แสงแดดยามบ่ายสาดส่องลงบนทางเท้าที่ร้อนระอุราวกับกระทะเหล็ก เสิ่นเมิ่งเฟยก้าวออกมาจากตึกสูงด้วยฝีเท้าที่หนักอึ้ง ชุดสูทสีเข้มที่เธอสวมใส่อย่างดีเพื่อการสัมภาษณ์งานบัดนี้กลับให้ความรู้สึกเหมือนชุดเกราะที่อึดอัดและร้อนอบอ้าว รองเท้าส้นสูงคู่ใหม่เอี่ยมที่เธอลงทุนซื้อมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะก็กำลังทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์ด้วยการกัดจนข้อเท้าของเธอแดงเถือกและปวดแปลบทุกย่างก้าว
“ขอบคุณสำหรับเวลาของคุณนะคะ ทางเราจะติดต่อกลับไปอีกครั้งภายหลัง”
ประโยคสุภาพแต่แฝงไปด้วยความเ็าและเฉยเมยของเ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลยังคงดังก้องอยู่ในหัวของเธอราวกับแผ่นเสียงตกร่อง นี่เป็การสัมภาษณ์ครั้งที่ห้าในรอบสองสัปดาห์ และเป็ใบสมัครใบที่สามสิบกว่าที่เธอยื่นไป
เสิ่นเมิ่งเฟยถอนหายใจยาวเหยียด เธอมองไปยังตึกสูงที่เสียดฟ้าและฝูงชนที่เดินขวักไขว่ ทุกคนดูรีบเร่งและมีเป้าหมาย แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนเป็เพียงฝุ่นผงที่ล่องลอยและไร้ทิศทาง
เธอจบการศึกษาด้วยเกียรตินิยมอันดับสอง มีความสามารถหลายอย่าง เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและความฝัน แต่สิ่งที่โลกแห่งความจริงมอบให้เธอกลับมีเพียงไม้หนักๆที่ทุบตีเธอจนตื่นขึ้นจากโลกลวงตา
“เฮ้อ...” เธอพึมพำกับตัวเองขณะเดินไปตามทางเท้าอย่างไร้จุดหมาย “เรียนแทบตาย สุดท้ายก็มาเดินเตะฝุ่นอยู่ข้างถนนเนี่ยนะ”
เธอยืนนิ่งอยู่หน้าตึก แหงนหน้ามองไปยังยอดตึกสูงที่เสียดฟ้าจนแทบมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ก่อนจะก้มลงมองฝูงชนบนทางเท้าที่เดินขวักไขว่สวนกันไปมา ทุกคนดูรีบเร่ง มีเป้าหมาย และเป็ส่วนหนึ่งของมหานครที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ แต่เธอกลับรู้สึกแปลกแยก เหมือนเป็เพียงฝุ่นผงที่ล่องลอยอย่างไร้ทิศทางในกระแสลมที่เชี่ยวกราก
ความคิดของเธอฟุ้งซ่านไปถึงเื่ราวที่คุณปู่คุณย่าเคยเล่าให้ฟังถึงยุคสมัยของพวกท่าน ยุคที่ขอแค่มีความขยันหมั่นเพียรก็สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวได้
“ถ้าเพียงแต่ฉันเกิดเร็วกว่านี้สักยี่สิบสามสิบปีก็คงจะดี” เธอบ่นพึมพำกับท้องฟ้าที่สว่างจ้าจนแสบตา “ยุคนั้นแค่ขยันทำงานหน่อยก็คงมีบ้าน มีรถ มีชีวิตที่สบายไปแล้ว ไม่ต้องมาแข่งขันกันอย่างเอาเป็เอาตายเหมือนทุกวันนี้หรอก... ชีวิตยุคนี้นมันยากเกินไปแล้ว!”
ทันทีที่สิ้นเสียงบ่น ความรู้สึกวูบโหวงก็จู่โจมเธออย่างรุนแรง วิสัยทัศน์เบื้องหน้าของเธอกลายเป็สีดำสนิทราวกับมีคนมาปิดสวิตช์ไฟ ร่างกายเล็กบางพลันสูญเสียการควบคุมไปในทันที
“ตุ้บ!”
ร่างของหญิงสาวในชุดสูทล้มฟุบลงไปกองกับพื้นทางเท้าอย่างปริศนา ท่ามกลางสายตาของผู้คนที่เดินผ่านไปมา
ฝูงชนเริ่มมุงดู แต่กลับไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วยเหลือโดยตรง เกิดเป็วงล้อมแห่งความลังเลอยู่รอบตัวเธอ เสียงซุบซิบดังขึ้นพร้อมกับแสงแฟลชจากโทรศัพท์มือถือ
“เฮ้ เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”
“ไม่รู้สิ อยู่ๆ ก็ล้มไปเลย สงสัยเป็ลมแดดมั้ง…หรือเธอว่า อาจจะเป็พวกมิจฉาชีพหรือเปล่านะ” หญิงอีกคนตอบกลับด้วยความหวาดระแวง
“ใครก็ได้เรียกรถพยาบาลที!” เสียงหนึ่งะโขึ้น
“ฉันถ่ายคลิปไว้เป็หลักฐานแล้ว เธอล้มลงไปเองนะ…”
สำหรับผู้คนบนทางเท้า มันเป็เพียงเหตุการณ์น่าตื่นตระหนกชั่วครู่ จากนั้นก็กลายเป็หัวข้อสนทนาและคลิปไวรัลในเวลาต่อมา
ทว่าสำหรับเสิ่นเมิ่งเฟย มันคือจุดสิ้นสุดของโลกใบหนึ่ง และเป็จุดเริ่มต้นของอีกโลกหนึ่ง...
