ขณะเดียวกัน หลิวฉีซื่อฉีที่ยืนใอยู่ข้างๆ ก็ได้สติ นางโมโหจนใบหน้าที่เหี่ยวย่นนั้นบิดเบี้ยวแล้วแผดเสียงด่า “หลิวซานกุ้ย เ้าดูเมียเ้าสิว่าอวดดีไปถึงไหน สะใภ้บ้านไหนที่แต่งเข้าบ้านนั้นแล้วไม่ต้องทำงานบ้านบ้าง พูดราวกับว่าแม่สามีอย่างข้านั้นใจอำมหิต อีกอย่างนางสะใภ้ที่ไม่รู้จักหนังสืออย่างเ้าจะแต่งกายดีๆ ไปไย? ไม่ต้องเข้าสวนทำไร่แล้วหรือ?”
คำพูดนี้ฟังแล้วช่างไม่รื่นหูเสียเลย ราวกับว่าจางกุ้ยฮัวกำลังอิจฉาริษยาพี่สะใภ้ทั้งสองเพราะตนไม่มีสินเดิมออกเรือนติดตัวมา
เมื่อหลิวเต้าเซียงได้ยินดังนั้นก็ไม่พอใจเป็คนแรก “ย่า คำพูดของย่าหมายความว่าอย่างไร? แม่ข้าไม่ได้อิจฉาสินเดิมติดตัวของป้าใหญ่กับป้ารองเสียหน่อย นางก็แค่สงสารพวกข้าที่เป็ลูกสาว ใครบ้างไม่ได้เกิดจากเืเนื้อของผู้เป็แม่ หากเปลี่ยนเป็วันนี้ไม่ใช่แม่ของข้า แต่เป็อาเล็กอยู่ที่บ้านแม่สามีแล้วเจอเื่ราวเช่นนี้? ย่าจะยังพูดเช่นนี้หรือไม่?”
เมื่อสิ้นเสียงของนาง คนที่มีบุตรสาวแต่งออกเรือนไปสีหน้าก็ดูแย่ขึ้นมาทันใด สายตาที่มองไปยังหลิวฉีซื่อนั้นจัดว่าดูแคลนอย่างมาก กล่าวกันว่าสั่งสอนภรรยาข้างเตียง สั่งสอนสะใภ้ต้องปิดประตู ไหนเลยจะมีการเอาเื่เน่าเฟะภายในบ้านมาป่าวประกาศสู่ข้างนอก
ขณะนี้หลิวต้าฟู่โกรธจนใบหน้าชรานั้นออกม่วง
“แม่ กุ้ยฮัวได้เคยมีความคิดเช่นนั้น”
หลิวซานกุ้ยทำงานเสร็จช้าจึงเพิ่งมาถึงปากทางหมู่บ้าน เมื่อเห็นจากที่ไกลๆ ว่ามีคนมากมายล้อมอยู่หน้าประตูบ้านตนเอง ก็สังหรณ์ใจว่ามีเื่อะไรเกิดขึ้นจึงวิ่งพรวดมาจากทางเข้าหมู่บ้าน ขณะกำลังยืนเหนื่อยหอบก็ถูกหลิวฉีซื่อตะคอกใส่
เขามองไปที่บุตรสาวทั้งคู่ที่อยู่ในอ้อมกอดของภรรยา และยังมองเห็นคีมคีบไฟที่หล่นอยู่ข้างขอบประตูจึงเอ่ย “หากว่าเต้าเซียงไม่เชื่อฟัง แม่ด่าว่านางไม่กี่ที ข้าก็ไม่มีความเห็น แต่มีย่าที่ไหนที่จิตใจโเี้เท่าแม่? ใช้คีมคีบไฟขว้างมาเต็มแรง ถึงอย่างไร นั่นก็คือหลานแท้ๆ ของแม่นะ”
สิ้นเสียง ในสมองของหลิวซานกุ้ยก็ปรากฏคำพูดหนึ่งขึ้นมานั่นคือ บุตรสาวของตนหาใช่ศัตรูของนาง แล้วเหตุใดจึงกะเอาให้ถึงตาย?
จางกุ้ยฮัวยิ่งคิดยิ่งโมโห โชคดีที่บุตรสาวคนรองนั้นมีไหวพริบจึงไม่ได้ยืนนิ่งๆ ให้ถูกทำร้าย เมื่อเห็นหลิวซานกุ้ยมา จึงคิดจะอาศัยจังหวะที่มีผู้คนล้อมรอบมากมายนี้ ไม่ว่าอย่างไรหนนี้ต้องไม่ยอม กระนั้นนางจึงเอ่ยด้วยความโกรธ “ซานกุ้ย ข้าจะไม่ขอให้เ้าตัดสินถูกผิด เื่ในวันนี้ ข้ายื่นคำขาด จะพาลูกสาวทั้งสามคนออกจากที่นี่ แม่รังเกียจว่าพวกนางคือตัวล้างผลาญ ข้าก็จะพาตัวล้างผลาญในสายตานางกลับบ้านแม่ให้หมด จะได้สมปรารถนาของแม่ แล้วค่อยหาสะใภ้คนใหม่ให้เ้า”
หลิวซานกุ้ยเป็คนซื่อตรง เขาคิดว่าในเมื่อตนเองแต่งงานกับจางกุ้ยฮัวแล้ว ก็ยึดมั่นตามนี้ ชาตินี้ภรรยาของเขามีเพียงคนเดียวก็คือนาง ไม่เคยคิดเื่มีเล็กมีน้อยมาก่อน คำพูดของนางครั้งนี้นับว่าทั้งรุนแรงและอำมหิต แต่หลิวซานกุ้ยกลับเหมือนไม่ได้ยิน หรือบางที เขาแค่รู้สึกว่าที่จางกุ้ยฮัวพูดไปเพราะอารมณ์โมโห
“กุ้ยฮัว เ้าพูดเื่อะไร พื้นเย็นเฉียบ เ้าเพิ่งออกเดือนร่างกายยังอ่อนแอ เต้าเซียง ชิวเซียง รีบพยุงแม่เ้าลุกขึ้นมา”
ขณะที่พูดเขาก็โยนจอบที่แบกอยู่บนบ่าไปอีกทาง แล้วรีบเข้าไปช่วยพยุงจางกุ้ยฮัว
จะว่าไปคนที่ตกตะลึงมากที่สุดก็คือหลิวเต้าเซียง จางกุ้ยฮัวที่ยามปกติไม่กล้าเสียงสูงกับแม่สามี กลับะเิอารมณ์เพื่อนาง
หลิวฉีซื่อโมโหจนเกือบเป็ลมในขณะนี้ ลืมไปว่าหลิวต้าฟู่นั้นหน้าดำคร่ำเครียดเพราะคำพูดถากถางของคนข้างบ้าน จึงกลอกตาแล้วด่า “ขากถุย ยังคิดอยากจะแยกทาง ซานกุ้ยไปเขียนหนังสือหย่ามาให้แม่ จะได้ขับไล่นางคนหน้าไม่อายรองเท้าขาดๆ คนนี้ออกจากบ้านแม่ไปเสียที”
นางคำนวณไว้อย่างดี สะใภ้รอง่นี้ไม่ค่อยเชื่อฟัง การกำจัดสะใภ้สามออกไป เป็จังหวะดีที่ได้เชือดไก่ให้ลิงดู ต่อไปสะใภ้รองจะได้ไม่กล้าต่อปากต่อคำกับนางอีก
“ยายเฒ่า พอได้แล้ว เ้าเงียบก่อน” หลิวต้าฟู่ขายหน้าอย่างมากกับเื่ราวในวันนี้ “ซานกุ้ย ดูแลเมียเ้าให้ดี”
หลิวเต้าเซียงได้ยินดังนั้นก็เบ้ปาก ปู่เรามีปัญญาแค่นี้เองหรือ ทำเป็แค่หน้าที่ไกล่เกลี่ย
นางใช้นิ้วสะกิดแม่ของตนเบาๆ แล้วเอ่ยเสียงค่อย “ปู่ข้าคิดอยากเลยตามเลยอีกแล้ว”
หากว่าสมดังใจหมายของเขา วันนี้ที่จางกุ้ยฮัวอาละวาดไปก็เท่ากับสูญเปล่า
จางกุ้ยฮัวได้ยินดังนั้นก็ยิ่งโกรธ ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าบุตรสาวคนรองของตนพูดไม่ผิด จึงเอ่ยอีก “พ่อ วันนี้ข้าไม่คิดจะเหยียบเข้าประตูบานนี้อีก ขอพ่อบอกให้ซานกุ้ยเขียนหนังสือหย่าเถิด สะใภ้จะพาลูกๆ กลับบ้านแม่วันนี้”
“ข้าไม่เห็นด้วย” หลิวซานกุ้ยนานๆ ทีจะมี่เวลาที่โกรธ หรืออีกอย่างคือ ในความทรงจำของหลิวฉีซื่อ เขาเป็คนที่ปล่อยให้นางบดขยี้ตามใจทุกเมื่อ
เสียงะโนี้ผสมกับความไม่พอใจที่เขาสะสมมาหลายปี ดวงตาแดงก่ำพร้อมเอ่ยกับหลิวฉีซื่อและหลิวต้าฟู่ “ข้าไม่มีทางเขียนหนังสือหย่า ใครกล้าบังคับข้าเขียนหนังสือหย่าล่ะก็ ข้าจะ ข้าจะ…”
เขายังไม่ทันได้คิดวิธีข่มขู่ หลิวเต้าเซียงก็โผเข้าหาท่อนขาของเขา แล้วแผดเสียงดัง “พ่อจ๋า พ่ออย่าได้ทำเื่โง่ๆ เชียว การฟันคนจะทำให้พ่อถูกจับไปขัง”
หลิวซานกุ้ยมองบุตรสาวคนรองด้วยความมึนงง เขาบอกเมื่อไรว่าจะฟันคน?
“อะไรนะ? หลิวซานกุ้ย เ้าสุนัขหมาป่าตาขาวมีเมียแล้วลืมพ่อแม่ สารเลวอกตัญญู ทำเช่นนี้กับพ่อแม่เ้าได้อย่างไรกัน ข้าทำบาปกรรมอะไรกันนักหนา มีแต่ลูกอกตัญญู”
หลิวฉีซื่อร้องไห้พลางเช็ดน้ำตา
“ย่า หากไม่ใช่เพราะปกติย่าชอบรังแกกดขี่พ่อกับแม่ข้า จะเกิดเื่เช่นวันนี้ได้อย่างไร? ในสายตาของย่า ครอบครัวพวกข้านั้นราวกับไม่ใช่ลูกหลานแท้ๆ ของย่า” หลิวเต้าเซียงไม่กลัวนาง สมควรแล้วที่จะถอดหน้ากากหนังเหนียวของนางออกมา มาทำเสแสร้งอะไรกัน เชอะ!
นี่สินะหญิงแพศยาที่กล่าวขานกัน
เดิมทีหลิวฉีซื่อจะใช้วิธีการร้องไห้โอดครวญ เพื่อขอความเห็นใจจากคนร่วมหมู่บ้าน แต่ใครจะรู้ว่าหลิวเต้าเซียงพูดออกมาคราวเดียว สีหน้าของนางก็กลายเป็สีตับหมูทันใด โมโหอย่างเป็ที่สุด
ในใจนั้นก่นด่าสารพัด ตอนนั้นเหตุใดจึงไม่จับนางฆ่าให้ตายๆ ไปเสียจะได้ไม่ต้องยุ่งยาก นางนึกเสียใจที่ตอนหลิวเต้าเซียงคลอดออกมา ไม่ได้จับโยนไปให้หมาป่ากินที่หลังเขา
“พ่อ ั้แ่ปู่กับย่าเสียไป หลายปีมานี้ลูกก็เคารพและเชื่อฟังพวกท่านเสมอมา แต่ดูครอบครัวฝั่งข้า แล้วมองดูครอบครัวของพี่ใหญ่พี่รองสิ ยังไม่ต้องกล่าวถึงพวกเขา ลำพังน้องสี่กับน้องเล็ก มีใครบ้างที่ไม่ได้มีชีวิตดีกว่าเต้าเซียงและพี่น้อง? ข้าสงสัยเหลือเกินว่าข้าใช่ลูกที่แม่ให้กำเนิดมาจริงหรือไม่ ช่างไม่เหมือนคนในครอบครัว แต่กลับเหมือนศัตรูมากกว่า”
หลิวซานกุ้ยเป็คนซื่อตรงและในใจมีแต่ความกตัญญู หากแต่ไม่ใช่คนโง่เขลาจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นหลิวเต้าเซียงที่เ้าเล่ห์ก็อาศัยจังหวะแสดงความไม่พอใจของตนออกมาอยู่เนืองๆ
ในตอนแรกหลิวซานกุ้ยรู้สึกว่าเพราะความเป็เด็ก เมื่อเห็นน้องเล็กแต่งกายดี ได้กินของดีๆ ในใจเกิดความไม่พอใจเพียงเท่านั้นก็ไม่ได้คิดมาก
ต่อมาด้วยความพยายามของหลิวเต้าเซียง เขาที่ใช้ชีวิตทนทุกข์มายี่สิบปีก็เพิ่งค้นพบสิ่งหนึ่ง นั่นคือการปรับเปลี่ยนบางอย่างก็ทำให้มีชีวิตที่ดีกว่าเดิมได้
นับั้แ่กลางคืน ครอบครัวของเขาเริ่มจุดเตาเผา ท้องของหลิวซานกุ้ยก็เริ่มได้ลิ้มรสความสุข ไม่ต้องทนท้องว่างทุกคืน เขาที่ถูกหลิวเต้าเซียงปรับทัศนคติของชีวิตก็เริ่มเกิดความสั่นคลอนในความกตัญญูที่มีต่อพ่อแม่
ต่อมาเขารู้สึกว่าความคิดของบุตรสาวตนเองนั้นมีเหตุผล จนในที่สุดเขาก็มองเห็นและยอมรับเต็มทีว่าตนเองก็เป็พ่อคน นี่ช่างเป็เื่ที่น่ายินดีเสียนี่กระไร
ดังนั้นชายที่จิตใจดีใสซื่อเช่นเขาในที่สุดก็รวบรวมความกล้า อนุญาตให้บุตรสาวทั้งสองคนสามารถหาเงินเก็บเองได้ แม้จะยังต้องปิดเป็ความลับกับหลิวฉีซื่อ
ตอนแรกเขาหวาดกลัว แต่ก็พบว่าแม่ที่ร้ายกาจของตนไม่ได้สังเกต กระนั้นความกล้าหาญของตนก็มีมากขึ้น และต่อมา อื้ม ในที่สุดเขาก็ได้กินบะหมี่ขาว!
เมื่อคิดถึงรสชาติของบะหมี่ขาวนั้น มีเพียงสองคำที่ปรากฏในสมองเขาคือความแข็งแกร่ง!
ใน่ยี่สิบสี่ปีที่ผ่านมา มีเพียงปู่และย่าที่เสียไปที่ได้ต้มบะหมี่น้ำใสให้เขากิน นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้กินบะหมี่ขาว?
ยังมีอีกครั้งหนึ่งที่ทำให้เขาเต็มไปด้วยน้ำตา จนในที่สุดเขาก็ทำใจแข็งได้ แล้วรู้ว่าการกตัญญูไม่ได้แปลว่าต้องเชื่อฟังทุกอย่าง จิตใจที่กตัญญูนั้นควรมี แต่ไม่ใช่การเชื่อฟังคำของพ่อแม่เกินไป
หลิวซานกุ้ยไม่ทันรู้ตัวเลยว่าตนเองได้มีความคิดที่เอนเอียงไปทางลูกอกตัญญู ภายใต้การหล่อหลอมของลูกสาวตัวดีของตน
หลิวเต้าเซียงเห็นว่าในที่สุดเขาก็กล้ายืดอกเผชิญหน้ากับหลิวต้าฟู่ จึงคิดว่าไม่สำคัญว่าหนนี้ครอบครัวของนางจะชนะหรือไม่ ลำพังความเปลี่ยนแปลงของหลิวซานกุ้ย นางก็อยากจะให้คะแนนเต็ม ในที่สุดพ่อของตนก็สามารถสลัดคราบอมิตตาพุทธได้แล้ว
หลิวต้าฟู่ก็ดูเหมือนถูกฟ้าผ่าอย่างไรอย่างนั้น เขายืนมองบุตรชายคนที่สามที่ถูกแดดเลียจนใบหน้าดำคล้ำด้วยความตะลึง
นี่เป็ครั้งแรกที่เขาลืมตามองดูบุตรชายคนที่สามของตนเองดีๆ เด็กน้อยที่ตัวขาวสะอาดสะอ้าน ใบหน้าหล่อเหลาวันนี้เติบใหญ่แล้ว แม้ว่าจะตากแดดจนคล้ำไปบ้าง แต่ยังคงไม่สามารถบดบังคิ้วดุจสีหมึก ดวงตาดุจดวงดาว เพียงเพราะการตรากตรำทำงานหนักมาแรมปี ทำให้มองดูแล้วเหมือนกับคนที่เท้าเปื้อนโคลนตลอดเวลา
เขากลัวและหวาดหวั่น ไม่้าให้หลิวซานกุ้ยจากตนเองไป ยิ่งนึกถึงคำสั่งเสียของพ่อแม่ตนเองก่อนสิ้นใจ ดวงตาของเขาค่อยๆ มีประกายที่เปลี่ยนไป แล้วเบนสายตาไปทางฉีหรุ่ยเอ๋อร์
ฉีรุ่ยเอ๋อร์จ้องมองเขาด้วยดวงตาที่ไม่พอใจ
หลิวต้าฟู่โบกมือให้ผู้ที่มุงดูอยู่ ราวกับว่าจะโบกให้ความน่ารำคาญใจไม่มีที่สิ้นสุดนี้ให้หลุดออก
“แยกย้ายกันไปเถอะ!”
หลังจากมองไปที่หลิวฉีซื่อด้วยสายตาจริงจัง เขากล่าวว่า “ยายเฒ่า ข้ากับซานกุ้ยเหนื่อยกับใยลินินที่สวนมาทั้งวัน ดูท่าปีนี้คงดีกว่าปีก่อนๆ การเก็บเกี่ยวคงไม่เลว เ้าหยุดพะวงได้แล้ว สะใภ้สาม เ้าเองก็หยุดอาละวาดได้แล้ว ในเมื่อซานกุ้ยไม่อยากเขียนหนังสือหย่า เ้าก็อยู่กับเขาอย่างสงบเถิด”
น่าแปลกมากที่คราวนี้หลิวฉีซื่อไม่ได้สร้างปัญหาอีกต่อไป ซึ่งทําให้หลิวเต้าเซียงตกตะลึงมากและสิ่งต่างๆ ดูเหมือนจะไม่มีเหตุผล เื่ราวดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าใด
หลิวต้าฟู่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “แม่ของลูก่นี้ต้องสอนคนเย็บปัก สะใภ้สามดูแลเื่สวนผักให้เรียบร้อยด้วยล่ะ”
หลิวเต้าเซียงหยิกเอวของจางกุ้ยฮัวอย่างแรง หางตาของนางชำเลืองมองบุตรสาวคนรองของตนที่กำลังเบะปาก จึงรีบใช้แขนเสื้อปิดบังใบหน้าพร้อมกับครวญคราง
ปากของหลิวต้าฟู่ขยับเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก
“ปู่ ครอบครัวเราก็มีไม่กี่คน แม่ข้าเพิ่งคลอดน้องเล็ก บ้านเราไม่เห็นจำเป็ต้องปลูกแปลงผักตั้งหนึ่งไร่กว่า จะเอาไปทำอะไรมากมายหรือ? ปู่ หรือไม่ ก็ปลูกแค่พอพวกเรากินได้หรือไม่”
หลิวเต้าเซียงไม่ใช่คนที่จะต่อกรด้วยง่ายๆ หรือจะให้พูดก็คือ นางไม่เคยมองคนอื่นนอกจากครอบครัวตนเองเป็ญาติอยู่แล้ว
หลิวฉีซื่อทนไม่ไหวอีกต่อไป เสียงแหลมปรี๊ดดังเสียดหู นางหวาดกลัวอย่างมากว่าหลิวต้าฟู่ที่ไร้สมองจะรับปากไป จึงตะคอกอย่างโมโห “อะไรนะ? นางเด็กเหลือขอ ใครสั่งใครสอนคนสารเลวอย่างเ้า ไม่ปลูกเยอะหน่อย ลุงใหญ่ลุงรอง สองครอบครัวนั้นจะกินอะไร? อาสี่เ้าจะกินอะไร?”
-----