มู่หรงฉิงมองเฉินเทียนหยูอย่างเงียบๆ และเฉินเทียนหยูก็มองมู่หรงฉิงอย่างเงียบๆ เช่นเดียวกัน ในห้องที่เงียบสงบมีภาวะกดดันผสมกับอารมณ์ซึมเศร้าอย่างไม่อาจอธิบายเป็คำพูดได้
“น้องหญิง น้องหญิงสวยมาก!”
ด้วยประโยคเดียวกลับทำให้มู่หรงฉิงรู้สึกเศร้าใจเสียอย่างนั้น เพียงแต่บนใบหน้าของนางยังเผยรอยยิ้มเล็กน้อย
เมื่อเฉินเทียนหยูยื่นมือมาจับใบหน้า มู่หรงฉิงก็รู้สึกอับอายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นางจึงดึงมือของเขาออก “ท่านพี่ วันข้างหน้าไม่สามารถใกล้ชิดกับข้ามากเกินไปเช่นนี้”
“ไม่เอา เ้าเป็น้องหญิงของข้า แน่นอนว่าจะต้องดีกับน้องหญิงของข้า พวกนางบอกว่า ถ้าไม่ดีกับน้องหญิงก็จะไม่มีคุณชายน้อย” เฉินเทียนหยูไม่พอใจกับการปัดป้องของมู่หรงฉิง ใบหน้าอันหล่อเหลาเต็มไปด้วยรอยย่นเผยให้เห็นว่าเขาไม่มีความสุขอย่างยิ่ง
เป็พวกนางอีกแล้ว!
คนเ่าั้พูดอะไรกับเฉินเทียนหยู? ถ้าเขาอยู่ข้างนอกและพูดโดยไม่คิด มันจะไม่ทำให้ผู้คนหัวเราะเยาะเอาหรือ
มู่หรงฉิงถอนหายใจเบาๆ ถึงกระนั้นนางก็ทำได้เพียงประนีประนอม “คนเ่าั้น่าจะพูดว่า เมื่อท่านพี่และข้าอยู่ด้วยกันสองต่อสองถ้ามีความใกล้ชิดกัน ก็จะสามารถมีคุณชายน้อยได้ แต่หากเ้าอยู่ใกล้ชิดเช่นนี้ต่อหน้าคนนอก ไม่เพียงแต่จะไม่มีคุณชายน้อยเท่านั้น แต่มันจะทำให้คนหัวเราะเยาะข้าเอาได้”
ครั้นพูดจบ มู่หรงฉิงก็มองเฉินเทียนหยูด้วยดวงตาเป็ประกาย “ท่านพี่ของข้าฉลาดมากย่อมไม่อยากให้คนอื่นหัวเราะเยาะข้าใช่หรือไม่?”
“เ้าก็คิดว่าข้าฉลาดมากเช่นกัน” เฉินเทียนหยูดีใจมาก “พวกเขาต่างบอกว่าข้าฉลาด แต่ข้ามักจะได้ยินคนอื่นพูดลับหลังว่าข้าโง่”
หากพูดถึงความโง่ เฉินเทียนหยูไม่เพียงแต่ไม่หงุดหงิดรำคาญ ในทางกลับกันเขายังคงดูร่าเริง
“ใช่แล้ว ท่านพี่ฉลาดมาก ดังนั้นท่านพี่จะต้องรักข้าเป็แน่ และท่านพี่ก็จะเชื่อฟังคำพูดของข้าด้วยใช่หรือไม่?”
ถ้าคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่บุรุษร่างสูงใหญ่ มู่หรงฉิงคงรู้สึกเหมือนว่าตนเป็คนชั่วลักพาตัวเด็กอายุสามขวบ
“อืม น้องหญิงกลิ่นหอม น้องหญิงหวาน น้องหญิงหน้าตาสะสวย ข้ารักน้องหญิง และข้าก็จะเชื่อฟังคำพูดของน้องหญิง” หลังจากเอ่ยตอบรับด้วยความสุข เฉินเทียนหยูจึงคว้าถั่วบนจานมาใส่ปาก
ในเวลานี้แม่นมจิ่นเดินนำยวี้เอ๋อร์และปี้เอ๋อร์ รวมถึงสาวใช้ในจวนเฉินที่ได้รับมอบหมายให้ทำงานในเรือน ยกอาหารเข้ามา
เมื่อเห็นแม่นมจิ่น เฉินเทียนหยูก็โยนถั่วในมือทิ้งแล้วชี้นิ้วมือไปที่แม่นมจิ่นอย่างโกรธเคือง “เ้ามาอีกแล้ว ก่อนหน้าเ้าทำให้น้องหญิงร้องไห้ เ้าออกไป!”
แม่นมจิ่นใกับเสียงคำรามของเฉินเทียนหยู ถึงกับต้องก้าวเท้าถอยหลังออกไปสองสามก้าว ั้แ่เข้ามาในจวนเฉิน แม่นมจิ่นก็ใและหวั่นกลัวไม่น้อย
“ท่านพี่ช้าก่อน!” ครั้นเห็นว่าเฉินเทียนหยูจะใช้กำลัง มู่หรงฉิงจึงรีบดึงเฉินเทียนหยูทันควัน “เมื่อหลายอึดใจก่อน ท่านพี่บอกกับข้าว่าอย่างไร? แม่นมจิ่นเป็แม่นมของข้า แน่นอนว่าจะไม่ทำให้ข้าร้องไห้” เห็นๆ อยู่ว่าสาเหตุมาจากเ้าคนโง่ แต่เ้ากลับโยนความผิดใส่คนอื่น
“พวกเ้าออกไปเถอะ ถ้ามีอะไรข้าจะเรียกพวกเ้า” มู่หรงฉิงเห็นเฉินเทียนหยูยังคงโกรธเคือง นางก็รีบสั่งให้ผู้คนออกไป
ทว่าจ้าวจื่อซินกลับยืนอยู่ในห้อง และไม่มีทีท่าว่าจะออกไปแต่อย่างใด
มู่หรงฉิงไม่รู้สถานะของจ้าวจื่อซิน ดังนั้นนางจึงปล่อยเขาไป จากนั้นถึงได้หันกลับไปมองเฉินเทียนหยู “ท่านพี่ แม่นมจิ่นเป็แม่นมของข้า ซึ่งมีความคล้ายกับมารดาโดยกำเนิดของข้า ท่านพี่ต้องจำไว้ว่า จงอย่าทำร้ายแม่นมเด็ดขาด!”
ระหว่างที่นางกล่าวถ้อยคำ มู่หรงฉิงก็ไม่มีความมั่นใจนัก ครู่ก่อนนางพูดกับเฉินเทียนหยูมากมายและเขาก็ยอมรับมันด้วยความปีติยินดี แม้ไม่อาจยืนยันได้ว่าเขาสามารถทำในสิ่งที่รับปากได้จริงๆ หรือไม่ แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ
ในความเป็จริงมู่หรงฉิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เนื่องจากเป็เื่ง่ายมากที่จะเกลี้ยกล่อมเฉินเทียนหยูขณะที่เขามีท่าทีโง่งม ถ้าเขาไม่คลุ้มคลั่ง เขาก็ไม่มีอันตรายใดๆ
“แต่นางทำให้น้องหญิงต้องร้องไห้” เฉินเทียนหยูยังคงออกอาการขุ่นเคือง “ข้าได้บอกไปแล้วว่าจะไม่ดุน้องหญิง จะไม่ทุบตีน้องหญิง และจะไม่ปล่อยให้น้องหญิงถูกทำร้าย แต่นางทำให้น้องหญิงร้องไห้ นางสมควรตาย!”
จังหวะนั้นเฉินเทียนหยูลุกขึ้นราวกับว่าเขากำลังจะปลิดชีพแม่นมจิ่น มู่หรงฉิงใจึงรีบลุกขึ้นหยุดเฉินเทียนหยู “ท่านพี่ อย่า! แม่นมไม่ได้ทำให้ฉิงเอ๋อร์ร้องไห้เลย ฉิงเอ๋อร์แค่คิดถึงท่านแม่ผู้ให้กำเนิดที่จากไปแล้วก็เท่านั้น”
เขาโง่จริงๆ หรือแกล้งทำเป็โง่กันนะ? เห็นๆ อยู่ว่าแม่นมจิ่นไม่ได้อยู่ที่นี่ในเวลานั้นแล้วมันจะไปเกี่ยวโยงกับแม่นมจิ่นได้อย่างไร?
“จริงหรือ?” ครั้นมองมู่หรงฉิงผู้ซึ่งออกอาการกังวลใจ เฉินเทียนหยูก็ไม่ได้ก้าวเท้าไปข้างหน้าอีกต่อไป
“จริงสิ” มู่หรงฉิงพยักหน้าไปพลาง พยายามดึงมือของเฉินเทียนหยูไปพลาง เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้สะบัดมือออก นางก็โล่งใจและดึงเขาลงนั่งจากนั้นเอ่ยขึ้น “ท่านพี่รักและสงสารฉิงเอ๋อร์จริงๆ หรือไม่?”
“รักและสงสาร ข้าชอบน้องหญิงมาก น้องหญิงกลิ่นหอม”
เฉินเทียนหยูพูดถึงมู่หรงฉิงกลิ่นหอมซึ่งทำให้มู่หรงฉิงรู้สึกแปลกใจ สิ่งนั้นมีรสชาติเหมือนกับผลไม้ และสิ่งที่เฉินเทียนหยูชอบคือรสชาติของผลไม้ชนิดนั้น ผลไม้ชนิดนั้นคือผลไม้อะไรกัน? ทำไมเขาถึงได้มีความสุขมาก หลังจากที่ได้กลิ่นของมัน?
แต่ด้วยเป็เพราะหิวข้าวมาก นางจึงไม่มีเวลาที่จะคำนึงถึงเื่ราวเ่าั้ นอกจากรีบหยิบตะเกียบเตรียมจะกินข้าว
ทันทีที่คีบอาหารขึ้นมา ก่อนที่มันจะถูกส่งเข้าปาก เฉินเทียนหยูกลับกระแทกศีรษะเข้ามาพร้อมเปิดปากกว้าง และรอให้นางป้อนอาหาร
มู่หรงฉิงตกตะลึงครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองจ้าวจื่อซินที่ยืนอยู่ด้านข้าง ผู้ซึ่งกำลังมองออกไปทางด้านนอกหน้าต่าง “ก่อนหน้านี้ ใครเป็คนรับใช้คุณชายรองกินข้าวหรือ?”
“ข้า” คำพูดปราศจากอารมณ์ใดๆ จ้าวจื่อซินไม่แม้กระทั่งหันศีรษะกลับมา
“เ้าป้อนกับข้าวให้เขาด้วยตัวเองเช่นนี้ด้วยหรือ?” มู่หรงฉิงรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยอย่างมิอาจห้ามได้ มีใครป้อนกับข้าวให้กันบ้าง?
จ้าวจื่อซินเลื่อนสายตา สบกับดวงตาที่เจือความขุ่นเคืองของมู่หรงฉิง สายตาของเขามีแต่ความเ็า มู่หรงฉิงจึงเบี่ยงสายตาไปทางอื่น โดยมองไปที่ชามเปล่าตรงหน้าของนางอย่างไม่เป็ธรรมชาติ
หลังจากนั้นไม่นาน หางตาของมู่หรงฉิงจึงเห็นจ้าวจื่อซินเดินเข้ามา ก่อนเห็นเขาหยิบตะเกียบคู่หนึ่งบนโต๊ะ และวางลงบนชามตรงหน้าเฉินเทียนหยู “คุณชายรองทานอาหารกันเถอะ”
น่าแปลกที่หลังจากจ้าวจื่อซินพูดถ้อยคำนั้น เฉินเทียนหยูกลับนั่งลงทันทีอย่างเรียบร้อย จากนั้นหยิบตะเกียบขึ้นเองและกินอาหาร
มู่หรงฉิงเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ นางเพียงรู้สึกว่าจิตใจของนางว่างเปล่า เมื่อสบกับสายตาอันเ็าของจ้าวจื่อซิน เหมือนกับโดนคนจำนวนนับไม่ถ้วนหัวเราะเยาะก็มิปาน
เหอะ! น่าสนใจ! มันน่าสนใจจริงๆ! เห็นๆ อยู่ว่าเ้าคนโง่งมคนนี้สามารถกินอาหารได้ด้วยตัวเอง แต่กลับทำให้นางกลายเป็คนโง่เสียแล้ว!
มู่หรงฉิงกำลังคิดว่าเฉินเทียนหยูโง่จริงๆ หรือแกล้งทำเป็โง่กัน? นางเพียงรู้สึกว่านางกลายเป็ตัวตลกภายใต้สายตาอันเยือกเย็นของจ้าวจื่อซิน ความรู้สึกนั้นทำให้นางซึมเศร้าถึงกับบรรยายเป็คำพูดไม่ถูก
นางยกตะเกียบขึ้นพลางเก็บกดอารมณ์ซึมเศร้าเ่าั้ไว้ พยายามคีบข้าวเข้าปาก นางแน่ใจว่าถ้านางไม่ทำเช่นนั้น นางคงจะสูญเสียมารยาทอันงดงาม ด้วยการใช้คำหยาบก่นด่าเฉินเทียนหยูและจ้าวจื่อซิน
น่าตลกใช่หรือไม่? เห็นเฉินเทียนหยูเล่นงานนาง มันน่าตลกใช่หรือไม่? หรือว่าจ้าวจื่อซินก็เป็คนโง่ด้วยหรือ? เขามองนางด้วยสายตาเ็า คิดว่านางเป็คนโง่เง่าเช่นนั้นหรือ?
มู่หรงฉิงคีบข้าวเข้าปากด้วยความเร็ว เฉินเทียนหยูที่กำลังคีบผักมองมาอย่างสงสัย เขาหยุดคีบผัก ก้มหน้าและยัดข้าวเข้าปากตามการกระทำของมู่หรงฉิงเช่นเดียวกัน
ก่อนที่มู่หรงฉิงจะตระหนักถึงพฤติกรรมของเฉินเทียนหยู เขาได้ยัดข้าวเข้าปากไปหนึ่งชามแล้ว แต่ตะเกียบยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในชามเปล่า เสียงตะเกียบกระทบกับชามนั้นรุนแรงมากถึงกับแสบแก้วหู
“เอื๊อก…”
หลังจากเรอ เฉินเทียนหยูก็หยุดขุดชามเปล่า วางตะเกียบลงแล้ววิ่งไปหาจ้าวจื่อซิน กางมือทั้งสองข้างออก “กินข้าวแล้ว เอาผลไม้มาให้ข้า!”
จ้าวจื่อซินหยิบผลไม้ออกมา ก่อนโยนให้เฉินเทียนหยูโดยไม่ได้พูดอะไร จากนั้นเขาก็หันศีรษะออกไปด้านนอกหน้าต่างและไม่มองเฉินเทียนหยูอีกต่อไป
เฉินเทียนหยูรับผลไม้อย่างมีความสุข และวิ่งกลับไปยังด้านข้างมู่หรงฉิง “จ้าวจื่อซินเป็คนดีมาก ตราบใดที่ข้ากินข้าวดีๆ เขาก็จะให้ผลไม้ให้ข้ากินหนึ่งผล”
ปรากฏว่าเป็เช่นนี้นี่เอง
“น้องหญิงรีบกินข้าวสิ หลังจากกินข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราเข้าห้องหอกัน” เฉินเทียนหยูกัดผลไม้พลางพูดกับมู่หรงฉิงอย่างคลุมเครือ
“แคก แคก แคก…” มู่หรงฉิงกำลังตักอาหารเข้าปาก ได้ยินดังนั้นนางก็สำลักและไออย่างรุนแรง
มู่หรงฉิงไอจนทำให้ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็สีแดงก่ำ แต่เฉินเทียนหยูกลับมองไปที่ผิวหน้าซึ่งค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็สีแดงเข้มของมู่หรงฉิงอย่างสงสัย จากนั้นเขาก็วางผลไม้ลงบนโต๊ะและรินน้ำชาใส่ถ้วยชา ก่อนวางลงในมือของมู่หรงฉิง
มู่หรงฉิงไออย่างรุนแรงจนลืมที่จะรินน้ำชา เมื่อเห็นเฉินเทียนหยูรินน้ำชาและส่งมาให้จึงจิบชาเล็กน้อย จังหวะเดียวกันเฉินเทียนหยูก็ตบแผ่นหลังของมู่หรงฉิงเบาๆ ด้วยมือข้างหนึ่ง เขายังพูดอย่างต่อเนื่องว่า “ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องกังวล ดื่มน้ำ หายใจเข้าลึกๆ”
หลังจากหายใจเข้าออก มู่หรงฉิงก็ใกับพฤติกรรมของเฉินเทียนหยู นางรู้สึกประหลาดใจอย่างสุดจะพรรณนา การกระทำของเขาคล้ายกับแม่นมจิ่นเป็อย่างมาก
วันนี้นางก็สำลักอาหารเหมือนกัน และแม่นมจิ่นก็ทำอย่างที่เขาทำเช่นเดียวกัน
เฉินเทียนหยูเป็คนที่มีความทรงจำดีเลิศจริงๆ แม้กระทั่งรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เขาก็จำได้ ทั้งยังสามารถทำได้อย่างเป็ธรรมชาติมาก
ครั้นเห็นมู่หรงฉิงไม่ไออีกต่อไป เฉินเทียนหยูจึงหยิบผลไม้ขึ้นมาด้วยความปีติยินดี ก่อนแทะด้วยความเพลิดเพลิน
นี่... มู่หรงฉิงไม่สามารถบอกได้ว่า เฉินเทียนหยูคนนี้โง่จริงๆ หรือแกล้งทำเป็โง่?
หลังจากทานอาหารไปครึ่งชั่วยาม และสาวใช้ทำความสะอาดบนโต๊ะเรียบร้อย เฉินเทียนหยูก็จับมือของมู่หรงฉิงไปยังเตียงอย่างมีความสุข “น้องหญิงกินข้าวแล้ว พวกเราเข้าห้องหอกัน!”
ด้วยรูปลักษณ์ที่มีความสุขของเฉินเทียนหยู บวกรวมกับการพูดของเขาซึ่งเหมือนกับการทุ่มเถียงกับเด็กเพื่อร้องหาขนม มู่หรงฉิงถึงกับทำอะไรไม่ถูกก่อนหันไปพูดกับจ้าวจื่อซินผู้ซึ่งยืนอยู่ด้านข้างหน้าต่าง “ค่ำแล้ว เ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ”
ทว่าจ้าวจื่อซินกลับมองตอบกลับมาโดยปราศจากอารมณ์ใดๆ และสิ่งที่เขาพูดทำให้มู่หรงฉิงประหลาดใจ “เ้าแน่ใจหรือว่าจะให้ข้าออกจากห้องนี้?”
คำพูดของจ้าวจื่อซินช่างแปลกพิกล นั่นทำให้มู่หรงฉิงตกตะลึงก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็ความโมโห นางมักจะรู้สึกว่านางเป็คนอารมณ์ดีมาก แต่จู่ๆ วันนี้นางก็เคืองโกรธจ้าวจื่อซินถึงสองสามครั้ง
เด็กสาวเหลือบสายตามองไปรอบๆ ห้อง เนื่องจากเฉินเทียนหยูใช้คำพูดรุนแรงกับสาวใช้ และไล่พวกนางออกไป อีกสาเหตุหนึ่งที่มู่หรงฉิงไม่กล้าปล่อยให้สาวใช้อยู่ในห้อง เพราะกลัวว่าเมื่อเฉินเทียนหยูคลุ้มคลั่งขึ้นมา เขาก็จะฆ่าพวกนาง
สาวใช้ทุกคนออกไปแล้ว แต่จ้าวจื่อซินคนนี้ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่ตรงนั้น ทว่าถึงเวลาพักผ่อนแล้ว มู่หรงฉิงจึงไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมเขาถึงต้องอยู่ที่นี่?
แม้นางจะไม่เคยคิดที่จะเข้าห้องหอกับคนโง่งม แต่ท้ายที่สุดจ้าวจื่อซินก็เป็ผู้ชาย ถ้าเขาอยู่ในห้องหอของคู่บ่าวสาวในคืนวันแต่งงาน เกรงว่าพรุ่งนี้ตื่นขึ้นมา ข้อกล่าวหาที่ว่านางยั่วยวนคนและไม่รักษาศีลธรรมของผู้หญิง มันจะกลายเป็จริงเสียแล้ว
“ออกไปเถอะ ที่นี่ไม่จำเป็ต้องให้เ้ารับใช้แล้ว” ยิ่งคิดถึงเื่นั้นมากเท่าไร นางก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด น้ำเสียงของมู่หรงฉิงจึงยิ่งเ็าลงเล็กน้อย
ผู้ชายคนนี้ ช่างไร้เหตุผลจริงๆ!
มู่หรงฉิงคิดว่าจ้าวจื่อซินจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่นึกเลยว่า จ้าวจื่อซินเพียงแค่ชำเลืองมองนางด้วยสายตาปราศจากอารมณ์ จากนั้นก็ก้าวเท้าเดินออกไป ครั้นเดินไปถึงประตู จ้าวจื่อซินได้หันศีรษะกลับมา สายตาของเขาทำให้มู่หรงฉิงรู้สึกขุ่นเคืองเพิ่มมากขึ้น
สายตานั้นเหมือนกับการมองคนที่กำลังจะตายอย่างไรอย่างนั้น มันเป็สายตาดูถูกเหยียดหยามและมั่นใจ จนทำให้มู่หรงฉิงต้องหันไปอีกทางอย่างกะทันหัน เพื่อที่จะไม่ต้องเห็นสายตาขุ่นเคืองของแต่ละฝ่าย
ภายในห้องจึงเหลือเพียงสองคนเท่านั้น มู่หรงฉิงหันมองเฉินเทียนหยูอย่างประหม่า เมื่อครู่นางกำลังหงุดหงิด จึงไม่ได้คิดไตร่ตรองมากมาย ฉะนั้นตอนที่นางอยู่บนเตียงเดียวกับเฉินเทียนหยู นางถึงตระหนักได้ว่า คนตรงหน้าเป็คนที่อาจจะคลุ้มคลั่งได้ตลอดเวลา!
แต่ว่านางสั่งให้จ้าวจื่อซินออกไปแล้ว และนางไม่อาจเรียกจ้าวจื่อซินกลับมาได้อีก นางจึงได้แต่หวังว่า ยามค่ำคืนจะผ่านไปโดยสวัสดิภาพ...