นี่คือสิ่งที่บุตรสาวคนรองชอบเอ่ยถึงบ่อยๆ ่นี้เห็นบอกว่าสะใภ้ในหมู่บ้านชอบใช้มุกนี้ เวลาเกิดเหตุเอะอะโวยวายขึ้นมาก็ฆ่าตัวตาย
จู่ๆ จางกุ้ยฮัวก็ตระหนักได้ การที่หลิวฉีซื่อชอบกดขี่ ก็เพราะว่าตนเองนั้นเป็คนว่าง่าย นิสัยอ่อนแอ?
หากว่านางสามารถข่มขู่หลิวฉีซื่อได้ วันข้างหน้าอาจจะสงบสุขมากกว่านี้
เมื่อครู่นางถูกหลิวฉีซื่อบีบจนหมดหนทาง นางจึงพ่นคำพูดเ่าั้ออกไปโดยไม่ได้คิดด้วยซ้ำ
สองแม่ลูกเห็นทีจะใจริงๆ หากว่าใส่ยาฆ่าแมลงจริง พวกนางจะกล้ากินได้อย่างไร?
หลิวเสี่ยวหลันรู้สึกตื่นใ รีบกระตุกแขนเสื้อของหลิวฉีซื่อแล้วเอ่ยเสียงค่อย “แม่ พี่สะใภ้สามคงไม่ได้โดนของหรอกนะ หรือว่าควรรีบไล่นางออกไป”
เดิมทีหลิวเต้าเซียงที่แอบฟังอยู่ด้านนอก เมื่อเห็นหลิวฉีซื่อเอาชามขว้างใส่จางกุ้ยฮัวจึงรีบเข้ามาในห้องครัว พอได้ยินแม่ของตนตวาดออกมาแบบนั้นด้วยความโมโห ก็อึ้งไปเช่นเดียวกัน
“ฮือ แม่ตายไม่ได้นะ!”
หลิวเต้าเซียงมีไหวพริบ รีบะโเสียงดังร้องไห้ออกมา
ขณะที่ร้องไห้ก็วิ่งออกไปด้านนอกแล้วะโเสียงดัง “ใครก็ได้มาเร็ว ช่วยด้วย ย่าข้าจะบังคับให้แม่ข้ากินยาฆ่าแมลง รีบมาช่วยหน่อย!”
เสียงของนางทั้งแหลมและใส ขณะเดียวก็ดุจดั่งกริชที่แหลมคมพุ่งออกไป
ชั่วขณะนั้นก็ทำลายความเงียบในหมู่บ้าน ควันที่โชยขึ้นมาราวกับว่าหวั่นเกรงเช่นเดียวกัน กระทั่งหมอกนั้นก็มีความสั่นไหวไม่เป็รูป
“เสียงนี้ฟังดูคุ้นๆ นะ เด็กบ้านไหนกัน?”
“ไม่ใช่หรอกมั้ง แม่สามีบ้านไหนกันช่างโเี้เสียจริง?”
“์ ข้าไม่ได้ฟังผิดใช่หรือไม่ ยังรีรออะไรกัน? รีบไปช่วยคนเร็ว”
ตระกูลหลิวอยู่ไม่ไกลจากปากทางหมู่บ้านนัก หลิวเต้าเซียจึงเปล่งเสียงดังที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยเหตุนี้แม่บ้านหลายคนที่กำลังจับกุ้งปลาอยู่ในลำธาร เมื่อตั้งใจฟังก็พบว่าเสียงดังมาจากบ้านตระกูลหลิว
“อ๊าก พ่อจ๋า ช่วยด้วย ใครก็ได้ ย่าข้าโดนของแล้ว”
เดิมทีหลิวฉีซื่อกังวลว่าคุณชายน้อยที่พักอยู่ทางห้องทิศตะวันตกจะได้ยิน ไม่อยากให้เขาได้เห็นเื่ราวสกปรกโสมมของบ้านนี้ แต่หลิวเต้าเซียงที่เกิดมาเพื่อเป็ศัตรูกับนาง ยิ่งนางไม่้าให้เป็เช่นไร หลิวเต้าเซียงยิ่งต้องทำให้เป็เช่นนั้น
ในขณะนี้ เสียงร้องที่คมชัดและตื่นตระหนกของนางมาถึงห้องตะวันตกแล้ว
ใบหน้าของหลิวฉีซื่อไม่สามารถใช้คำพูดใดบรรยายได้อีก สายตาของนางเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น ตอนนี้นางชิงชังกับคำพูดของเด็กสาวที่ทำให้ตนเองขายหน้า
ไฟโมโหของหลิวฉีซื่อปะทุขึ้นอีกครั้งเพราะหลิวเต้าเซียง ตอนนี้กำลังโหมกระหน่ำลุกโชน
เมื่อเห็นว่าหลิวเต้าเซียงวิ่งเข้าไปในลานบ้านและะโ นางเหลือบมองไปที่ห้องตะวันตก กัดฟันคว้าคีมคีบไฟที่วางอยู่ข้างกองฟืนแล้ววิ่งตามไป
“นางตัวดีไม่มีหัวจิตหัวใจ ข้าเป็ถึงย่าเ้า ทำผิดแล้วสั่งสอนก็เป็เื่สมควร ลำพังต่อว่าเ้าไม่กี่คำ เ้ากลับมาอาละวาดอยู่เช่นนี้ คนที่ไม่รู้คงนึกว่าที่ข้าทำนั้นไม่ดีต่อเ้า”
หลิวเต้าเซียงไม่กลัวนาง เมื่อเห็นว่าหลิวฉีซื่อถือคีมคีบไฟวิ่งตามออกมา ก็วิ่งออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเถียงนางกลับ “ย่า หากข้าไม่มีหัวจิตหัวใจ แล้วย่าล่ะคืออะไร? ย่าเป็คนให้กำเนิดพ่อ อีกอย่าง ย่ายังมีหน้ามาบอกว่าเลี้ยงดูข้าอย่างดี ย่าดูสิ่งที่ย่ากับอาเล็กสวมใส่ก่อน แล้วค่อยพูดจาเช่นนี้ออกมา ใครกันแน่ที่ไม่มีหัวจิตหัวใจ”
“นางลูกหมาพันธุ์ทาง ไสหัวกลับมาเดี๋ยวนี้ ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ ยังกล้าเถียงผู้ใหญ่ฉอดๆ”
หลิวฉีซื่อชอบใช้วิธี ‘อ่อนโยน’ ในการควบคุมคนทั้งหมดในบ้าน ใครจะรู้ว่าเมื่อหลิวเต้าเซียงก่อกวนเช่นนี้ หากนางจะแสร้งทำเป็โศกเศร้าแล้วคิดฆ่าตัวตาย เกรงว่าคงกลายเป็เื่ราวตลกขบขันของคนทั้งหมู่บ้าน
เื่เช่นนี้นางมิอาจทำได้ เพียงแต่คำพูดของหลิวเต้าเซียงนั้นร้ายแรงยิ่งนัก แต่ละคำช่างทิ่มแทงใจของนาง
“ข้าไม่ได้โง่นี่นาถึงจะเข้าไปใกล้ แล้วให้ย่าตีข้าเหมือนที่ตีแม่ ใครจะทำร้ายตนเองเช่นนั้น สมองข้าไม่ได้ถูกกระทบกระเทือนเสียหน่อย” หลิวเต้าเซียงตอบนางขณะที่วิ่งหนี
ไม่มียอมอ่อนข้อให้หรอก หญิงชราบ้าคลั่ง
“นางเด็กเหลือขอหน้าไม่อาย หยุดเดี๋ยวนี้”
เมื่อเห็นหลิวเต้าเซียงวิ่งออกประตูไป หลิวฉีซื่อก็ยกคีมคีบไฟขึ้นมาแล้วฟาดไปที่ประตูลานบ้าน
ประตูไม้ที่อยู่ในสภาพทรุดโทรมอยู่แล้ว เมื่อถูกกระแทกก็โยกไปมา
หลิวเต้าเซียงที่วิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็วได้ยินเสียงคีมคีบไฟดังขึ้น จึงยืนอยู่หน้าประตูถนนในหมู่บ้าน จากนั้นจ้องมองหญิงชราที่อยู่ในสภาพ ‘บ้าคลั่ง’ แล้วเอ่ย “ข้าคือเด็กเหลือขอ แล้วย่าคืออะไรกันนะ? ข้าขอคิดดูหน่อย ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็คนแก่เหลือขอสินะ?”
“เ้า?” หลิวฉีซื่อถูกปั่นจนแทบเป็ลม
“ข้า ข้าเป็อย่างไร? ฮึ ย่าเป็ย่าข้าจริงหรือไม่? ลงมือได้เหี้ยมโหดเช่นนี้ ย่าหาว่าข้าเป็ตัวล้างผลาญ ข้ายอมรับ แต่เหตุใดอาเล็กที่เป็ตัวล้างผลาญเหมือนกันถึงได้กินดีอยู่ดี? นี่ยังไม่เท่าไหร่ ย่าบอกว่าสิ่งของเงินทองเ่าั้ที่จะออกเรือนเป็ของย่า แต่พวกเราที่เป็หลานสาวไม่ได้แซ่หลิวหรอกหรือ? พ่อข้าไม่ใช่แซ่หลิวหรืออย่างไร?”
หลิวเต้าเซียงไม่ได้เกรงกลัวหญิงชรา หางตากวาดมองไป เห็นคนในหมู่บ้านกำลังล้อมกันเข้ามา ปากเล็กๆ ก็เริ่มเอ่ยปากพูดอีก “ย่าลำเอียง ข้าเป็ผู้น้อยจะพูดอะไรมากความก็ไม่ได้ เงินที่ข้าเก็บมาได้สองเหรียญมอบให้แม่ข้าแล้วอย่างไร ข้าเป็ห่วงแม่ข้าที่เพิ่งออกเดือนนั้นผิดด้วยหรือ? ข้าไม่ควรใช้เงินสองเหรียญนี้ และสมควรให้เด็กน้อยเจ็ดขวบเช่นข้าต้องเอาเงินสองเหรียญไปเลี้ยงครอบครัวหรืออย่างไร? ย่า นอกจากพ่อข้า ย่าไม่ได้คลอดลูกชายคนอื่นด้วยหรอกหรือ?”
หลิวเต้าเซียงไม่ใช่คนที่จะต่อกรด้วยง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้นในโลกปัจจุบันยังเป็คุณหนูลูกคนเดียวในบ้าน อยากได้อะไรก็ต้องได้ ระยะเวลาสั้นๆ ในชาตินี้ไม่เคยต้องเป็ที่รองรับอารมณ์ของผู้ใด
ความไม่สมเหตุสมผลของหลิวฉีซื่อ ทำให้นางที่เป็คนนอกยากที่จะปรับตัวเองให้เข้ากับยุคโบราณนี้ แม้แต่ความแตกต่างทางด้านความคิด นางก็มิอาจทนรับความกร่างของหลิวฉีซื่อได้
“เอ๋ เกิดอะไรขึ้น? ข้าว่าป้าหลิว เ้าก็ช่างลงมือไปได้ ใช้คีมคีบไฟตีเด็กเจ็ดขวบ เกิดาเ็ขึ้นมา ไม่แน่ว่าเ้าต้องเลี้ยงดูนางไปตลอดชีวิตเชียวนา”
“ที่ไหนล่ะ เ้าไม่ได้ยินลูกสาวคนรองของซานกุ้ยบอกหรือ เพียงเพื่อเงินสองอีแปะนะ”
“พอพูดเช่นนี้ข้าก็นึกได้แล้วว่าเมื่อวานพวกนางสองแม่ลูกนั่งรถเข็นวัวกลับมา ได้ยินว่าเด็กน้อยสงสารแม่ตนเอง จึงยอมอดทนไม่เอาเงินสองอีแปะที่เก็บได้ไปซื้อขนม แต่เอาเป็ค่ารถเข็นวัว หากเปลี่ยนเป็เ้าตัวดีในบ้านข้าล่ะก็ คงแอบเอาไปซื้อต่าไป๋ถังกินที่ไหนแล้วก็ไม่รู้ ไหนเลยจะนึกถึงว่าต้องกตัญญูพ่อแม่”
“ใช่ เด็กคนนี้กตัญญูยิ่งนัก”
“นี่สะใภ้บ้านหลิว บ้านเ้าร่ำรวยไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงหวังให้เด็กน้อยเจ็ดขวบมาเลี้ยงครอบครัวเล่า?” หญิงชราผู้หนึ่งส่งเสียงแหลมพึมพำ คำพูดคำจาเสียดสี ทำให้คนในหมู่บ้านที่ล้อมรอบถึงกับหัวเราะขบขัน
“หลิวต้าฟู่ ภรรยาเ้าให้หลานสาวเจ็ดขวบมาหาเลี้ยงครอบครัวแน่ะ” ชายหนุ่มในหมู่บ้านไม่ได้อ้อมค้อมเช่นเดียวกับเหล่าเพื่อนบ้าน จึงหันมาหัวเราะเยาะหลิวต้าฟู่ ที่เป็ ‘ประมุขของบ้าน’
หลังจากที่หลิวต้าฟู่แต่งงานกับฉีหรุ่ยเอ๋อร์ คนในชุมชนต่างก็อิจฉาตาร้อนที่ฉีหรุ่ยเอ๋อร์มีสินเ้าสาวออกเรือนมามากมาย และต่างก็ซุบซิบกันว่าหลิวต้าฟู่นั้นกลายเป็เ้าบ่าวสีชมพูของฉีหรุ่ยเอ๋อร์
เ้าบ่าวสีชมพูคืออะไร? ก็คือแมงดา เด็กเลี้ยง ที่อาศัยเกาะชายผ้าผู้หญิงในยุคปัจจุบันนี่เอง
เป็บุคคลประเภทที่คนในหมู่บ้านนั้นค่อนข้างเมินเฉย
“หลิวต้าฟู่ เ้าเองก็เหลือเกินจริงเชียว ลำพังตนเองเกาะเมียกินไม่พอ ตอนนี้ยังต้องลามมาถึงลูกหลาน น่าสงสารเด็กจริง เหตุใดจึงไม่ไปเกิดที่ครอบครัวดีกว่านี้”
เมื่อได้ยินการเยาะเย้ยของชาวบ้าน ใบหน้าของหลิวต้าฟู่ก็ดำคร่ำเครียดยิ่งกว่าก้นหม้อ เพียงแต่ว่าเขาทำงานหนักเป็แรมปี ทำให้ใบหน้าตากแดดจนคล้ำอยู่แล้ว จึงดูไม่ออกว่าสีหน้าของเขานั้นดูแย่เพียงใด
ในขณะนั้นก็มีผู้หญิงผมเผ้ายุ่งเหยิงวิ่งออกมาจากประตู หลิวเต้าเซียงมองไปแล้วเห็นเสื้อผ้าคุ้นตาเหลือเกิน?
เอ้ นี่แม่เราไม่ใช่หรือ?
“แม่ เต้าเซียงก็เป็หลานแท้ๆ ของแม่ เหตุใดจึงลงมือได้โหดร้ายเช่นนี้ โชคดีที่นางหลบได้เร็ว มิเช่นนั้น คีมคีบไฟที่ฟาดลงไป นางจะยังมีชีวิตได้อีกหรือ? ฮือๆ ลูกน้อยที่น่าสงสาร แม่ไม่ควรคลอดพวกเ้าออกมาเลย”
ชื่อเสียงของจางกุ้ยฮัวในหมู่บ้านนับว่าดีมาโดยตลอด ทุกคนที่อยู่ร่วมกันล้วนรู้จักกันมานาน ย่อมรู้ว่านางคือลูกสะใภ้ที่กตัญญูและซื่อตรง
ในเวลานี้เมื่อเห็นนางร้องไห้อย่างโศกเศร้าแทบเป็แทบตาย ทุกคนต่างเคยเห็นภาพที่หญิงชราจำนวนไม่น้อยต้องเป็ที่รองรับอารมณ์ของแม่สามี เมื่อเห็นภาพนี้ก็หวนนึกถึง่เวลาที่ยากลำบากของตนเอง ในใจเกิดอารมณ์ด้านมืดขึ้นมาจู่โจม ด้วยคำพูดที่ไม่น่าฟังมากขึ้น
“ข้าว่าต้าฟู่ เมียเ้าเองก็ใจดำอำมหิตเกินไป ก็แค่มีเงินมากกว่าเราไม่ใช่หรือ? แต่ความคิดที่โเี้เช่นนี้ ช่างดูไม่ออกเสียจริง ตอนนั้น่ที่พ่อกับแม่เ้ายังอยู่ กำชับเ้านักหนาว่าต้องดูแลซานเอ๋อร์ให้ดี”
หลิวต้าฟู่เงยหน้ามองดู เป็คุณยายที่เห็นเขาเติบโตมาั้แ่วัยเยาว์ มีเพียงผู้าุโในหมู่บ้านที่ทนดูไม่ได้จึงออกมาพูดบ้าง ยามปกติแล้วไม่มีคนรอบตัวคนไหนกล้ามีเื่กับฉีหรุ่ยเอ๋อร์ เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าบ้านเ้านายของนางนั้นเป็ขุนนางใหญ่
อนิจจา เขาเองก็ถอนหายใจด้วยความระอา เมื่อต้องเผชิญหน้ากับฉีหรุ่ยเอ๋อร์ เขาเองก็ยืดอกสามศอกไม่ได้ หากไม่ใช่เพราะสินเดิมที่แต่งเข้ามาของฉีหรุ่ยเอ๋อร์ บ้านเขาตอนนี้คงยังอยู่ในฐานะผู้เช่านาที่ต้องใช้ชีวิตแบบรัดเข็มขัดอยู่
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ หลิวต้าฟู่ได้แต่เค้นรอยยิ้มออกมาแล้วเอ่ย “นิสัยของนางก็เป็เช่นนี้ แต่ไม่ได้เป็คนจิตใจเลวร้าย เพียงแต่ว่าเก็บอารมณ์ไม่ค่อยเป็”
หญิงชราไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่ถอนหายใจและพร่ำพรรณา บอกว่าหลิวซานกุ้ยนั้นมีนิสัยคล้ายกับป้าใหญ่หลิว ซึ่งก็คือแม่แท้ๆ ของหลิวต้าฟู่
ในขณะนี้ จางกุ้ยฮัวพุ่งไปหาหลิวต้าฟู่แล้วคุกเข่าลงกับพื้น ร้องไห้พร้อมกับอ้อนวอน “พ่อ สะใภ้ขอคุกเข่าให้พ่อ ขอให้ซานกุ้ยปลดข้าออกจากการเป็ภรรยาเถิด ให้ข้าพาลูกน้อยทั้งสามคนกลับบ้านแม่ ชีวิตเช่นนี้สะใภ้ทนอยู่ต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ ทุกคนต่างก็เป็พ่อแม่ ลูกเป็ชิ้นเนื้อที่เกิดจากร่างกายเรา ข้ารักและเป็ห่วง ไหนเลยจะทนปล่อยให้พวกนางถูกทุบตีได้ หลายปีมานี้เพราะเชื่อฟังคำท่านแม่ ทำให้ลูกๆ ต้องระทมทุกข์มามากนัก ต่อให้ข้าต้องขึ้นศาล ก็จะขอพาลูกทั้งสามคนไปให้ได้ อย่างน้อยพวกนางก็ไม่ต้องทนใช้ชีวิตที่เปรียบเสมือนตายทั้งเป็”
ตายทั้งเป็!
ราวกับมีค้อนทุบศีรษะอย่างแรง ทันใดนั้นหลิวต้าฟู่ก็เหมือนกับถูกปลุกให้ตื่น
ไม่มีใครคาดคิดว่าจางกุ้ยฮัวผู้มีเมตตาต่อผู้อื่นเสมอจะกล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมากะทันหัน
“จางกุ้ยฮัว นางหมาพันธุ์ทางหน้าไม่อาย ข้าก็แค่อยากสั่งสอนนางเด็กที่ไม่เชื่อฟัง” หลิวฉีซื่อนั้นหวงแหนภาพลักษณ์ของตนยิ่งนัก ไม่มีทางยอมรับว่าตนเองทำไม่ดีต่อครอบครัวของหลิวซานกุ้ย
“แม่ แม่ทำเช่นนี้กับลูกของข้า ข้าซึ่งเป็แม่ ก็ต้องนึกถึงอนาคตของลูกน้อย วันนี้เกิดเื่เช่นนี้ ต่อไปหากลูกน้อยของข้ายังใช้ชีวิตที่บ้านหลังนี้ เกรงว่า… เกรงว่า… จะเกิดเหตุการณ์คนผมขาวต้องส่งคนผมดำไปสู่์ก่อน”
เสียงร้องไห้ของนางโศกเศร้าจับใจ เมื่อเห็นท่าทีไร้เยื่อใยของหลิวฉีซื่อ หัวใจของนางก็ยิ่งเหมือนถูกคนขุดแหว่งออกไปหนึ่งชิ้น เ็ปจนแขนขาชา แทบอยากจะเอาชีวิตเข้าแลกสักครา นางกัดฟันทนดูบุตรสาวที่เติบโตเป็สาวขึ้นทุกวัน ยอมทิ้งศักดิ์ศรีไว้แล้วคุกเข่าอยู่ในที่แห่งนั้น และส่งเสียงร้องไห้อย่างเ็ป
นางยอมทนแบกรับการตีตราว่าเป็ลูกสะใภ้เนรคุณไปตลอดชีวิต ก็จะฉีกหน้ากากที่โเี้ของหลิวฉีซื่อออกมาให้จงได้
ขณะที่นางร้องไห้ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ก็มีมือน้อยๆ ข้างกายเข้ามาโอบกอด “แม่!”
-----