แม้ซูจื้อหงจะพูดจานอบน้อม แต่เมื่อการเจรจาทางธุรกิจได้เริ่มต้นขึ้น มันจะกลายเป็าขนาดย่อมทันที ซูจื้อหงมีความเชี่ยวชาญในการต่อกรกับผู้หญิงอย่างหลินรั่วซีผู้ทรงเสน่ห์เป็อย่างดี แน่นอนว่าทั้งคู่ต่างก็เป็นักธุรกิจและต่างรู้วิธีโน้มน้าวฝ่ายตรงข้าม
เมื่อการสนทนาเริ่มต้นขึ้น วาจาของหลินรั่วซีเริ่มดุเดือดเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่อาจจะไม่ดี แต่ถ้าเป็เื่ของธุรกิจล่ะก็ เธอจะไม่ยอมเสียเปรียบเป็อันขาด
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป หยางเฉินนั่งอยู่ว่างๆ ด้วยความเบื่อหน่าย เขาไม่สามารถแทรกการสนทนาได้เลย ทำได้มากสุดแค่จ้องมองอย่างอื่นภายในห้อง เช่น เหมาฉิว
เห็นได้ชัดว่าเหมาฉิวสนใจในตัวหยางเฉิน และพยายามยั่วยุหยางเฉินด้วยสายตาตลอดเวลา
ด้วยการถูกปฏิบัติอย่างเศษฝุ่นและการดูถูกด้วยสายตาอย่างต่อเนื่อง อารมณ์ของหยางเฉินในตอนนี้ก็เปลี่ยนเป็ไม่ดีนัก แม้หยางเฉินจะรับรู้ถึงความแข็งแกร่งได้จากการปรายตามองเพียงครั้งเดียว และถึงแม้ว่าความสามารถของเหมาฉิวเทียบได้กับทหารรับจ้างกองกำลังพิเศษ ไม่ก็ครูฝึกนาวิกโยธิน แต่ในสายตาของหยางเฉินมันไม่ใช่นักสู้เสียด้วยซ้ำ มันก็แค่คนธรรมดาเท่านั้น
ขณะที่เหมาฉิวส่งสายตาน่ารังเกียจมายังหยางเฉินอย่างเมามันนั้น หยางเฉินแทบอยากลุกไปตบหน้ามัน แต่หลังจากคิดอยู่สักพัก ด้วยฐานะเขาตอนนี้มันไม่ฉลาดเลยที่จะสร้างปัญหา และยังต้องคำนึงถึงธุรกิจของภรรยาเขาอีกด้วย
เมื่อคิดเช่นนั้นแล้ว หยางเฉินล้วงมือหยิบโทรศัพท์ที่หลินรั่วซีมอบให้ พร้อมดาวน์โหลดเกม Puzzle Bobble และลงมือเล่นมันด้วยความมุ่งมั่นจริงจัง (Puzzle Bobble คล้ายๆ เกมยิงไข่ไดโนเสาร์)
"ค่ะ ฉันหวังว่าหัวหน้าซูจะทำตามสัญญา งานออทั่มแฟชั่นโชว์ปีนี้ ทั้งเวทีของบริษัทคุณและชุดของบริษัทเรา ฉันมั่นใจเป็อย่างมากว่าจะได้กลุ่มลูกค้ามากมายทีเดียว" หลินรั่วซีพูดขึ้นในที่สุดพร้อมลงนามในสัญญา และเนื่องจากการโต้เถียงอันเข้มข้นที่เพิ่งผ่านไป ความงามของเธอก็ปรากฏให้เห็นในขณะที่กำลังเซ็นสัญญา
ซูจื้อหงนิ่งค้างไปทันทีเมื่อเห็นภาพงดงามดังกล่าว ก่อนพยักหน้ากล่าวว่า
"แน่นอนครับ ผมหวังว่าความร่วมมือของเราจะเป็ไปอย่างราบรื่น"
กว่าทั้งสองจะพูดคุยทำสัญญากันเสร็จสิ้น เวลาก็ล่วงเลยจนถึงหนึ่งทุ่ม
"ผมคิดว่าคุณคงหิวแล้วใช่ไหมรั่วซี"
หลินรั่วซีรู้สึกหิวขึ้นมาจริงๆ เหมือนเช่นหญิงสาวคนอื่นที่้ารักษาหุ่นที่สวยงามสมส่วน เธอแค่ทานแซนด์วิชชิ้นน้อยๆ ในตอนกลางวัน และทำงานเรื่อยมาจนกระทั่งตอนนี้ เธอพยักหน้าพร้อมเสียงครวญครางในกระเพาะ
ซูจื้อหงตบมือเบาๆ เป็สัญญาณ บริกรหน้าประตูเริ่มจัดเตรียมอาหารมือเป็ระวิง
อาหารมื้อนี้เป็อาหารสไตล์ตะวันตก ขณะที่อาหารกำลังลำเลียงขึ้นโต๊ะ หลินรั่วซีชำเลืองมองหยางเฉินด้วยความกังวล
"พี่ชายท่านนี้ชื่ออะไรเหรอครับ" ซูจื้อหงถามหยางเฉินด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ
"แซ่หยาง นามเฉิน" หยางเฉินหาวพลางกล่าวตอบ เขาทั้งหิวทั้งง่วง
"ถึงแม้ว่านี่จะเป็ครั้งแรกที่เราพบกัน ผมเองไม่ได้เตรียมของขวัญอะไรไว้เลย แต่ผมมีไวน์เนบบิโอโล่ปี 1992 มาให้คุณ ผมหวังว่าคุณจะชอบมันนะ" ว่าจบเขาก็โบกมือเรียกบริกรให้นำขวดไวน์แดงสีสวยมา
หยางเฉินหัวเราะในใจ จากนั้นใช้สามนิ้วยกแก้วขึ้นอนุญาตให้บริกรเสิร์ฟไวน์ บริกรเทไวน์ให้เล็กน้อยแล้วหยุด
หยางเฉินหมุนแก้วเบาๆ ให้กลิ่นหอมหวานของไวน์แตะจมูกจากนั้นเอียงแก้วจรดริมฝีปาก ค่อยๆ จิบไวน์ช้าๆ
เมื่อเห็นการกระทำดังกล่าวหลินรั่วซีค่อยๆ ผ่อนคลายลง เธอจำได้ว่าอันธพาลผู้นี้เติบโตมาในอเมริกา เขาคงได้ััวัฒนธรรมดั้งเดิมทางตะวันตกมาก่อน เธอได้แต่หวังว่าหยางเฉินจะไม่พูดมากจนทำให้เธออับอาย
ประกายตาของซูจื้อหงปรากฏเค้าลางความเครียด ก่อนยิ้มถามว่า "เป็อย่างไรบ้างครับคุณหยาง?"
"วัตถุดิบหลักของเนบบิโอโล่ ส่วนใหญ่มาจากอิตาลีภูมิภาค Barolo และ Barbaresco ถ้าวัตถุดิบเป็ของชั้นยอดล่ะก็ มันสามารถเทียบเคียงได้กับ มาร์โกบอร์โดซ์ ยอดไวน์แดงจากฝรั่งเศส แต่ไวน์ขวดนี้ให้รสชาติ พริกไทย แอปริคอท พลัมแห้งและดอกกุหลาบ ที่สำคัญมันมีช็อกโกแลตขมซึ่งให้รสเปรี้ยว" หยางเฉินตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย เหมือนตนเองเป็คนบ่มไวน์ขวดนี้มากับมือ
ฟังหยางเฉินพล่ามจบ ซูจื้อหงรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย ถึงแม้ว่าไวน์ชนิดนี้ค่อนข้างจะธรรมดา แต่เขาเองก็ไม่สามารถอธิบายได้ละเอียดเช่นนี้ เขาไม่เชื่อว่าหยางเฉินจะพูดจาส่งเดชเป็อันขาด เพราะท่าทีที่เขาแสดงออกนั้นดั่งเช่นผู้สูงศักดิ์ผู้อยู่ในสังคมชั้นสูง
"พอแล้วล่ะครับ ดูเหมือนว่าคุณหยางจะไม่ธรรมดา ไม่แปลกใจเลยที่รั่วซีจะพาคุณมาด้วย" ซูจื้อหงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มไม่พิมพ์ใจ
"นิดหน่อยๆ" หยางเฉินไม่มีความสนใจในตัวชายเ้าเล่ห์คนนี้เลยแม้แต่น้อย เขากล่าวตรงไปตรงมาว่า "โดยไม่มีเล่ห์กลใดๆ คุณอยากรู้ใช่หรือไม่ว่าผมกลายเป็สามีของรั่วซีน้อยได้อย่างไร ใช่ไหม? ภรรยาที่รัก" หยางเฉินพูดพร้อมหันหน้าไปทางหลินรั่วซี
ได้ยินดังนั้นแก้มของหลินรั่วซีพลันแดงก่ำ แม้ว่าเธอจะรู้อยู่แล้วว่าหยางเฉินพูดแบบนั้นเพราะ้าขัดขวางซูจื้อหง แต่การถูกเรียก 'ภรรยา' ในสถานการณ์เช่นนี้ เธอเองก็แทบต้านทานไม่ไหว เสียงหัวใจเต้น 'ตึกตัก' อย่างแรงจนแทบจะออกมาข้างนอก ทำให้เธอได้เพียงแค่พยักหน้าตอบน้อยๆ และยกน้ำดื่มแก้เขิน
ซูจื้อหงไม่อยากจะเชื่อว่าคนขายแพะย่างคนนี้เมินเขาแล้วไปพูดคุยกับหลินรั่วซี มือของเขากำแก้วไวน์แน่น แม้จะไม่เห็นเส้นเืขึ้นมาตามท่อนแขน แต่อารมณ์ของเขาในขณะนี้ร้อนระอุไปด้วยความโกรธ เขาฝืนยิ้มอย่างยากลำบากกล่าวว่า
"นึกไม่ถึงว่าคุณทั้งสองจะผูกพันกันลึกซึ้งขนาดนี้ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ เสียมารยาทแล้ว"
"ไม่เลย" หยางเฉินยิ้มกว้าง
"ผมรู้ดีว่าด้วยสถานะของผม การแต่งงานกับรั่วซีนั้นเปรียบดั่งบุปผาท่ามกลางขี้วัว แต่หัวหน้าซูไม่ต้องกังวลไป ผมไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยอยู่แล้ว”
“อันที่จริงผมรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ด้วยเงินในกระเป๋าสตางค์อันน้อยนิดของผมคงไม่สามารถพาภรรยามาทานอาหารหรูๆ พวกนี้ได้ ผมไม่คิดว่าหัวหน้าซูจะชวนพวกเรามา คุณช่างเป็คนใจกว้างจริงๆ" หยางเฉินพูดเป็นัยว่า 'เขาเป็แค่กระเป๋าสตางค์โง่ๆ'
ซูจื้อหงพยายามข่มความโกรธเอาไว้อย่างเหนียวแน่น เขาเม้มริมฝีปากพร้อมยกไวน์ดื่ม ในที่สุดเขายิ้มแล้วกล่าวว่า
"คุณหยางนี่ชอบล้อเล่นซะจริงๆ เอาล่ะเรามาเริ่มทานอาหารกันเถอะ"
"เยี่ยม นำอาหารออกมาเลย" หยางเฉินพูดขึ้นเหมือนไม่สังเกตเห็นอารมณ์โกรธของซูจื้อหงในสายตา เขายกมือให้บริกรเสิร์ฟอาหารแล้วเริ่มรับประทานอย่างรวดเร็ว
หลังจากได้ฟังคำพูดของซูจื้อหงที่พยายามข่มอารมณ์อย่างเต็มที่ หลินรั่วซีเริ่มวิตกกังวล แต่เมื่อเห็นหยางเฉินจ้องมองอาหารเหมือนคนอดอยาก เธอเริ่มรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
ชายผู้นี้เป็บุคคลที่ไม่อาจคาดเดาได้ เขาแสดงออกถึงความเชี่ยวชาญอย่างมากในการลิ้มรสอาหารสไตล์ตะวันตก รวมไปถึงมารยาทในการรับประทานอาหารก็ดีเยี่ยมแม้แต่เธอยังแปลกใจ แต่เขากลับเลือกที่จะกินอย่างตะกละตะกลาม เขาเป็คนที่ไม่สามารถหยั่งถึงจริงๆ
ดูเหมือนว่าความกังวลของหลินรั่วซีจะหายไปในอากาศอย่างรวดเร็ว ใครจะสนเขากัน? ในเมื่อเื่กลายเป็แบบนี้ไปแล้ว เธอก็ได้เพียงก้าวเดินต่อไป หลังจากคิดได้เช่นนั้น หลินรั่วซีก็เริ่มลงมือจัดการอาหารตรงหน้าอย่างรวดเร็ว