ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินเห็นองค์ชายเอ่อร์ตั้นยิ้มแหยด้วยความอิ่ม แววตาล้ำลึกซ้อนความนัยพลางเอ่ย “ดูท่าองค์ชายจะชื่นชอบอาหารจากฝีมือห้องเครื่องของเรามาก เราเห็นองค์ชายพาพ่อครัวจากแคว้นมาด้วย พรุ่งนี้เป็วันดี สู้ให้คนครัวของพวกเราทั้งสองประลองฝีมือกันหน่อยดีกว่า”
องค์ชายเอ่อร์ตั้นได้ฟังเหลือบมองพ่อครัวที่พามาด้วย พ่อครัวรีบก้มหน้าโดยพลัน ด้วยแววตาขององค์ชายเอ่อร์ตั้นน่ากลัวเหลือเกิน
องค์ชายเอ่อร์ตั้นมองขุนนางราชสำนักทั้งหลายที่มองมายังตนด้วยรอยยิ้ม จึงยิ้มพร้อมกับตอบ “ในเมื่อฝ่าามีพระดำริเช่นนี้ เช่นนั้นกระหม่อมก็จะเชื่อฟัง”
ฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็สีดำ น้ำค้างหยดลงบนอาภรณ์ของทุกคน งานเลี้ยงที่ครึกครื้นจบลงในที่สุด ทุกคนดื่มจนเมามายและทานจนอิ่มหนำ
หนิงมู่ฉือมองบรรดาขันทีค่อยๆ ออกจากห้องเครื่องไปทีละคนสองคน นางซึ่งนั่งอยู่ข้างเตาจึงลุกขึ้นยืน มองออกไปนอกหน้าต่าง ซ้ายทีขวาที
ขันทีผู้หนึ่งในชุดขันทีตัดเย็บอย่างดีถีบประตูห้องเครื่องเข้ามา นางมีท่าทีระแวดระวังตัวขึ้นมาทันใด แววตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
ขันทีส่งยิ้มน่ากลัวให้นาง ไม่ว่าผู้ใดได้เห็นอดที่จะขนลุกไม่ได้ นางฟังเสียงเล็กแหลมของขันทีผู้นั้นหัวเราะ นางะโถามออกไป “เ้าเป็ใคร! ที่นี่คือห้องเครื่อง เ้าจะทำอันใด!”
หน้าขันทีเปลี่ยนสี ถ่มน้ำลายลงพื้นอย่างดูแคลน ก้าวเข้ามาหานางอย่างช้าๆ “พวกเราต่างหากถึงจะคือผู้ดูแลห้องเครื่องที่แท้จริง เ้าแค่มาช่วยแค่ประเดี๋ยวประด๋าว คิดว่าตัวเองกลายเป็คนคุมห้องเครื่องจริงๆ ไปแล้วหรืออย่างไร!”
หนิงมู่ฉือคิดได้ว่า ขันทีไม่ใช่คนที่จะต่อกรด้วยง่ายๆ ใบหน้ารีบเปลี่ยนเป็แย้มยิ้ม “ที่แท้ก็หัวหน้าขันทีนี่เอง ระหว่างงานเลี้ยงข้าไม่เห็นท่านกงกง เป็ฉือเอ๋อร์ที่ตาไม่มีแววเอง”
ขันทีผู้นี้ได้ฟังก็ยิ้มออกมา สีหน้าภาคภูมิใจนักหนา “พวกข้าถูกฝ่าาเรียกตัวให้ไปขานชื่ออาหาร ฝ่าาทรงประเมินเ้าได้ถูกต้องจริงๆ อาหารที่เ้าทำ แขกจากต่างแคว้นล้วนชื่นชอบกันมาก”
หนิงมู่ฉือได้ยินดังนั้นเหมือนยกก้อนหินออกจากอก หัวหน้าขันทีมองนางอย่างถือดี “เ้าอย่าเพิ่งดีใจเร็วเกินไปนัก พรุ่งนี้ฝ่าาจะทรงจัดการแข่งขันระหว่างคนครัวของเรากับของต่างแคว้น พอถึงตอนนั้นเ้าต้องมาเป็ตัวสำรอง อย่าแพ้จนอนาถเกินไปนักเล่า”
หนิงมู่ฉือส่งยิ้มให้หัวหน้าขันที เมื่อเห็นว่าหมดเื่ของตัวเองแล้วก็กล่าวลา ก่อนจะพาใจโหว่งๆ เดินไปตามทางผู้เดียว เมื่อคิดถึงเื่ที่เกิดขึ้นตอนนางเข้าวังก่อนหน้านี้ ก็อดหวั่นใจไม่ได้ ฝีเท้าก็เพิ่มความเร็วขึ้นอีก
ครั้นไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวใดๆ ด้านหลัง นางผ่อนฝีเท้าให้ช้าลง ใช้มือลูบอกตัวเองเป็การปลอบโยน แหงนหน้ามองดวงดาวบนฟากฟ้าด้วยแววตาใสกระจ่างดั่งสายน้ำในฤดูใบไม้ผลิ
จ้าวซีเหอในชุดอาภรณ์ชาววังสีขาว แววตาเจิดจ้าท่ามกลางรัตติกาลอันมืดมิด ด้วยห่วงความปลอดภัยของหนิงมู่ฉือ เขาจึงออกมาตามหานาง
จึงมาเห็นภาพนี้เข้าพอดี สตรีนางหนึ่งในชุดสีฟ้าน้ำทะเลกำลังแหงนหน้ามองดวงดาวระยิบระยับบนท้องฟ้า แววตาใสกระจ่างประหนึ่งแม่น้ำที่กำลังไหลเอื้อยจ้องมองเหล่าดาราตาไม่กระพริบ ขณะที่เท้าเดินไปครั้งหน้าอย่างช้าๆ เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “วันนี้ดาวสวยเสียจริง”
เขายิ้มกับท่าทางของนางพลางยืนนิ่งอยู่กับที่ รอให้นางเดินเข้ามาหา นางชนเข้ากับเขาจริงๆ ด้วย
หนิงมู่ฉือเดินชนกำแพงสีขาวกะทันหัน เมื่อเงยหน้าที่มีแต่ความงุนงงขึ้น พบว่าเป็จ้าวซีเหอที่กำลังมองมาที่นางด้วยรอยยิ้ม นางใรีบก้าวถอยหลังไปสองก้าวในทันใด น้ำเสียงที่กล่าวออกมาดูใอย่างเห็นได้ชัด “เหตุใดซื่อจื่อถึงมาอยู่ที่นี่เ้าคะ ทำข้าใหมด!”
จ้าวซีเหอเดินตรงไปข้างหน้า เพื่อให้ระยะห่างระหว่างตัวเองกับหนิงมู่ฉือใกล้กันเช่นเดิม “หนิงมู่ฉือ ข้าพบว่าเวลาที่เ้าเจอข้าทีไรมักจะมีท่าทีตกตะลึงทุกครา ท่านพ่อให้ข้ามาตามหาเ้า เพราะเป็ห่วงความปลอดภัยของเ้า” จ้าวซีเหอโกหกออกไป
หนิงมู่ฉือรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก พยักหน้ารับรู้ “เมื่อครู่ท่านหัวหน้ากงกงบอกกับข้าว่า งานเลี้ยงในวันนี้ประสบผลสำเร็จอย่างงดงาม”
จ้าวซีเหอปัดเศษฝุ่นที่ติดอยู่ตามเสื้อผ้าพลางเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “หนิงมู่ฉือ เ้ามีฝีมือการทำอาหารเป็เลิศ เพียงแต่สมองไม่ค่อยจะมีไหวพริบเท่าไหร่”
หนิงมู่ฉือกลอกตาหนึ่งที ก่อนจะเอ่ยเปลี่ยนเื่ด้วยน้ำเสียงกังวล “ท่านหัวหน้ากงกงยังบอกข้าอีกว่า พรุ่งนี้ฝ่าาจะทรงจัดการแข่งขันระหว่างคนครัวของวังหลวงกับของต่างแคว้น ข้าถูกจัดให้เป็ตัวสำรอง”
จ้าวซีเหอได้ฟังก็รู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง สีหน้าเปลี่ยนเป็โทโส “ตัวสำรอง! ดูถูกแม่ครัวของตำหนักอ๋องเช่นนี้เชียวหรือ ถือสิทธิ์ใดให้เ้าเป็ตัวสำรอง!”
หนิงมู่ฉือกลัวว่าผู้อื่นจะมาได้ยินแล้วพวกนางจะเดือดร้อน จึงส่งสายตาเตือนให้จ้าวซีเหอพร้อมกับสะกิดแขนเสื้อเขา
จ้าวซีเหอรีบหุบปากฉับ ส่งยิ้มเ้าชู้ให้หนิงมู่ฉือ “นี่ก็ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ยังต้องเข้าวังอีก เช่นนั้นพวกเราควรรีบกลับตำหนัก ตามข้ามาเถิด คนสวย”
หนิงมู่ฉือพยักหน้าแล้วเดินตามหลังจ้าวซีเหอไปอย่างเงียบๆ
จ้าวซีเหอเห็นท่าทางของหนิงมู่ฉือก็รู้สึกปวดใจยิ่ง เขายิ้มอ่อน ยื่นมือไปจับมือนาง
หนิงมู่ฉือเห็นจ้าวซีเหอยื่นมือมาจะมาจับมือตนพลันเอี้ยวตัวหลบ จ้าวซีเหอราวกับเพิ่งจะรู้ตัวว่าเมื่อครู่ทำสิ่งใดลงไป ในใจตกตะลึงยิ่ง ยกมือลูบจมูกอย่างประดักประเดิด หัวเราะแหะๆ ก่อนจะเอ่ยว่า “มือมันไปเองเวลาได้เจอคนงาม เ้าอย่าได้คิดเชียวนะว่าซื่อจื่ออย่างข้าจะมีความคิดไม่ดีต่อเ้า”
จ้าวซีเหอก็เป็คนเช่นนี้ ยิ่งเป็คนที่ชอบยิ่งไม่อาจเอ่ยปากออกไปได้โดยง่าย
หนิงมู่ฉือมองจ้าวซีเหออย่างกระอักกระอ่วน ก้มหน้าไม่กล้าสบตา ทว่าในใจค่อยๆ เริ่มรู้สึกดีกับจ้าวซีเหอมากขึ้น
นับั้แ่สกุลของนางถูกฆ่าล้างสกุล นางมิเคยได้ัักับความอบอุ่นอ่อนโยนอีกเลย ทว่าตอนนี้ท่านอ๋องและจ้าวซีเหอได้มอบความรู้สึกอบอุ่นให้แก่นาง
เวลานี้นางเห็นจ้าวซีเหอเป็ดั่งญาติของนาง ชีวิตส่วนหนึ่งของนางเป็เขาที่มอบให้ ตอนที่อยู่ในทะเลเพลิง นางนึกอยากจะตายให้รู้แล้วรู้รอดไป
นางลอบสูดกลิ่นดอกบัวที่โชยมาจากตัวเขา ขณะที่มุมปากยกขึ้นเป็รอยยิ้ม
รุ่งอรุณมักจะมาไวโดยไม่คาดคิด เสียงนกข้างนอกหน้าต่างส่งเสียงร้องเจื่อยแจ้วประหนึ่งอยู่ในห้วงฝัน
หนิงมู่ฉือพลิกตัวไปมาบนเตียง ขมวดคิ้วก่อนจะลืมตาขึ้น นางรีบลุกขึ้นมาล้างหน้าหวีผมแต่งตัว เมื่อออกจากห้อง แลเห็นจ้าวซีเหอและท่านอ๋องมายืนรอนางอยู่นานแล้ว นางรู้สึกเขินอายยิ่งนักจึงส่งยิ้มแหยให้แก่ท่านอ๋อง
จ้าวซีเหอเอ่ยว่าจาหยอกเย้า “หนิงมู่ฉือ ถ้าไม่มีการปลุกอย่างอ่อนโยนจากข้า เ้าจะไม่ตื่นเลยใช่หรือไม่”