หนิงมู่ฉือได้ยินประโยคนี้ ใบหน้าฉายแววกระอักกระอ่วน สายตาเหลือบมองไปยังท่านอ๋อง ก่อนที่สีหน้าจะขึ้นสีแดงก่ำ ทว่าที่คาดไม่ถึงคือท่านอ๋องจะทำเพียงมองนางพร้อมกับยิ้มอย่างขบขัน
“เอาละ พวกเราออกเดินทางกันเถิด” ท่านอ๋องลูบเคราของตัวเองพร้อมกับส่งยิ้มให้หนิงมู่ฉือ
หนิงมู่ฉือพยักหน้า นางขึ้นไปนั่งบนรถม้า ใจเต้นรัวไปตลอดทางที่รถม้าวิ่งไปยังวังหลวง นางเปิดผ้าม่านออกดู เห็นหลินมู่เดินตามรถม้าอยู่ด้านหลัง ฉับพลันนั้นนางรู้สึกใไม่น้อย
นางรีบปิดผ้าม่านลงโดยเร็วพร้อมกับขมวดคิ้ว จ้าวซีเหอเห็นท่าทางของนางจึงหัวเราะพร้อมกับเอ่ยถาม “เกิดอันใดขึ้น เหตุใดจึงมีท่าทางเช่นนั้น”
หนิงมู่ฉือก้มหน้า ส่ายหน้าอย่างแรง ไม่ได้กล่าวตอบอันใด
ขณะที่ขบวนรถม้าอันยิ่งใหญ่ของตำหนังอ๋องวิ่งเข้าไปในวังหลวง ในใจหนิงมู่ฉือเต้นรัวแรงอยู่ตลอดเวลาลงจากรถม้า หนิงมู่ฉืออาศัยจังหวะที่จ้าวซีเหอและท่านอ๋องไม่ทันสังเกต เดินตรงไปหาหลินมู่อย่างเงียบๆ เอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่พอใจ “เ้ามาที่วังด้วยเหตุใด”
หลินมู่สบตานางด้วยสีหน้าสงบนิ่งครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มพลางส่ายหน้า “คุณหนูใหญ่ ท่านวางใจเถิด ท่านอ๋องสั่งให้ข้าน้อยมาเป็ผู้ช่วยท่านเท่านั้น ข้าน้อยหาได้มีแผนใดไม่”
ใบหน้าหลินมู่ที่เดิมประดับไปด้วยรอยยิ้ม ทันใดนั้นแปรเปลี่ยนเป็ลึกล้ำอย่างมีนัยแอบแฝง ทันใดนั้นนางได้ยินเสียงจ้าวซีเหอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเจือแววหยอกล้อ “เ้าไปทำอันใดตรงนั้น”
ใจหนิงมู่ฉือกระหน่ำเต้นอย่างรุนแรง รีบหันไปหาจ้าวซีเหอด้วยใบหน้าแดงเล็กน้อย มือจับเสื้อผ้าอย่างไม่เป็ธรรมชาติ “ข้าแค่มาปรึกษากับผู้ช่วยนิดหน่อยเท่านั้น” นางหัวเราะแก้เก้อ
จ้าวซีเหอมองทะลุปรุโปร่งถึงการกระทำที่ไม่เป็ธรรมชาติเล็กๆ น้อยๆ ของหนิงมู่ฉือ เมื่อขันทีขานบอก เขากล่าวพร้อมกับยิ้ม “การแข่งขันจะเริ่มขึ้นแล้ว ไปเตรียมตัวเถิด”
หนิงมู่ฉือเดินตามหลังจ้าวซีเหอไปอย่างเงียบๆ สายตาแลเห็นขุนนางไม่น้อยมองมายังนางอย่างพิจารณา ในใจจึงยิ่งเครียดมากขึ้นไปอีก
ตรงกลางสนามแข่งขันมีหม้อใบใหญ่ตั้งอยู่ ข้างใต้คือไฟที่กำลังลุกโชน ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินประทับอยู่บนพื้นยกระดับ สามารถเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน ที่ประทับอยู่ด้านข้างนอกจากสี่ราชชายาแล้ว ยังมีท่านอ๋องและจ้าวซีเหอที่นั่งอยู่ด้วย
องค์ชายเอ่อร๋ตั้นและองค์หญิงซีเยวี่ยประทับอยู่ด้านข้างอีกฝั่งหนึ่ง ใบหน้าไปด้วยรอยยิ้มลึกล้ำอยู่ตลอดเวลา ขณะมองลงมาจากพื้นยกระดับ
องค์หญิงซีเยวี่ยมองจ้าวซีเหอก่อนจะก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย องค์ชายเอ่อร์ตั้นกระซิบบางอย่างที่ข้างหู ทันใดนั้นสีหน้าขององค์หญิงพลันเปลี่ยนไปทันที
หนิงมู่ฉือที่ยืนอยู่ด้านหลังจ้าวซีเหอประหนึ่งกระต่ายที่ได้รับความใสุดขีดก็ไม่ปาน นางก้มหน้าอยู่ตลอดเวลา
ที่นางหวาดกลัวคือกลัวว่าพวกขุนนางจะเปิดเผยฐานะของนาง นางจึงไม่อยากทำตัวให้เป็จุดเด่น ทว่าการกระทำของจ้าวซีเหอกลับทำให้นางกลายเป็จุดสนใจยิ่งนัก
เสียงกลองดังขึ้นเป็สัญญาณบ่งบอกว่าการแข่งขันได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็ทางการแล้ว
พ่อครัวจากต่างแคว้นสวมเสื้อผ้าแบบชาวต่างแคว้นขึ้นไปยืนบนเวที พ่อครัวผู้นี้มีเคราขึ้นเต็มใบหน้า สายตาคมจ้องมองคนด้านล่างเวที ใบหน้าและใบหูที่ใหญ่โตทำให้ผู้คนเกิดความกดดันอันไร้รูป พ่อครัวคำนับทุกคนจากบนเวที
ขันทีผู้หนึ่งยืนตัวสั่นอยู่บนเวทีการแข่งขัน ลำพังแค่กลิ่นอายก็พ่ายแพ้พ่อครัวจากต่างแคว้นไปครึ่งหนึ่งแล้ว ทุกคนเห็นอดที่จะปวดศีรษะและถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือกไม่ได้
เสียงขันทีที่รับผิดชอบการแข่งขันประกาศว่า “การแข่งขันรอบแรกในวันนี้จะแข่งเลาะกระดูกออกจากเนื้อวัว โดยที่เนื้อจะต้องยังคงสภาพสมบูรณ์”
ทุกคนได้ยินดังนั้นสูดหายใจด้วยความหนาวเหน็บ ดูท่าฮ่องเต้จะทรงเอาจริงเอาจังกับการแข่งขันในครานี้เป็อย่างยิ่ง
องค์ชายเอ่อร์ตั้นมองพ่อครัวจากแคว้นตัวเองด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย
ขันทีสามสี่คนกัดฟันช่วยกันยกวัวสองตัวขึ้นไปวางไว้ตรงกลางเวทีการแข่งขัน วัวยังคงมีลมหายใจ มันพยายามดิ้นอย่างสุดแรงเพื่อเอาชีวิตรอด
หนิงมู่ฉือมองตรงกลางเวทีอย่างตกตะลึง คาดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินจะทรงเอาจริงเอาจังถึงเพียงนี้
พ่อครัวจากต่างแคว้นเดินไปที่วัวตัวหนึ่ง ใช้เท้าถีบวัวตัวนั้นไปยังฝั่งของตัวเอง ในขณะที่ขันทีน้อยจากที่ราบภาคกลางต้องลงแรงมากมายเพื่อลากวัวอีกตัวไปยังฝั่งของตัวเอง
เสียงฆ้องดังขึ้นเป็สัญญาณเริ่มการแข่งขัน เวลาคือสองก้านธูป ผู้ใดเลาะกระดูกออกจากเนื้อได้ก่อน โดยที่เนื้อมีสภาพสวยงามและสมบูรณ์ที่สุด ผู้นั้นจะเป็ฝ่ายชนะ
พ่อครัวต่างแคว้นหยิบมีดขึ้นมาเชือดคอหอยวัวโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง วัวร้องอย่างเ็ป ดิ้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสิ้นลมหายใจ
ทุกคนตาโตมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างใ สตรีอ่อนแอบางคนถึงขั้นต้องหลับตาทนมองต่อไปไม่ไหว เืวัวกระเซ็นเปื้อนชุดของพ่อครัวต่างแคว้นเต็มไปหมด หากพ่อครัวต่างแคว้นผู้นี้ไม่มีทีท่าว่าจะใแต่อย่างใด หยิบมีดขึ้นมาควงกลางอากาศ แล้วค่อยๆ เลาะกระดูกออก หนิงมู่ฉือมองขึ้นไปบนเวที ส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มออกมา
อีกฝั่งหนึ่ง ขันทีน้อยจัดการอย่างอ่อนโยนกว่ามาก หลังจากปาดคอวัวก็ค่อยๆ ลอกหนังออกโดยเริ่มจากที่เท้า จากนั้นถึงเริ่มเลาะกระดูก
ขันทีน้อยมองพ่อครัวต่างแคว้นด้วยสายตาร้อนรน ก่อนจะเร่งมือขึ้นอีก
เพียงแค่หนึ่งก้านธูป พ่อครัวต่างแคว้นก็ลุกขึ้นยืน แล้วชูมือของตัวเองขึ้นเป็การบอกว่าทำเสร็จแล้ว ขันทีที่ยืนอยู่ด้านข้างรีบวิ่งเข้าไปตรวจสอบ มองสภาพของเนื้อวัวก่อนจะส่ายหน้า ท่าทางเช่นนี้ทำให้องค์ชายเอ่อร์ตั้นรู้สึกไม่พอพระทัยยิ่ง
องค์ชายเอ่อร์ตั้นะโถาม “เนื้อวัวมันเป็อันใด!”
ขันทีน้อยคุกเข่ากล่าวตอบ “ทูลฝ่าา ทูลองค์ชาย แม้พ่อครัวผู้นี้จะเลาะกระดูกออกได้สำเร็จก่อน หากเนื้อที่ได้ไม่สวยงามและไม่สมบูรณ์เท่าใดนักพ่ะย่ะค่ะ”
เวลาสองก้านธูปผ่านไป ขันทีน้อยเลาะกระดูกเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลุกขึ้นยืนมองผลงานอย่างภูมิใจยิ่งนัก แม้วัวตัวนี้จะตายไปแล้ว ทว่ามันยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ประหนึ่งยังคงมีชีวิตอยู่ก็ไม่ปาน
ฮ่องเต้เ้าเจี้ยมองขันทีน้อยพร้อมกับพยักหน้าอย่างพึงพอใจ รอบนี้ไม่อาจตัดสินได้ว่าผู้ใดเป็ฝ่ายชนะ คนหนึ่งเป็ต่อเื่เวลา อีกคนเป็ต่อเื่คุณภาพ
ขันทีผู้รับผิดชอบใช้เสียงเล็กแหลมของตนเองประกาศผลการแข่งขัน “รอบนี้เสมอกัน”
“การแข่งขันรอบที่สอง คือหันหัวไชเท้าให้เป็แว่นและซอยมันฝรั่งเป็เส้นเล็กๆ ผู้ใดหันได้บางที่สุดและซอยได้เล็กที่สุดจะเป็ฝ่ายชนะ!”
แขกต่างแคว้นเปลี่ยนจากพ่อครัวเป็แม่ครัว แม่ครัวผู้นี้มีผิวคล้ำดำ ดูแล้วเก่งกาจไม่เบา
พ่อครัวจากที่ราบภาคกลางสวมชุดสีขาวผู้หนึ่งเดินขึ้นไปตรงกลางเวที โปรยยิ้มให้แก่ทุกคน
พ่อครัวและแม่ครัวทั้งสองมองหัวไชเท้าและมันฝรั่งซึ่งอยู่บนเขียงด้วยรอยยิ้ม ต่างคนต่างมีแผนในใจ เสียงฆ้องดังขึ้น การแข่งขันเริ่มต้นขึ้นแล้ว
แม่ครัวใช้มีดกลิ้งหัวไชเท้าและมันฝรั่งสองครั้งก่อนจะปอกเปลือกพวกมัน จากนั้นเริ่มหันและเริ่มซอยอย่างรวดเร็ว จนผู้คนมองตามแทบไม่ทัน
ฝ่ายพ่อครัวจากที่ราบภาคกลางหันและซอยด้วยจังหวะไม่ช้าและไม่เร็วมาก ความเร็วพอๆ กับแม่ครัวต่างแคว้น หากสุดท้ายก็ไม่ทันแม่ครัวต่างแคว้นอยู่ดี แม่ครัวต่างแคว้นชูมือขึ้นเป็การบอกว่าเสร็จแล้ว
ขันทีเดินไปตรวจดู พบว่าหัวไชเท้าถูกหั่นเป็แว่นบางประหนึ่งปีกของแมลง ส่วนมันฝรั่งที่ถูกซอย เมื่อนำไปแช่น้ำก็อ่อนนุ่มจนทำเป็รูปดอกไม้ได้เลยทีเดียว