“พวกบ่าวเห็นคุณหนูคุกเข่าด้วยท่าทางแปลกๆ ั้แ่เช้าแล้วเ้าค่ะ แต่คุณหนูไม่ยอมให้ไปแจ้งนายท่าน บอกแต่ว่าทนๆ หน่อยเดี๋ยวก็ผ่านไป คุณหนูไม่อยากเห็นนายท่านเสียใจเ้าค่ะ... พวกบ่าวอยากไปบอกกับอี๋เหนียง แต่เห็นว่าคุณหนูใหญ่ที่ยืนอยู่ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร จึงเข้าใจไปว่าผิวของคุณหนูคงบอบบางจึงเป็เช่นนี้ แต่คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะมีคนจิตใจเหมือนอาบยาพิษ คิดร้ายต่อคุณหนู”
โม่หลันที่คุกเข่าอยู่บนพื้นพูดซ้ำไปมาไม่หยุด หลังจากกล่าวจบก็โขกศีรษะ ร้องไห้น้ำตาไหลพราก ถาดใส่เข็มที่ทูนอยู่เหนือศีรษะส่องประกายสีเงินเย็นวาบเสียดแทงตาคน ที่ปลายเข็มบางเล่มยังมีเืติดอยู่ดูแล้วน่าหวาดเสียว
“นายท่าน เื่นี้ไม่เกี่ยวข้องกับอี๋เหนียงนะเ้าคะ อี๋เหนียงเป็ผู้จัดการทุกอย่างภายในจวน จะลงมือตรวจสอบทุกเื่ด้วยตนเองได้อย่างไร เื่เข็มที่พบในเสื้อผ้าของคุณหนูสาม อี๋เหนียงก็ไม่รู้เื่ อาภรณ์ชุดนี้เป็ชุดที่อี๋เหนียงเตรียมไว้ให้คุณหนูใหญ่ั้แ่ก่อนหน้านี้แล้ว เพราะคุณหนูสามกลับมากะทันหัน จึงนำไปให้คุณหนูสามทันที หากใส่เข็มไว้ในเสื้อผ้า ไม่เท่ากับว่าอี๋เหนียงคิดร้ายต่อคุณหนูใหญ่หรือเ้าคะ” หลี่มามาซึ่งอยู่ด้านหลังของฟางอี๋เหนียงเห็นท่าไม่ดีจึงรีบคุกเข่าชี้แจง
“นายท่าน ชุดของคุณหนูสามมีเข็ม ไยมิให้คนไปตรวจสอบดูว่าชุดของคุณหนูใหญ่มีเข็มด้วยหรือไม่ คุณหนูใหญ่ยืนอยู่ตรงนั้นนานแล้ว หากเสื้อผ้าของนาง...” โม่หลันยังคงก้มหน้าหมอบอยู่ ร้องไห้พลางยกมือชี้ไปที่ใต้ต้นไม้หน้าสวน เมื่อครู่ตอนนางประคองโม่เสวี่ยถงออกไป คุณหนูของนางก็บุ้ยใบ้ไปที่โม่เสวี่ยิ่ซึ่งยืนหลบมุมอยู่ใต้เงาไม้
ยืนอยู่นานขนาดนั้นแต่กลับไม่เป็อะไรสักอย่าง!
ยิ่งไปกว่านั้น... เพราะเหตุใดนางจึงแต่งตัวครบเครื่องมายืนรออยู่อีกด้าน หรือรู้ล่วงหน้าว่าถงเอ๋อร์จะเกิดอะไรขึ้น ไม่อาจต้อนรับแขกในฐานะบุตรภรรยาเอกได้
ยังมีสิ่งใดไม่กระจ่างอีกเล่า!
โม่ฮว่าเหวินยิ่งโกรธจัด เส้นเืปูดโปนที่หน้าผากเต้นตุบๆ หมุนตัวไปหยิบน้ำชาที่เย็นแล้วสาดไปที่ใบหน้าของฟางอี๋เหนียงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย น้ำเสียงเย็นเยือกชวนให้ขนหัวลุกราวกับผุดออกมาจากซอกฟัน “เด็กๆ มาลากหญิงชั้นต่ำผู้นี้ออกไป ตัวเป็แค่อนุภรรยาแล่นมาเสนอหน้าที่นี่ทำไม”
ยามนี้ยังอยู่ใน่พิธีเซ่นไหว้บรรพชน เื่ฉาวโฉ่ภายในบ้านไม่อาจเผยออกมาภายนอก
ฟางอี๋เหนียงตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันจนร่างกายแข็งเกร็งไม่อาจควบคุมได้ ยามนี้นางเปียกปอนไปทั้งตัว แม้แต่จะเอ่ยปากพูดก็ยังลำบาก
“นายท่าน...” หลี่มามายังคิดจะอธิบาย
“หุบปาก อย่านึกว่าข้าไม่รู้เท่าทันความคิดของพวกเ้า ถงเอ๋อร์เป็บุตรสาวของข้า อย่าเอาความคิดสกปรกของพวกเ้ามาใช้กับนาง กลับไปที่เรือนของตนเองแล้วปิดประตูห้ามออกไปไหนหนึ่งเดือน หากถงเอ๋อร์เป็อะไรไป ข้าจะไปเอาเื่กับเ้าเป็คนแรก” โม่ฮว่าเหวินโกรธจัดจนหน้าแดงก่ำ ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเืฝอย อารมณ์เดือดดาลจนควบคุมตนเองไม่อยู่ ยกเท้าขึ้นเตะหลี่มามาจนหงายหลังกระแทกพื้น
หลี่มามาถูกเตะจนกระเด็นมาชนเสา มือกุมศีรษะที่มีเืไหลออกมา แต่ไม่กล้าร้องโอดครวญ ดวงตาฉายแววคับแค้นใจมองไปที่ฟางอี๋เหนียง
ยามนี้ฟางอี๋เหนียงยังเอาตัวเองไม่รอด ไหนเลยจะมีแก่ใจคิดถึงหญิงรับใช้เก่าแก่ข้างกาย เห็นโม่ฮว่าเหวินโมโหจนเส้นเืปูดโปน เืสูบฉีดขึ้นหน้าจนแดงก่ำ แม้แต่จะพูดก็ยังพูดไม่ออก ร่างกายพลันอ่อนยวบสิ้นเรี่ยวแรง เนื้อตัวสั่นเทาปล่อยให้หญิงรับใช้สองคนมาพาตัวไป
ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าหลังจากที่โม่เสวี่ยิ่เปลี่ยนเสื้อผ้าออกแล้ว ก็มองโม่เสวี่ยถงที่กำลังผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ด้วยแววตาเกลียดชัง หลังจากนั้นก็แอบถอยออกไปอีกด้านหนึ่ง
จวนโม่ไม่อาจเสียหน้า ดังนั้นพิธีเซ่นไหว้บรรพชนยังต้องดำเนินต่อไป เชิญแเื่มามากมายเพียงนี้ ไม่ใช่เพื่อมาประกาศเื่ราวฉาวโฉ่ภายในบ้าน
โม่เสวี่ยถงสวมชุดที่โม่เสวี่ยิ่ถอดออกมา แม้จะหลวมไปหน่อย แต่กลับดียิ่งสำหรับนางในเวลานี้ มิเช่นนั้นอาจเสียดสีกับาแของนาง ซึ่งยังเจ็บอยู่เป็พักๆ นางฝืนกายลงไปคุกเข่าที่หน้าประตูห้องรับแขกอีกครั้ง
ขณะที่แเื่กำลังรับประทานอาหาร นางก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ลุกขึ้น ข้าวต้มถ้วยเล็กที่กินมาั้แ่เช้าตรู่หรือจะเอาอยู่ได้ กลิ่นหอมของอาหารลอยมา ช่างยั่วยวนใจจริงแท้ โม่อวี้เริ่มนั่งไม่เป็สุข ขยับแล้วขยับอีกอยู่ด้านหลังของโม่เสวี่ยถง เห็นโม่เสวี่ยถงยังคงก้มหน้าคุกเข่านิ่ง ก็หันไปหาโม่หลันที่อยู่อีกด้าน
นางสะกิดแขนของโม่หลันเบาๆ รอจนโม่หลันเงยหน้าขึ้น นางก็ชี้ไปที่โม่เสวี่ยถงที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้น แล้วชี้ไปที่ท้องบอกใบ้ให้รู้ว่าตอนนี้คุณหนูคงหิวข้าวแล้ว
โม่หลันถลึงตาดุใส่นางทีหนึ่ง แล้วเหลือบมองเข้าไปด้านใน แอบอธิบายให้รู้ว่าแเื่ที่อยู่ด้านใน อีกครู่หนึ่งก็จะออกมาแล้ว
โม่อวี้หน้าหงิกทำท่าฮึดฮัดไม่พอใจ ในที่สุดพอได้ยินเสียงโม่เสวี่ยถงไอเตือนเบาๆ ก็คอตกหน้าจ๋อยสนิท
แม้ว่าในห้องรับแขกจะกำลังรับประทานอาหารกันอยู่ แต่ก็กินกันอย่างเงียบๆ ไม่มีเสียงพูดคุยกัน แขกผู้มาเยือนล้วนแล้วแต่เป็ผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง และวันนี้อาหารที่จวนโม่เตรียมไว้ให้ก็ไม่ใช่เหล้ายาปลาปิ้ง แต่เป็อาหารมังสวิรัติเรียบง่ายมื้อหนึ่งเท่านั้น
หลังจากนั้น บรรดาแเื่ก็ออกมา สาวใช้จึงประคองโม่เสวี่ยถงให้ลุกขึ้น นางก้มหน้าสำรวมเดินตามหลังโม่ฮว่าเหวินไปยังห้องโถงบูชาบรรพชน โขกศีรษะกราบคารวะบรรพชนด้วยความเคารพ จุดธูปให้แขกแต่ละท่านที่เข้าไปคารวะและยังมีแขกอีกสองสามคนขึ้นมาร่ายบทกวีเพื่อแสดงความเคารพ พิธีเซ่นไหว้บรรพชนใช้เวลาราวสองชั่วยามจึงถือว่าเสร็จสิ้น
รอจนกระทั่งแขกทั้งหมดกลับไปกันแล้ว โม่ฮว่าเหวินจึงบอกให้โม่เสวี่ยถงกลับเรือนไปพักผ่อน หลังจากกลับมาถึงเรือนของตนแล้ว โม่เสวี่ยถงก็รู้สึกว่าทั้งแขนขาเมื่อยล้าไปหมด ร่างกายแทบจะหลุดออกเป็ชิ้นๆ
สวี่มามาเตรียมสำรับอาหารค่ำรอนานแล้ว พอเห็นโม่อวี้และโม่หลันพาโม่เสวี่ยถงเข้ามา ก็รีบยื่นมือมาช่วยประคองหญิงสาวในสภาพแขนขาอ่อนแรงเข้ามาในห้อง
โม่เสวี่ยถงนั่งเอนกายบนตั่ง โม่เหอเข้าไปหยิบเบาะมาวางรองให้สูงขึ้น แล้วคุกเข่าหน้าตั่งนำผ้าร้อนมาประคบขาให้นาง
“คุณหนู ทำไมไม่บอกนายท่านไปล่ะเ้าคะ ว่านอกจากฟางอี๋เหนียงจะทำร้ายคุณหนูด้วยเสื้อผ้า แล้วยังไม่ให้คุณหนูกินให้อิ่มท้องอีกด้วย พื้นเสื่อผืนนั้นก็เป็ไม้ไผ่แข็งโป๊ก แบบนี้มันจงใจแกล้งคุณหนูให้คุกเข่าไม่ไหวชัดๆ” สวี่มามาเห็นรอยช้ำเขียวที่หัวเข่าของโม่เสวี่ยถงก็ปวดใจจนน้ำตาไหล
“แม่นมไม่ต้องกังวลใจไปหรอกเ้าค่ะ มีใครบ้างที่ไม่ต้องเจ็บจากการคุกเข่าในพิธีเซ่นไหวบรรพชน พักผ่อนแค่สองวันก็หายแล้ว” โม่เสวี่ยถงยิ้มกล่าวปลอบใจ เดิมที่เช้าโม่ฮว่าเหวินไม่ให้นางออกไปคุกเข่าอีก แต่นางยืนกรานจะออกไปเอง พิธีเซ่นไหว้บรรพชนสกุลโม่หากไม่มีบุตรภรรยาเอกมาคุกเข่าเคารพแขก ผู้ที่เสียหน้าก็คือสกุลโม่
หรือหากโม่เสวี่ยิ่ก็สามารถทำหน้าที่แทนได้ แต่ตนเองจะให้โอกาสเช่นนี้กับนางได้อย่างไร
ดังนั้นแม้ว่าจะต้องฝืนทนเพียงใด นางก็ต้องออกไปเพื่อรักษาหน้าของสกุลโม่
นางลูบไล้ไปบนขาของตนเองเบาๆ ขณะเดียวกันก็ขบคิดไตร่ตรองอย่างละเอียด
เื่ของฟางอี๋เหนียงแม้ว่าจะถูกโม่ฮว่าเหวินตรวจสอบ แต่หากไปฟ้องโม่ฮว่าเหวินตอนนี้ก็จะทำให้บิดาคิดว่านางคิดเล็กคิดน้อย จิตใจคับแคบ ตอนนี้บิดายังทำอะไรฟางอี๋เหนียงไม่ได้ เพราะนางคลอดบุตรสาวและบุตรชายคนโตให้เขา แม้ว่าจะพบหลักฐานจริงว่านางทำร้ายตนเองแล้วอย่างไร อย่างมากก็แค่ลงโทษกักบริเวณหนึ่งเดือนเท่านั้น
เพราะบุตรชายคนหนึ่งทำให้โม่ฮว่าเหวินไม่อาจแตะฟางอี๋เหนียง ดังนั้นสิ่งที่นางควรทำไม่ใช่การเข้าไปฟ้องร้อง แต่เป็การทำให้บิดาเอาใจออกห่างจากอนุผู้นี้ ด้วยการหาวิธีให้บิดาแต่งภรรยาเอกคนอื่นเข้ามาแทน
มีเพียงการแต่งฮูหยินใหม่ จึงสามารถให้กำเนิดบุตรชายผู้เป็ทายาทสืบสกุล เมื่อบุตรชายภรรยาเอกถือกำเนิด โม่อวี่เฟิงก็จะเสียโอกาส ฟางอี๋เหนียงก็จะสูญเสียความโปรดปรานอย่างแท้จริง มิเช่นนั้นไม่ว่านางจะอยู่ในสถานะใด แต่ด้วยอายุยังน้อย และในจวนยัง้าคนควบคุมดูแล สถานะของฟางอี๋เหนียงก็ไม่มีทางสั่นคลอนได้
ความแค้นฝังลึกในชาติภพก่อน นางจะไม่ยอมให้สองแม่ลูกใจอำมหิตคู่นั้นได้เสวยสุขอย่างเด็ดขาด
“คุณหนู หากฮูหยินยังอยู่ ไหนเลยจะยอมให้คุณหนูต้องทนรับความไม่เป็ธรรมเยี่ยงนี้ น่าสงสารฮูหยินอายุยังน้อยอยู่แท้ๆ ก็มาด่วนจากไปเสียแล้ว คุณหนูร่างกายอ่อนแอ ไม่มีใครมาดูแลใส่ใจ นายท่านก็รู้อยู่แก่ใจ แต่ก็ยังแค่กักบริเวณนางอยู่ในจวนโม่เท่านั้น แล้วอย่างนี้คุณหนูจะมีชีวิตต่อไปอย่างไร” สวี่มามาร้องไห้ปาดน้ำตาพลางนำน้ำร้อนมาเปลี่ยนให้โม่เสวี่ยถงไปด้วย อีกด้านหนึ่งโม่หลันก็ตักน้ำสำหรับอาบให้เรียบร้อยแล้ว และเตรียมทำความสะอาดาแบนร่างกายให้นาง
แม้ว่าาแเ่าั้จะดูเหมือนเป็แผลเล็กๆ แต่ก็เจ็บแสบสุดประมาณ
“แม่นมอย่าวิตกไปเลย เดี๋ยวข้าจะไปอาบน้ำก่อน ยังมีบางเื่ที่อยากจะถามท่านสักหน่อย” แววตาของโม่เสวี่ยถงเป็ประกายจับจ้องที่ใบหน้าของสวี่มามา ชั่วพริบตาที่นึกถึงคนผู้หนึ่งริมฝีปากก็ทอยิ้มเจิดจ้า
“เ้าค่ะๆ คุณหนูไปอาบน้ำก่อน บ่าวจะรออยู่ที่นี่ ตอนนี้จะให้คนไปอุ่นอาหารให้ร้อนๆ มิเช่นนั้นเดี๋ยวคุณหนูกินแล้วจะไม่สบายได้” สวี่มามามองท่าทางออดอ้อนของโม่เสวี่ยถงอย่างเอ็นดู แล้วปาดน้ำตามองโม่อวี้และโม่หลันประคองคุณหนูของตนไป ทั้งกำชับให้พวกนางระมัดระวังด้วย จึงค่อยหมุนตัวไปตามสาวใช้ให้เข้ามานำอาหารไปอุ่นร้อนแล้วค่อยนำกลับมาตั้งโต๊ะอีกครั้ง
ยามที่โม่เสวี่ยถงออกมาอาหารก็อุ่นร้อนเสร็จเรียบร้อย ด้วยความที่หิวมานานและไม่รู้ว่าหิวแค่ไหน จึงไล่สาวใช้คนอื่นๆ ออกไป เหลือเพียงโม่หลันกับสวี่มามา พอผ่านเื่นี้มาแล้ว โม่เสวี่ยถงยิ่งพบว่าโม่หลันไม่เพียงแต่รู้หนักเบา แต่ยังเป็คนฉลาดเฉลียวมีไหวพริบ รู้ว่าเวลาไหนควรจะเคลื่อนไหวอย่างไรจึงจะดีที่สุด คอยปรามโม่อวี้ไม่ให้พูดอยู่หลายครั้ง อีกทั้งรู้จักโอกาสและจังหวะที่เหมาะสม
“แม่นมเ้าคะ ตอนที่ท่านไปบ้านท่านตาคราวที่แล้ว ได้ยินว่ามีน้าสาวคนหนึ่งเข้ามาอยู่ในสกุลลั่วใช่หรือไม่” โม่เสวี่ยถงไม่ค่อยรู้สึกอยากอาหารเท่าใด วางชามและตะเกียบในมือลง แล้วหันมาถามด้วยสีหน้าจริงจัง
“ใช่แล้ว ได้ยินมาว่าเป็ลูกพี่ลูกน้องกับฮูหยินเ้าค่ะ มารดาของนางสิ้นใจแล้ว ก่อนตายได้ฝากฝังให้เหล่าไท่จวินช่วยหาคนดีๆ ให้คุณหนูท่านนี้ ดังนั้นจึงเข้ามาอยู่ในสกุลลั่วมาได้เกือบครึ่งปีแล้วเ้าค่ะ ได้ยินมาว่ายังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้สักที สูงไปก็ไม่ได้ ต่ำไปก็ไม่ดี ได้ยินมาว่านางอยากแต่งให้กับบุรุษที่ร่ำรวยและมีความสามารถ แต่จะมีสกุลไหนที่้าสตรีกำพร้ามาเป็สะใภ้บ้างเล่า ดังนั้นเื่นี้ก็เลยยิ่งล่าช้าออกไปอีก วันนั้นบ่าวเห็นคุณหนูผู้นั้นแล้ว หน้าตาสะสวยไม่เลวเลย เสียแต่อายุมากไปหน่อย จะหาคู่ครองให้ไม่ง่ายเลยจริงๆ” เื่นี้สวี่มามานับว่าเป็ผู้รู้จริง เห็นโม่เสวี่ยถงถามขึ้น แม้ว่าไม่รู้ว่านางจะถามไปเพื่ออะไร แต่ก็ตอบอย่างละเอียด
เมื่อเห็นนางกินน้อยก็พยายามยัดเยียดตะเกียบใส่มือให้อีก “คุณหนูคนดีของบ่าว กินอีกสักสองสามคำนะเ้าคะ วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว หากไม่กินอีก ร่างกายจะไม่ไหวเอา อยู่ที่นี่ไม่มีใครคอยจ้ำจี้จ้ำไช มิหนำซ้ำยังถูกคนใช้เข็มมาทำร้ายให้าเ็อีก หากไม่ดูแลตนเองแล้วจะทำอย่างไรเล่า” กล่าวจบสวี่มามาก็ตาแดงทำท่าจะร้องไห้อีก
โม่เสวี่ยถงยอมลงให้ทันที รีบหยิบตะเกียบคีบอาหารใส่ปาก แล้วยิ้มพรายเอ่ยถามยั่วยิ้ม “แม่นม ข้าไม่อนุญาตให้ท่านโศกเศร้านะ เห็นหรือไม่ข้ากำลังกินข้าวอย่างมีความสุขอยู่เลย จะมาทำหน้าเศร้าแบบนั้นได้อย่างไร มาคุยเื่สนุกกันต่อดีกว่า แล้วน้าสาวท่านนี้อยากจะแต่งงานกับคนแบบไหนล่ะ”
แม้เห็นว่าโม่เสวี่ยถงจะทำยืดยาด แต่ก็ยังยอมกินเข้าไปสองคำ สวี่มามาจึงยิ้มออก หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตา แล้วกล่าวอย่างพึงพอใจ “ดูสิ บ่าวทำให้คุณหนูเศร้าไปด้วยแล้ว คุณหนูอย่าตำหนิปากของบ่าวเลยนะเ้าคะ คุณหนูกินไปด้วยฟังไปด้วย บ่าวยังมีเื่เกี่ยวกับคุณหนูผู้นี้เล่าให้ฟังอีก นางบอกว่าคนที่นาง้าแต่งงานด้วยจะต้องเป็ตระกูลสายตรง มีฐานะร่ำรวย ต้องหน้าตาดีมีความสามารถด้วย คุณหนูคิดว่าผู้ที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมแบบนี้จะอยากแต่งกับสตรีที่บ้านแตกสาแหรกขาดอย่างนางได้อย่างไรเล่า ดังนั้นเื่แต่งงานก็เลยล่าช้ามาจนทุกวันนี้ เหล่าไท่จวินก็กลุ้มใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่อาจให้บุตรสาวของน้องสาวแท้ๆ ต้องรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ”
“น้าสาวอายุประมาณเท่าไรหรือ” โม่เสวี่ยถงถามราวกับมิได้ตั้งใจ
“น่าจะราวๆ ยี่สิบเอ็ดยี่สิบสองปีกระมัง อายุมากไปหน่อยจริงๆ แต่ใครใช้ให้นางเป็คนเลือกมากกันเล่า เื่หมั้นหมายก็ล่าช้ามาั้แ่ตอนที่อี๋ไท่ไท่ยังอยู่แล้ว อย่าว่าแต่เลือกคนที่ถูกใจเลย ตอนนี้แค่มีคนเข้ามาสักคนสองคนก็ควรเลือกได้แล้ว แต่จนบัดนี้นางก็ยังกระบิดกระบวนไม่ยอมเอ่ยปากตกลงสักที จนเหล่าไท่จวินก็หมดปัญญา” หลี่มามาเห็นคุณหนูของตนกินกับหนึ่งคำ กินข้าวอีกคำหนึ่ง ก็ดีใจเล่าเื่สัพเพเหระให้คุณหนูฟังคลายความกลัดกลุ้ม
ก่อนที่สวี่มามาจะออกไปก็ยังจู้จี้ไม่หยุดปาก ให้นางนอนหลับให้ดี ทั้งยังกำชับกับสาวใช้สองสามคนที่อยู่เฝ้าตอนกลางคืนว่าอย่านอนหลับลึกมากให้คอยฟังว่าคุณหนูอยากดื่มน้ำหรือไม่ สาวใช้ทั้งสามต่างหัวเราะแล้วพยักหน้ารับคำ รับปากเป็มั่นเหมาะครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนส่งสวี่มามาออกไป
“โม่หลัน พรุ่งนี้เ้าหาคนไปปล่อยข่าวข้างนอกให้ข้า บอกว่าท่านพ่อของข้าเป็ผู้มีพร์ความสามารถ หน้าตาก็หล่อเหลา ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานั้แ่อายุยังไม่มาก มีความรักต่อมารดาข้าอย่างลึกซึ้ง จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่คิดจะแต่งงานใหม่อีกครั้ง เพราะกลัวว่าบุตรของตนเองจะไม่ได้รับความยุติธรรม” หลังจากเอนกายนอนบนเตียงได้พักหนึ่งรู้สึกนอนไม่หลับ เห็นโม่หลันเฝ้าอยู่ข้างตะเกียง ดูแลเอาใจใส่นางอย่างอ่อนโยน
“คุณหนูคิดจะ...” โม่หลันวางกรรไกรในมือลง เมื่อครู่นางรอปรนนิบัติอยู่ด้านข้างตลอดเวลา ย่อมเข้าใจความ้าของโม่เสวี่ยถง แต่ยังไม่อยากเชื่อว่าคุณหนูผู้อ่อนต่อโลกของนางจะคิดถึงเื่หาภรรยาใหม่ให้บิดา ซ้ำยังคิดจัดการภายในครัวเรือนของนายท่านด้วย
“โม่หลัน อีกสองปี หากพี่ชายใหญ่ร่ำเรียนวิชาก็จะเกิดความคิดอยากเป็ผู้สืบทอด ท่านพ่อไม่มีบุตรชายคนอื่นๆ บ้านหลังนี้ก็ต้องตกอยู่ในมือของฟางอี๋เหนียงเป็แน่ เ้าว่าฟางอี๋เหนียงตอนนี้ยังปฏิบัติต่อข้าเยี่ยงนี้ ต่อไปข้าคงไม่มีที่ให้ยืนแน่นอน แม้ว่าท่านพ่อจะปกป้องข้า แต่แล้วจะทำอย่างไรได้เล่า”
“นี่คือเรือนชั้นใน ลูกผู้ชายอย่างท่านหรือจะคุ้มครองได้ นอกจากนี้พี่ชายใหญ่ก็เป็บุตรชายผู้สืบสกุลเพียงคนเดียว ท่านพ่อจะให้พี่ชายได้รับความไม่เป็ธรรมได้หรือ หากข้าไม่วางแผนเพื่อตนเอง... น่ากลัวว่าตนเองจะตายที่ไหนก็ยังไม่รู้เลย” ริมฝีปากเผยรอยยิ้มขื่นขม ดวงตาประกายหยดน้ำที่งดงามคู่นั้นเต็มไปด้วยความเ็ป
ชีวิตก่อนหน้านางไม่เคยวางแผนเพื่อตนเองเลย สุดท้ายก็ต้องตายในเงื้อมมือของฟางอี๋เหนียงและโม่เสวี่ยิ่
เปลวเทียนวูบวาบราวกับแสงเทียนในห้องโถงมงคลในภพก่อน นั่นคือห้องมงคลของโม่เสวี่ยิ่กับซือหม่าหลิงอวิ๋น แต่กลับเป็ห้องส่งิญญาของนาง ไม่! ไม่ใช่ห้องส่งิญญาของนาง ไม่มีใครไยดีผู้ที่ตายอยู่ที่นั้นเสียด้วยซ้ำ คนที่เดิมทีก็สมควรตายอยู่แล้ว พวกเขาเพียงใช้เืเนื้อของนางมาปูทางสร้างความรื่นรมย์ให้กับชีวิตของตนเองเท่านั้น
ริมฝีปากขบเม้มแน่น พยายามระงับความเ็ปแสนสาหัสที่จมอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ
ชีวิตในชาติภพนี้ ไม่ว่าอย่างไร นางก็จะไม่โง่ตกหลุมพรางของพวกเขาอีก หากระหว่างนางกับโม่เสวี่ยิ่มีเพียงคนเดียวที่จะรอดชีวิต นางก็จะไม่ให้โม่เสวี่ยิ่มีชีวิตอยู่ได้...