โม่ฮว่าเหวินแค่นเสียงเย็น “โม่หลัน เ้าว่ามาซิ ถงเอ๋อร์เกิดอะไรขึ้น หรือว่าพวกเ้าไม่ได้ดูแลปรนนิบัติให้ดี นางจึงป่วยได้”
“บ่าวมิกล้า...” โม่หลันตอบเสียงอ่อย ไม่กล้าพูดเกินไปกว่านั้นแม้แต่คำเดียว แต่สายตากลับหยุดอยู่ที่อาภรณ์ของโม่เสวี่ยถงอยู่หลายคราอย่างพะว้าพะวง ปากเผยอขึ้นคล้ายอยากจะพูดอยู่สองสามครา แต่แล้วก็กัดริมฝีปากเงียบลงไป
เมื่อแลเห็นโม่หลันแสดงท่าทางเหมือน้าพูดบางอย่าง แต่กลับหุบปากลงด้วยสีหน้าหวาดกลัว และเห็นโม่เสวี่ยถงที่กำลังฝืนทนต่อความเ็ปอยู่จนสีหน้ายิ่งขาวซีด เปราะบางราวกับเกือบจะแหลกสลาย โม่ฮว่าเหวินก็บันดาลโทสะ สีหน้าดุดันร้องะโเสียงเข้ม “เด็กๆ มาลากตัวสาวใช้ต่ำช้าสองคนนี้ออกไป โบยให้หนักยี่สิบไม้”
ทันใดนั้นด้านหลังของเขาก็มีคนสองคนใบหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึกปรากฏตัวขึ้น ก้าวเข้ามาลากตัวโม่หลันและโม่อวี้
เมื่อเห็นว่าโม่ฮว่าเหวินเอาจริง โม่เสวี่ยถงก็ยื่นมือมากันไว้
“ช้าก่อน ท่านพ่อ ถงเอ๋อร์ไม่ได้เป็อันใดจริงๆ เ้าค่ะ ไม่เกี่ยวกับพวกนางสองคน” โม่เสวี่ยถงไม่อาจอยู่เฉยได้อีกต่อไป รีบเงยหน้าขึ้นกล่าวอย่างร้อนใจ
ยามนี้ทุกคนจึงพบว่าดวงหน้าเล็กจ้อยขาวกระจ่างของนางขาวซีดยิ่งกว่าหิมะ เหงื่อกาฬไหลท่วม เห็นได้ชัดว่าอดทนมาจนถึงขีดสุดแล้ว แต่แม้ว่าจะเป็เช่นนี้ ในดวงตาใสกระจ่างทั้งคู่ก็ยังแฝงแววรั้นอยู่หลายส่วน ขนตายาวงามงอนกระดกขึ้น ริมฝีปากเล็กเอิบอิ่มราวกับผลอิงเถาขบเม้มจนเห็นเืซิบๆ ใบหน้าเผยรอยยิ้มออกมาอย่างยากเย็น ดวงตาฉายแววกึ่งน้อยเนื้อต่ำใจ กึ่งยืนหยัดอดทน
“คุณหนูสามเป็อย่างไรบ้างเ้าคะ ร่างกายไม่สู้ดีไฉนจึงไม่บอกอี๋เหนียงให้รู้แจ้ง ให้คุณหนูใหญ่ต้อนรับแขกที่นี่แทนก็ได้เ้าค่ะ ตอนที่ตัดชุดก็มีทำเผื่อคุณหนูใหญ่ไว้ชุดหนึ่งพอดี อีกประเดี๋ยวให้คุณหนูใหญ่มาอยู่แทนที่คุณหนูสามก็พอแล้ว สาวใช้สองคนนี้ก็จริงๆ เลย คุณหนูของพวกเ้าป่วยขนาดนี้ ไฉนจึงยังไม่ประคองขึ้นมาอีก ยังจะให้หมอบกับพื้นเช่นนี้อยู่ได้ เป็สาวเป็นางหากร่างกายาเ็ขึ้นมาจะทำอย่างไร”
ฟางอี๋เหนียงที่เฝ้าดูอยู่ตลอดเวลาผลุนผลันเข้ามา ซ่อนแววตาอำมหิตไว้และแสร้งกล่าวด้วยความห่วงใย สั่งให้หญิงรับใช้าุโเข้ามาประคองโม่เสวี่ยถง คิดจะพานางออกไป
ไม่รู้ว่าสองวันนี้นางใช้เสน่ห์เล่ห์กลอันใด จึงปะเหลาะเอาใจโม่ฮว่าเหวินจนกลับมาคืนดีด้วยได้ คลื่นลมในเรือนหลีหวาจึงกลับมาสงบเงียบลง
ผู้ที่ฟางอี๋เหนียงพยายามผลักดันก็คือโม่เสวี่ยิ่ บุตรสาวที่มีความโดดเด่น อีกทั้งยังเป็ที่โปรดปรานของโม่ฮว่าเหวิน
หากโม่เสวี่ยิ่สามารถใช้สถานะบุตรภรรยาเอกคุกเข่ารับแขกที่หน้าประตู บุตรชายของตนเองก็จะสามารถเข้ามาในงานได้ ไม่ต้องถูกคนมองอย่างดูถูกว่าเป็เพียงบุตรอนุภรรยาอีก สถานะของบุตรธิดาก็จะสูงขึ้น นางผู้เป็มารดาย่อมเป็เหมือนน้ำขึ้นเรือจึงสูงตามได้ และหากโม่เสวี่ยถงร่างกายไม่พร้อมจึงต้องละทิ้งงานเซ่นไหว้บรรพชน ก็จะต้องตกเป็ที่ครหาของผู้คนไปจนวันตาย
ฟางอี๋เหนียงไม่กลัวว่าเื่เสื้อผ้าของโม่เสวี่ยถงจะถูกค้นพบ อาภรณ์ชุดนั้นไม่ดี ฝีเย็บหยาบกระด้างแล้วอย่างไร เดิมทีก็เป็ผ้าเนื้อหยาบอยู่แล้ว ยังจะขอให้เย็บประณีตอะไรได้ ถอดออกมาใครจะเห็นสายสนกลในที่ซ่อนอยู่ นางมั่นใจเป็อย่างยิ่งว่าไม่มีใครในที่นี้รู้จัก ‘เข็มไหม์’ อันแปลกพิสดารนี้แน่นอน
โม่เสวี่ยถงจะชี้ว่าเป็ความผิดของอนุภรรยาที่ไม่ได้เตรียมเสื้อแพรพรรณชั้นดีให้นางสวมในงานพิธีเซ่นไหว้บรรพชนได้หรือ! นี่เป็เหตุผลหลักที่ทำให้ฟางอี๋เหนียงกล้าลงมือกับโม่เสวี่ยถงอย่างไม่หวั่นเกรง สองวันนี้นางแค้นใจจนอยากให้โม่เสวี่ยถงตายไปเสียให้ได้ ความเกลียดชังถูกซ่อนอยู่ในเบื้องลึกของดวงตา แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว โม่เสวี่ยถงก็หมดโอกาสได้งานแต่งงานที่ดี ต่อไปนังแพศยาชั้นต่ำย่อมตกมาอยู่ในกำมือของตนเองได้โดยง่าย
“หยุดนะ!” เห็นหญิงรับใช้าุโสองคนยื่นมือเข้ามาหมายลากตัวนางไป สีหน้าของโม่เสวี่ยถงพลันเย็นเยียบ แผดเสียงกร้าว ดวงตาดำสนิทและนิ่งลึกไม่เห็นก้นบึ้ง เหลือบมองฟางอี๋เหนียงปราดหนึ่ง นำความรู้สึกหนาวเหน็บชวนขนลุกมาให้อีกฝ่าย จนต้องก้าวถอยออกไปโดยไม่รู้ตัว
“ท่านพ่อ ลูกไม่ได้ป่วยจริงๆ เ้าค่ะ” หญิงสาวหันไปหาโม่ฮว่าเหวินด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ยื่นมือไปรับผ้าเช็ดหน้ามาจากโม่อวี้ แล้วซับเหงื่อที่เกาะพราวบนใบหน้าอย่างงามสง่า ใบหน้าขาวซีดเผยรอยยิ้มพริ้มเพรา แต่กลับทำให้ใครบางคนรู้สึกตื่นตระหนกและพะว้าพะวง
“คุณหนูสามจะไม่ป่วยได้อย่างไร ดูสิ หน้าซีดถึงเพียงนี้ โปรดฟังคำอี๋เหนียงเข้าไปพักผ่อนก่อนเถิดเ้าค่ะ พี่หญิงใหญ่ของคุณหนูสุขภาพแข็งแรง ให้คุกเข่าที่นี่ก็เหมาะสมแล้ว เด็กสาวตัวเล็กนิดเดียว คุกเข่าเพียงชั่วครู่ก็เหมือนคุกเข่าทั้งวัน คุณหนูสามสุขภาพอ่อนแอมาั้แ่ไหนแต่ไร ไหนเลยจะทนรับได้”
ฟางอี๋เหนียงได้สติคืนมาก็รีบชิงกล่าวอย่างรวดเร็วต่อหน้าโม่ฮว่าเหวิน นางเป็คนเ้าแผนการ ยามนี้กลับถูกดวงตาคู่นั้นจ้องจนรู้สึกหวาดกลัวความผิด คิดแต่จะรีบนำตัวโม่เสวี่ยถงเข้าไปโดยเร็ว เพื่อมิให้เกิดปัญหาภายหลัง
กล่าวจบก็ขยิบตาส่งสัญญาณให้หญิงรับใช้าุโสองคนเข้าไปจัดการ พวกนางต่างเข้าไปจับมือโม่เสวี่ยถงคนละข้าง ทำทีเหมือนว่าช่วยประคับประคอง ปากก็กล่าวว่า “คุณหนูสาม ตามพวกบ่าวกลับไปพักผ่อนเถิดเ้าค่ะ”
นี่เป็การป่าวประกาศให้ทุกคนรู้ว่านางสุขภาพอ่อนแอ นายหญิงของครอบครัวขุนนางคนไหนบ้างจะยอมแต่งสตรีที่แม้แต่แค่คุกเข่าก็ยังไม่ไหวมาเป็สะใภ้ของตระกูล หากสุขภาพก็ยังไม่ผ่าน คงยากจะมีทายาทสืบสกุลได้
“ปล่อยนะ!” โม่เสวี่ยถงตวาดอย่างเหลืออด สะบัดมือออกจากหญิงรับใช้าุโสองคนนั้น
จากนั้นก็จับมือของโม่หลันประคองตัวไว้ แข็งใจหันไปคารวะฟางอี๋เหนียงอย่างนอบน้อม ดวงตาอ่อนโยนคู่นั้นราวกับถูกปกคลุมด้วยไอหมอกจางๆ ที่เผยความเ็ป อ่อนแอและเต็มไปด้วยความรู้สึกของคนที่ถูกข่มเหงรังแก
ฟางอี๋เหนียงต้องรีบถอยออกไปอย่างรวดเร็ว ต่อหน้าผู้คนมากมายเพียงนี้ นางจะกล้ารับการคารวะจากโม่เสวี่ยถงผู้เป็บุตรภรรยาเอกได้อย่างไร
“ขอบพระคุณอี๋เหนียงที่ใส่ใจเ้าค่ะ ข้าทำให้ลำบากแล้ว ไม่คิดว่าอี๋เหนียงจะดีกับข้าถึงเพียงนี้ ทั้งยังให้พี่หญิงใหญ่มาช่วยทำหน้าที่แทนอีก ว่าแต่ทางพี่หญิงใหญ่ก็มีอาภรณ์เช่นนี้ด้วยหรือ” โม่เสวี่ยถงพยายามระงับความเกลียดชังไว้ในใจ กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
โม่เสวี่ยถงเป็บุตรภรรยาเอก แต่กลับคารวะอนุภรรยาที่ไม่อาจเชิดหน้าชูตาคนหนึ่งอย่างเต็มพิธีการเช่นนี้ ย่อมไม่ถูกต้องตามธรรมเนียมในสายตาผู้คน แต่กลับทำให้ใครต่อใครมองออกว่าอนุภรรยาผู้นี้ดูมีอภิสิทธิเหนือกว่าอนุภรรยาคนอื่นๆ เกรงว่าคงมีอำนาจไม่เบาภายในเรือนชั้นใน จึงทำให้แม้แต่บุตรสาวภรรยาเอกยังต้องปฏิบัติตัวด้วยความอ่อนน้อมระมัดระวังเยี่ยงนี้ นี่ไม่ใช่นิมิตหมายที่ดีเลย
“นี่คืออนุภรรยาหรือว่านายหญิงกันแน่” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหยิ่งทะนงดังขึ้นชัดเจน แขกที่มาร่วมงานล้วนเป็คนสำคัญที่มีชื่อเสียง ผู้ที่เอ่ยวาจาออกมาเมื่อครู่ ก็หาใช่คนที่คิดอยากจะพูดก็พูด จึงเริ่มมีคนกล่าวไม่ไว้หน้าฟางอี๋เหนียงขึ้นมาบ้าง
“เป็เพียงอนุภรรยาคนหนึ่งแต่กลับเดินเข้ามาในห้องโถงอย่างออกนอกหน้า ทำตัวผิดประเพณีอย่างยิ่ง” บุรุษอีกคนชี้โทษกล่าวตำหนิ
ไป๋อี้เฮ่ายืนอยู่ด้านข้าง ส่วนลึกในดวงตาฉายแววขบขัน มองดูนางที่ยังคงหมอบนิ่งอยู่กับที่ด้วยท่าทางราวกับได้รับความไม่ยุติธรรมแฝงไปด้วยความระมัดระวัง คล้ายถูกกลั่นแกล้งแต่ไม่กล้าพูด ยามนี้ยังทำทีปกป้องฟางอี๋เหนียง กล่าวด้วยน้ำเสียงโยน “แม้ว่าฟางอี๋เหนียงจะไม่ใช่นายหญิง แต่หากให้พี่หญิงใหญ่มาทำหน้าที่กราบไหว้บรรพชนแทนข้า ก็นับว่า...”
“เหลวไหล หากให้บุตรอนุภรรยาคนหนึ่งมาทำหน้าที่แทนบุตรภรรยาเอก ก็เท่ากับ้ายกอนุขึ้นมาเป็ภรรยาที่ถูกต้องแล้ว” มีคนผู้หนึ่งทนฟังไม่ได้จึงกล่าวตำหนิขึ้นมา บัดนี้สีหน้าของโม่ฮว่าเหวินดำราวกับก้นหม้อไปแล้ว ผู้มีชื่อเสียงเหล่านี้ เป็ที่นับหน้าถือตาของผู้คนมากมาย หากเื่ที่เขาให้ความสำคัญกับอนุละเลยภรรยาถูกเผยแพร่ออกไป ย่อมส่งผลกระทบถึงตำแหน่งหน้าที่ขุนนางของเขาด้วย อาจถึงขั้นถูกร้องฎีกาต่อองค์จักรพรรดิได้
“หากคุณหนูสามมีความเชื่อมั่นเช่นนั้น ก็ให้ข้าช่วยตรวจวินิจฉัยให้ดีหรือไม่” ไป๋อี้เฮ่าย่อกายลงมา ริมฝีปากทอยิ้มบางๆ แล้วประคองข้อมือของนางขึ้นมาโดยไม่รอให้นางมีปฏิกิริยาโต้กลับใดๆ น้ำเสียงที่นุ่มลึกอ่อนโยนภายใต้อาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ราวกับหิมะที่ยอบลงมาทำให้คนไม่รู้สึกว่าเขาเสียมารยาท แต่กลับััถึงความสูงส่งสง่างามอันเจิดจรัสราวกับแสงจันทร์ส่องสว่างไปทั่วหล้า
ผู้สูงส่งเยี่ยงนั้นน้อมกายลงมาตรวจรักษาให้โม่เสวี่ยถงด้วยตนเอง ถือเป็วาสนาที่ยิ่งใหญ่นัก ด้านหลังเงาไม้ สายตาของโม่เสวี่ยิ่ที่อยู่ในอาภรณ์สีขาวเตรียมตัวเข้าพิธีแทนโม่เสวี่ยถงมองบุรุษผู้นั้นด้วยความหลงใหล ปรารถนาให้รอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลานั้นเป็ของตนเอง มือของนางบีบใบไม้ด้านข้างอย่างรัญจวนใจ แม้ถูกคมไม้ใบบาดมือก็ยังไม่รู้สึกตัว
ความคิดของนางราวกับหยุดลงในห้วงเวลานี้ สะกดอยู่ที่ชายหนุ่มผู้มีรอยยิ้มงามซึ้งตรึงจิต รูปงามเฉิดฉันประหนึ่งบุหลันเหนือนภา เดิมทีคิดว่าซือหม่าหลิงอวิ๋นกับโหยวเยวี่ยเฉิงก็หล่อเหลาไม่มีผู้ใดเปรียบปานแล้ว ที่แท้ยังมีคนที่ทั้งหล่อเหลาและสง่างามยิ่งกว่า หากจะกล่าวถึงยอดบุรุษผู้สูงส่งเป็เลิศ หล่อเหลาจนไร้ที่ติ ก็คงจะเป็เยี่ยงบุคคลผู้นี้เองกระมัง
“ขอบคุณคุณชายไป๋มากเ้าค่ะ” โม่เสวี่ยถงยื่นมือออกไปอย่างเปิดเผย ดวงตาดำสนิทลุ่มลึกจนไม่เห็นก้นบึ้งทอดมองไปยังไป๋อี้เฮ่า ริมฝีปากโค้งขึ้นช้าๆ ทอยิ้มงดงามอ่อนละมุน
ช่างเป็สตรีที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียวเป็เลิศ! แม้ในยามยากที่สุดก็ยังทรหดอดทนถึงเพียงนี้ นี่แหละสตรีที่เขามาดหมายอยากได้มาเป็คู่ครอง เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เขายินดีที่จะแผ่กิ่งก้านให้นางเกาะ หยิบยื่นความสุขชั่วชีวิตให้...
ไป๋อี้เฮ่าพิจารณาหญิงสาวอยู่เงียบๆ นิ้วมือเรียวงามแตะบนข้อมือขาวกระจ่างที่แข็งเกร็งของนาง ริมฝีปากยกยิ้มน้อยๆ สีหน้าครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนกล่าวออกมา “คุณหนูสามโม่มิได้เจ็บป่วย แต่ได้รับาเ็” แค่เขาดีดนิ้วเรียวเบาๆ ชายแขนเสื้อของโม่เสวี่ยถงก็ถูกเลิกสูงขึ้น ปรากฏาแที่เป็รอยแดงปื้นรอบข้อมือต่อหน้าผู้คน เห็นแล้วก็ชวนให้รู้สึกหนาวเยือกไปถึงหัวใจ
รอยแดงช้ำเ่าั้บางจุดถึงขั้นมีเืไหลซิบๆ คล้ายถูกเข็มนับร้อยทิ่มแทงอย่างไรอย่างนั้น
“อาภรณ์ของคุณหนูสามถูกคนซ่อนเข็มแหลมคมเข้าไป เมื่อสวมใส่จึงแทงถูกผิวกายจนเกิดาแ ทำให้ไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ สีหน้าจึงดูย่ำแย่เช่นนี้” ไป๋อี้เฮ่าให้คำตอบอย่างไม่รีบร้อน ใช้นิ้วมือควานเข้าไปในแผงขนสัตว์เบาๆ ก็พบว่ามีชิ้นส่วนเล็กๆ ที่มีลักษณะแหลมคมซ่อนอยู่ด้านใน หากมองให้ดีจะเห็นเข็มเล็กๆ ที่บางราวกับเส้นขน ซึ่งหากไม่พิจารณาอย่างละเอียดก็จะมองไม่ออก
เมื่อแลเห็นข้อมือขาวกระจ่างของตนเผยออกมาสู่ภายนอก โม่เสวี่ยถงก็หน้าแดงก่ำรีบชักมือกลับทันใด แต่ทุกคนต่างเห็นชัดแล้วว่าที่ข้อมือน้อยๆ ของนางบวมแดงและเต็มไปด้วยรอยเข็มเล็กๆ สีหน้าของพวกเขาพลันเปลี่ยนไปทันที
“นี่มันอะไรกัน” โม่ฮว่าเหวินหน้าดำทะมึน พลางดึงมือของโม่เสวี่ยถงที่หดกลับไปออกมาดู หันมาถามฟางอี๋เหนียงอย่างเอาเื่
“ไม่มีอะไรหรอกเ้าค่ะท่านพ่อ เสื้อผ้าเหล่านี้คงจะตัดอย่างเร่งรีบ ไม่ได้ตรวจสอบให้เรียบร้อย ถงเอ๋อร์สวมเข้าไปแล้วรู้สึกเหมือนดั่งถูกเข็มทิ่ม แต่ไม่เป็ไรเ้าค่ะ ก็แค่ไม่กี่จุดเท่านั้นเอง ถงเอ๋อร์ทนได้ ไม่ทำให้เสียงานพิธีเซ่นไหว้บรรพชนแน่นอน”
โม่เสวี่ยถงชิงพูดตัดหน้าฟางอี๋เหนียงด้วยรอยยิ้ม เพียงแต่ในดวงตาคล้ายถูกคลุมด้วยม่านหมอกสลัวที่แฝงไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจเช่นคนที่ทนรับความไม่เป็ธรรมชวนให้คนมองเห็นแล้วปวดใจยิ่ง สายตาที่มองไปที่ฟางอี๋เหนียงมีความหวาดหวั่นเล็กน้อย ก้มศีรษะลงแล้วกัดริมฝีปากแน่น
ทันทีที่เห็นรอยเข็มเล็กๆ เ่าั้ สีหน้าของฟางอี๋เหนียงก็ซีดเผือดราวกับหิมะ คราวนี้นางไม่อาจทรงตัวยืนอยู่ได้อีก ทรุดกายคุกเข่าลงทันที “นายท่าน ข้าอนุภรรยาไม่ทราบว่าเื่นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร อาจเป็เพราะคนในห้องตัดเย็บทำออกมาเร่งรีบเกินไป”
พอคำพูดเช่นนี้กล่าวออกมา สีหน้าของโม่ฮว่าเหวินยิ่งคล้ำจนเป็สีม่วง แผดเสียงตะคอก “นังหญิงชั่วช้า ทำเื่เช่นนี้ออกมาแล้วยังมีหน้ามาแก้ตัวอีก”
ความจริงปรากฏชัดเจนออกมาแล้ว เสื้อผ้าที่ถงเอ๋อร์สวมใส่ถูกคนเล่นลูกไม้ นอกจากฟางอี๋เหนียงแล้วจะมีใครกล้าทำเช่นนี้ได้ ยามนี้โม่ฮว่าเหวินนึกโมโหในความใจอ่อนของตนเองใน่สองวันก่อนหน้านี้ ยิ่งเห็นโม่เสวี่ยถงขบริมฝีปากอดทนต่อความเ็ปจนเืไหลซิบๆ แต่กลับไม่ว่าร้ายพาดพิงถึงฟางอี๋เหนียงแม้แต่คำเดียว ก็ยิ่งเ็ปราวกับถูกกระชากหัวใจออกมา
“พวกเ้าสองคนเข้าไปด้านในเปลี่ยนชุดให้คุณหนู แล้วใส่ยาให้นางด้วย” สีหน้าของโม่ฮว่าเหวินมิได้ดุดันร้ายกาจเหมือนก่อนหน้านี้อีก
สาวใช้สองคนสงวนถ้อยคำ ประคองโม่เสวี่ยถงออกไป
แเื่ทุกคนต่างส่ายหน้า เดินเข้าไปในห้องรับแขก ที่เหลือคือเื่ของคนในบ้าน หากพวกเขายังยืนดูอีกก็นับว่าเสียมารยาทแล้ว
โม่ฮว่าเหวินถลึงตาใส่ฟางอี๋เหนียง สีหน้าทะมึนลึกดั่งก้นแม่น้ำ แววตาดุดันทำให้หัวใจของฟางอี๋เหนียงที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้นหนาวสะท้านอย่างไม่อาจควบคุม กระเถิบถอยไปด้านหลัง แต่กลับรู้สึกเคลือบแคลงใจ เข็มที่อยู่ในอาภรณ์มาจากไหน นางไม่ได้ใส่เข้าไปเสียหน่อย นางจะทำในสิ่งที่เผยหลักฐานออกมาชัดเจนเยี่ยงนี้ได้อย่างไร ‘เข็มหนอนไหม์’ ไม่มีทางถูกตรวจสอบพบง่ายดายเพียงนี้
ไม่ช้าโม่หลันก็ยกถาดใบหนึ่งออกมา ทั้งหมดเป็เข็มสีขาวประเภทเดียวกัน เข็มแต่ละเล่มล้วนส่องประกายคมวาว
“เรียนนายท่าน ทั้งแขนเสื้อ คอเสื้อ รอบเอว ขอบชุดชั้นในล้วนมีทั้งหมด บ่าวช่วยจัดการชำระออกให้คุณหนูทั้งหมดแล้วเ้าค่ะ” โม่หลันคุกเข่าอยู่หน้าโม่ฮว่าเหวิน มิได้กล่าวเกินไปแม้แต่คำเดียว เพียงแต่ภายใต้น้ำตาที่คลออยู่เต็มเบ้ากลับเปี่ยมล้นไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย
“พวกเ้าดูแลปรนนิบัติคุณหนูกันอย่างไร ไฉนจึงไม่มีใครมารายงานข้า อีกทั้งยังทู่ซี้ปล่อยให้คุณหนูสามสวมชุดแบบนั้นอยู่ได้” โม่ฮว่าเหวินกล่าวด้วยความคับแค้นแน่นอก