรงทางเดิน “คือว่า คุณชายน้อย ตื่นแล้วหรือ?”
ซูจื่อเยี่ยเหลือบมองนางอย่างเ็า แต่สายตาของเขามองข้ามฝูงชนมาหยุดที่หลิวเต้าเซียง
หลิวเต้าเซียงรู้สึกว่าตนเองราวกับถูกอสรพิษที่ดุร้ายจดจ้องอย่างไรอย่างนั้น มีอันตรายที่ทำให้รู้สึกว่าจะถูกกัดได้ทุกเมื่อ นางมองตามทิศทางนั้น สายตาของเด็กหนุ่มทำให้นางขนลุก แต่นางเองก็จำไม่ได้ว่าเคยไปทำให้คุณชายท่านนี้โกรธเคืองเมื่อไร
ซูจื่อเยี่ยถอนสายตาของเขาออกอย่างราบเรียบ จากนั้นเอ่ยอย่างช้าๆ “เสียงดังเกินไป”
หลิวเต้าเซียงยักปากบนขึ้น นี่มันอวดดีเกินไปแล้ว
สายตาของซูจื่อเยี่ยมองไปที่นางอีกหน เด็กสาวที่สมควรตายคนนี้กระตุ้นความสงสัยของเขา เด็กสาวคนนี้อายุไม่มาก แต่ความคิดกลับลึกล้ำ ถึงขั้นปั่นหัวคนทั้งบ้านได้
หลิวเต้าเซียงรู้สึกแปลกประหลาด คนๆ นี้เป็อย่างไรกัน?
ซูจื่อเยี่ยไม่สนใจทุกคนและหันหลังกลับไปยังห้องทิศตะวันตก เขารู้สึกว่า่พักฟื้นที่บ้านชาวนานี้ การได้เลี้ยงสุนัขไว้ดูเล่นสักตัวก็ไม่เลว
หลิวเต้าเซียงไม่ทราบว่าตนเองได้ถูกตีตราจากเ้านายผู้อวดดีให้กลายเป็ ‘สัตว์เลี้ยง’ ไปเสียแล้ว
หลังอาหารเย็น หลิวต้าฟู่ได้แสดงความคิดเห็นต่อเื่ราวบานปลายหนนี้ ทว่า ความคิดเห็นของเขาไม่ได้สำคัญนัก หลิวฉีซื่อไม่ได้รับปากเื่การแบ่งเงินสองร้อยอีแปะเพื่อเป็ค่าเย็บชุดใหม่ บอกว่ากินอยู่ที่บ้านให้พวกเขาห้าร้อยอีแปะก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
อย่างไรก็ตาม จางกุ้ยฮัวเองก็มีแผนการของตนเอง การอาละวาดไปครานี้เพื่อจงใจให้หลิวฉีซื่อได้เห็น นางรู้สึกว่าบุตรสาวคนรองพูดไว้ไม่ผิด เหตุใดต้องปลูกผักให้คนอื่น?
เรี่ยวแรงของนางไม่ได้มาจากลมที่พัดมา ไม่ว่าต่อไปหลิวฉีซื่อจะด่าว่าอย่างไร นางเองก็ไม่คิดจะปลูกผักเพิ่ม ปลูกแค่พอให้คนในบ้านได้กิน
นอกจากนี้บุตรสาวคนรองของนางไม่สามารถอยู่ที่บ้านได้ นางต้องไปเลี้ยงไก่สิบตัวที่บ้านหลี่ก็ยุ่งพอแล้ว ได้ยินว่าปีหนึ่งก็คงหาได้สักสองสามตำลึงเงิน เท่านั้น เพียงไม่กี่ปีก็คงสามารถหาเงินแต่งออกเรือนให้บุตรสาวสองคน
วันเวลาเริ่มมีความหวัง นิสัยของจางกุ้ยฮัวก็แข็งแกร่งขึ้นมาโดยที่ไม่ทันรู้ตัว
ดังนั้นเมื่อหลิวฉีซื่อขอให้นางจัดการดูแลผักในพื้นที่หนึ่งไร่กว่าให้หมด นางจึงคงท่าทีแน่วแน่และปฏิเสธไป
เหตุผลนางคิดไว้อย่างดี ั้แ่ตนเองคลอดบุตรสาวคนที่สาม นางยิ่งรู้สึกว่าต้องไม่ทำให้ที่บ้านผิดหวัง และตัดสินใจดูแลสุขภาพให้ดี เพื่อปีหน้าจะได้ให้กำเนิดหลานชายตัวอ้วนพีให้แก่ตระกูลหลิวให้จงได้
สําหรับข้อนี้ หลิวต้าฟู่เองก็พอใจอย่างมาก “ยายเฒ่า กุ้ยฮัวพูดถูก ต่อไปสวนผักปลูกเพียงแค่ครึ่งเดียวก็พอ ในเมื่อเด็กๆ พวกนั้นรังเกียจผักดอง ก็ทำน้อยหน่อย”
ไม่ว่าหลิวฉีซื่อคิดจะพูดอะไร หลิวเต้าเซียงก็ส่งเสียงขัดขึ้น “ใช่ๆ ปู่ ย่า พวกท่านคิดดู ลุงใหญ่นั้นเป็ถึงเหรัญญิกในบ้านเ้านายเก่าของย่า ได้ยินย่าบอกว่า บ้านนั้นร่ำรวยยิ่งนัก เพียงใช้นิ้วเกี่ยวนิดเดียว ก็เพียงพอให้ทั้งครอบครัวลุงใหญ่ได้กิน ลุงรองยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง เป็ถึงเหรัญญิกโรงเตี๊ยมในตำบล ของอร่อย น่าดื่ม มีสิ่งใดบ้างที่ไม่เคยได้ลิ้มลอง ไม่รู้ว่าลุงใหญ่กับลุงรองเคยส่งมาให้…”
ดวงตาที่เปล่งประกายของนางมองหลิวต้าฟู่กับหลิวฉีซื่อสลับไปมา
เมื่อเห็นว่าใบหน้าของทั้งสองนั้นผิดธรรมชาติเล็กน้อย อืม อารมณ์ไม่ดี จึงยอมลดเสียงลงไปหลายระดับ
หลังจากที่หลิวเต้าเซียงกินข้าวเสร็จ ก็ให้หลิวชิวเซียงกวาดพื้น ส่วนนางก็เก็บถ้วยชามตะเกียบ
ทันทีที่วางถ้วยชามตะเกียบลงบนเตาในห้องครัว ทันใดนั้น ปากของตนเองก็ถูกปิดไว้
กลิ่นหอมของยาจางๆ ฝังอยู่ในจมูกของนาง และมือที่ปิดปากนั้นนุ่มและละเอียดอ่อน หากแต่ได้รับการดูแลดีกว่ามือของหลิวฉีซื่อ
จะเป็ใครได้?
ข้างหูนั้นมีลมหายใจอุ่นๆ ของผู้มาเยือนรดลงมา หลิวเต้าเซียงหันไปมอง
ไหล่ของนางถูกกดโดยมืออีกข้างของผู้มาเยือน เสียงทุ้มต่ำยังไม่แตกหนุ่มซึ่งไม่ค่อยน่าฟังดังขึ้น ลอยเข้าหูนางและเข้าไปในสมอง “เด็กน้อย เ้าน่ะ เ้าแผนการไม่เบาทีเดียว”
หลิวเต้าเซียงใ นี่มันคุณชายน้อยที่ถูกนำออกมาจากบ่อมูลไม่ใช่หรือ? จริงด้วย เขาคือตัวอันตราย!
นางเอื้อมมือออกไปและแกะนิ้วมือของเขา แล้วถามด้วยความไม่พอใจ “เ้าคิดจะทำอะไร?”
“เป็อะไร กลัวหรือ?” แววตาของซูจื่อเยี่ยเต็มไปด้วยความสนุกสนาน ดีเหลือเกิน ในที่สุดเขาก็ไม่ต้องอยู่อย่างเบื่อหน่ายอีกต่อไป
กลัวบ้านแกสิ เ้าคนอวดดีนี่คิดเองเออเองเก่งจริง?
“เ้าช่างน่าขัน ข้าก็เพียงแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง ไม่ได้ทำอะไรที่ผิดมหันต์ร้ายแรง มีอะไรน่ากลัว?”
หลิวเต้าเซียงรู้สึกถึงร่างอันหนักอึ้งของเขาที่ทับไหล่ของตนเองไว้ หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง ข้างหูได้ยินเสียงหัวเราะเยาะที่น่ารังเกียจของเขา
“สาวน้อย เ้าว่า หากข้าไปบอกย่าของเ้า บอกว่าเ้าปั่นหัวพวกเขา เ้าคิดว่าจะถูกจับถลกหนังหรือไม่ หืม?”
ช่างเป็เสียงที่ยียวนกวนประสาท หลิวเต้าเซียงพินิจเพียงเสี้ยววินาที ตัดสินใจว่าจะไม่ใช้กำลังเพราะเรี่ยวแรงของนางสู้ไม่ไหว
ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้จังหวะเวลาดีจึงเอ่ย “พูดมา เ้าคิดจะทำอะไร?”
ชั่วขณะหนึ่งเขาไม่เข้าใจ เพียงแต่ไม่อยากคิดให้มากความ สายตาฉายแววได้ใจ ในที่สุดก็ไม่ต้องเอาแต่ดูใยแมงมุมกับมดอย่างน่าเบื่อหน่ายอีก เขาเอ่ยเสียงต่ำ “ข้าน่ะหรือ จะบอกกับอาเล็กของเ้า ให้นางขายเ้าที่ไม่เชื่อฟัง เ้าคิดดูว่านางจะดีใจหรือไม่?”
-----