ท่านอาจารย์วางโคมไฟลงข้างกาย แล้วพยุงนางลุกขึ้นช้าๆ เมื่อขึ้นไปขี่หลังอาจารย์ ความอบอุ่นระลอกหนึ่งก็ถูกส่งผ่านมายังร่างของเฟิ่งสือจิ่น ไออุ่นนั้นแทรกซึมเข้าไปในหัวใจและทุกอณูในร่างกาย นางยกมือขึ้นไปกอดคออาจารย์แน่น ยังคิดว่าตัวเองฝันอยู่
เสียงของอาจารย์ดังขึ้น “เ้ายังมีอาจารย์อยู่ทั้งคน กลับไปกับข้า”
ต่อให้ไม่มีอะไรเหลือ อย่างน้อยก็ยังมีอาจารย์ ยังมีเขาจื่อหยาง แค่คำพูดนี้ก็เพียงพอจะปลอบประโลมหัวใจที่ได้รับาเ็จนบอบช้ำของนางได้แล้ว นางซบใบหน้าลงบนแผ่นหลังกว้าง น้ำตาที่ไหลออกมาอย่างสงบทิ้งรอยกระดำกระด่างเอาไว้บนเสื้อสีเขียวของท่านอาจารย์
อาจารย์หันกลับไปมองซอยมืด พลางถามด้วยเสียงแ่เบา “เ้าเป็คนฆ่าคนพวกนั้นหรือ?”
สักพักเฟิ่งสือจิ่นจึงพูดตอบ “พวกเขาคิดจะรังแกข้า”
ท่านอาจารย์นิ่งเงียบลง เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกแม้แต่คำเดียว เพียงถอยหลังกลับไปสองก้าว ใช้มือข้างหนึ่งพยุงร่างของเฟิ่งสือจิ่นเอาไว้ แล้วยื่นมืออีกข้างล้วงเข้าไปในชายเสื้อขนาดใหญ่ของตน เพียงไม่นานก็หยิบขวดยาขนาดเล็กขวดหนึ่งออกมา นิ้วเรียวยาวดันจุกที่อุดอยู่เหนือปากขวดออก จากนั้นจึงเทผงยาลงจนทั่วศพทั้งสามศพ ไม่นานก็มีเสียงเผาไหม้ดังขึ้น กลิ่นเหม็นเน่าที่ชวนให้อาเจียนผสมกับกลิ่นไหม้และกลิ่นคาวเืลอยโชยมา ท่านอาจารย์ที่อยู่ใกล้ที่สุดมีใบหน้าเรียบเฉย ราวสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับเขา เขายืนมองด้วยสายตาเ็า มองดูศพเ่าั้ย่อยสลายจนกลายเป็กองเื ท้ายที่สุด ศพทั้งสามก็ไม่เหลือแม้แต่กระดูก
สายฝนซัดกระหน่ำลงมาทั้งคืน เมื่อฟ้าสาง ซอยแคบก็ไม่มีสิ่งใดเหลือแล้ว
อาจารย์แบกเฟิ่งสือจิ่นออกไปจากซอย เดินหายเข้าไปในม่านฝนโดยไม่หันกลับมามองข้างหลังอีก โคมไฟไม่อาจทนรับน้ำฝนที่สาดกระหน่ำลงมาได้ เปลวไฟไหวสั่นอยู่นาน ก่อนจะดับลงในที่สุด
ในขณะเดียวกัน ผู้ที่มีหน้าที่ตีฆ้องบอกเวลาเดินผ่านถนนหน้าซอย และตีฆ้องบอกเวลาสองยามพอดี
ผ่านไปไม่กี่วันอากาศบนเขาจื่อหยางก็กลับมาสดใสดังเดิม ลมอุ่นๆ ที่โชยพัด แสงแดดเจิดจ้ากับทิวทัศน์ที่งดงาม อากาศบนเขาอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไหว นกและแมลงน้อยใหญ่ร้องขับขานด้วยเสียงเสนาะหู ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ถือเป็แดน์ที่แท้จริง
ทว่าเฟิ่งสือจิ่นกลับยังไม่ได้สติ
ภายในห้องหลอมสมุนไพร เตาหลอมสมุนไพรขนาดใหญ่มีควันสีขาวลอยออกมาอย่างต่อเนื่อง นางนอนอยู่บนแคร่ซึ่งตั้งอยู่ติดกับหน้าต่าง แสงภายในห้องมืดสลัว ราวกับความฝันทว่าก็เหมือนความจริง นางหลับใหลอยู่เช่นนั้น ผิวสีขาวซีดคล้ายเป็แจกันโปร่งแสง ซึ่งสามารถมองทะลุเข้าไปเห็นเส้นเืที่กำลังเต้นอย่างแ่เบาภายในได้
หน้าต่างบานหนึ่งเปิดอยู่ สายลมหวิวพัดโชยเข้ามา ขับไล่ให้กลิ่นยาที่อบอวลอยู่ภายในห้องเจือจางลงไม่น้อย เงาของร่มไม้ใต้แสงตะวันทาบลงบนบานหน้าต่าง ก้านไม้โบกพลิ้วไปตามแรงลม ใบกลมๆ สีเขียวกับกลีบดอกสีขาวของต้นไหวร่วงลงมาจากต้นเป็ระยะ
จวินเชียนจี้พานางกลับมาที่เขาจื่อหยาง และใช้ความพยายามอย่างหนักกว่าจะรักษาชีวิตของนางเอาไว้ได้ แต่เพราะเขาไปถึงช้าเกินไป เมื่อเจอตัวเฟิ่งสือจิ่น พิษก็แทรกซึมเข้าไปในร่างกายและสมองของนางเสียแล้ว พิษของยาลืมรักส่งผลเสียต่อสมองของนางอย่างมหาศาล เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเฟิ่งสือจิ่นจะฟื้นเมื่อใด และเมื่อฟื้นขึ้นมาแล้ว อาการของนางจะเป็อย่างไร
ผ่านไปแรมเดือน สีหน้าของเฟิ่งสือจิ่นดูดีขึ้นมากแล้ว ในที่สุดนางก็ได้สติกลับมาอีกครั้ง จวินเชียนจี้นั่งอยู่ข้างแคร่นอน เขายกถ้วยยาเข้าไปป้อนให้นาง ในตอนแรก เฟิ่งสือจิ่นยังมีท่าทีสับสนงุนงง ราวยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อได้เห็นจวินเชียนจี้ จู่ๆ นางก็ประกายรอยยิ้มออกมา ดวงตาคมคู่นั้นช่างแลดูงดงาม ดั่งดาราที่เปล่งประกายที่สุดในราตรี แม้แต่ทิวทัศน์บนเขาจื่อหยางก็ยังเทียบชั้นไม่ได้ นางพูดด้วยรอยยิ้ม ดวงตาที่มองมายังเขาเปล่งประกายระยิบระยับ “ซูกู้เหยียน เ้ามาเยี่ยมข้าแล้วหรือ?”
จวินเชียนจี้ชะงักลงชั่วขณะ เขาใช้ช้อนตักยาเข้าไปป้อนให้ถึงปาก “อืม... รีบกินยาเถอะ”
เฟิ่งสือจิ่นยอมดื่มยาแต่โดยดี ทว่าที่ปากกลับพูดขึ้น “ข้าแค่แช่อยู่ในทะเลสาบนานเกินไปหน่อย ท่านหมอบอกว่าข้าเพียงเป็หวัดเท่านั้น ไม่ได้เป็อะไรมาก แล้วเ้าล่ะ เ้าเองก็ะโเข้าไปในทะเลสาบเหมือนกันนี่ เป็อะไรหรือไม่?”
ใบหน้าหล่อเหลาของจวินเชียนจี้ขมวดขึ้นเล็กน้อย ดวงตาคู่นั้นลึกล้ำจนยากจะแกะความหมาย เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้น “ข้าไม่เป็ไร”
เพราะได้รับาเ็ที่หัว ร่างกายจึงได้รับผลกระทบไปด้วย นางใช้ชีวิตราวกับคนสติไม่ดีนานถึงสามปี นางเข้าใจผิด คิดว่าจวินเชียนจี้ก็คือซูกู้เหยียน ทว่าในสายตาของนาง ตอนนี้ซูกู้เหยียนก็เป็แค่ชื่อหนึ่งเท่านั้น นางไม่รู้ว่ามันเป็ตัวแทนของอะไร และหมายถึงอะไรกันแน่ เมื่อเวลาผ่านไป นางก็พูดถึงชื่อนี้น้อยลงทุกที ท้ายที่สุด แม้แต่ชื่อ ‘ซูกู้เหยียน’ ก็ถูกลืมเลือนจนหมดสิ้น
สามปีต่อมา
เฟิ่งสือจิ่นราวเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝัน
่บ่าย เฟิ่งสือจิ่นที่นอนหนุนตักจวินเชียนจี้ตื่นจากหลับใหล พบว่าจวินเชียนจี้กำลังนั่งพิงต้นไหวและหลับตาพริ้ม เขาเชิดคางขึ้น นางจึงเห็นโครงหน้าของเขาเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ขนตาดกดำเป็ดั่งร่มไม้ที่ทอดเงาลงเบื้องล่าง ใบหน้าขาวซีดและเนียนใส
นางฉวยโอกาสตอนที่จวินเชียนจี้ยังไม่ตื่น รีบเช็ดคราบน้ำลายออกไปจากหัวเข่าของเขา ร่างใหญ่และร่างเล็ก ลูกศิษย์กับอาจารย์อยู่ในชุดสีเขียวอ่อนเหมือนกัน ให้ความรู้สึกเหมือนทั้งสองกลายเป็หนึ่งเดียวกันทุกประการ
ทันทีที่ลืมตา จวินเชียนจี้ก็เห็นรอยยิ้มประจบของเฟิ่งสือจิ่นทันที นางบอก “ท่านอาจารย์ ตื่นแล้วหรือ คอแห้งหรือไม่ ศิษย์ไปชงชาให้ดีไหม”
พูดจบเฟิ่งสือจิ่นก็ลุกขึ้นยืนทันที เพราะสมองได้รับการฟื้นฟูแล้ว ร่างกายจึงคล่องแคล่ว กระฉับกระเฉงไปด้วย นางฝึกวิชากับท่านอาจารย์บนเขา และได้เข้าไปหลอมสมุนไพรด้วยตัวเองบ้างเป็บางครั้ง ซึ่งไม่ต่างไปจากแต่ก่อน จวินเชียนจี้มองนางวิ่งเข้าไปในอาคาร เพียงไม่นาน นางก็กลับมาอีกครั้งพร้อมกับกาน้ำชาที่ส่งกลิ่นหอมละมุน
่บ่าย คนจากในวังขึ้นมาบนเขาจื่อหยางด้วยท่าทางรีบร้อน พวกเขาบอกกับจวินเชียนจี้อย่างเคารพนอบน้อม “ท่านราชครูบำเพ็ญเพียรบนเขาจื่อหยางจนครบกำหนดหนึ่งปีกับอีกสี่เดือนแล้ว ไม่ทราบว่ามีความคืบหน้าบ้างหรือไม่?”
จวินเชียนจี้มองเตาหลอมสมุนไพรที่ตั้งอยู่เื้ั “อีกไม่กี่วัน ยาก็ออกจากเตาได้แล้ว”
ขันทีเฒ่าพูดขึ้น “บ่าวมาที่นี่เพื่อถ่ายทอดพระราชโองการของฝ่าา ให้ท่านราชครูรีบเดินทางกลับเมืองหลวงโดยเร็ว พักเื่ยาะเอาไว้ก่อน ตอนนี้ในวังมีเื่ด่วน ท่านราชครู โปรดกลับไปพร้อมกับบ่าวเถิด ั้แ่การคัดเลือกสนมที่จัดขึ้นในปีก่อนจบลง ฝ่าาก็โปรดปรานและเป็ห่วงพระสนมอวี๋มาโดยตลอด ฝ่าามีพระพลานามัยแข็งแรง แต่พระสนมอวี๋กลับร่างกายไม่สู้ดีนัก เมื่อไม่นานมานี้ พระสนมอวี๋บอกว่าเห็นผีในพระราชวัง ฝ่าาจึงอยากให้ราชครูกลับไปกำจัดสิ่งชั่วร้ายในวังโดยเร็ว”
จวินเชียนจี้เป็ราชครูที่อายุน้อยและมีอำนาจมากที่สุดของแคว้นจิ้น เพื่อปรุงยาะให้ฝ่าา เขาจึงปลีกตัวมาบำเพ็ญเพียรอยู่บนเขาจื่อหยางนานนับหกปี ตอนนี้ ถึงเวลาที่ต้องกลับไปแล้ว
จวินเชียนจี้สั่งให้เฟิ่งสือจิ่นอยู่บนเขาต่ออีกสองถึงสามวัน เมื่อยาเสร็จสมบูรณ์ นางค่อยเอายาออกมาจากเตาแล้วไปหาเขาที่เมืองหลวง ทางด้านของจวินเชียนจี้ เขาจะล่วงหน้าไปที่เมืองหลวงพร้อมกับขันทีที่มารับเลย
เขาจื่อหยางมีจวินเชียนจี้กับเฟิ่งสือจิ่นอยู่กันแค่สองคน นอกจากนี้ก็คงจะเหลือแต่กระต่ายที่เฟิ่งสือจิ่นจับมาจากในป่าและเลี้ยงเอาไว้ โดยตั้งชื่อให้มันว่า ‘เ้าสามมัด’ เท่านั้น คิดไม่ถึงว่าเมื่อจวินเชียนจี้ไปจากเขาจื่อหยาง ท้องฟ้าที่เคยสดใสก็มืดครึ้มลงทันตา สายฝนร่วงหล่นลงมาอีกครั้ง เฟิ่งสือจิ่นกับเ้าสามมัดใช้ชีวิตอย่างเงียบเหงาบนเขาจื่อหยางนานหลายวัน จนกระทั่งยาะเสร็จสมบูรณ์
เฟิ่งสือจิ่นนำยาะออกมาจากเตา นางเก็บมันเอาไว้อย่างระมัดระวัง ก่อนจะเก็บข้าวของ แล้วเดินทางลงจากเขาในที่สุด
ยาะเป็ยาที่ถูกปรุงขึ้นเพื่อองค์จักรพรรดิโดยเฉพาะ ซึ่งท่านอาจารย์จะเป็ผู้ปรุงมันด้วยตนเอง ฝ่าาฝักใฝ่เื่การเป็เทพเซียน และ้าความเป็ะ แม้จะเป็เื่ที่เกินความเป็จริงไปหน่อย แต่หลายปีมานี้ เพราะยาของท่านอาจารย์ ฝ่าาจึงมีพระพลานามัยแข็งแรงตลอดมา เื่การมีอายุยืนยาวจึงไม่ไกลเกินเอื้อมสักเท่าใด
เพราะฝ่าาให้ความสำคัญและเชื่อมั่นในตัวของราชครูเป็อย่างมาก จึงให้ท่านราชครูเป็ผู้ดูแลเื่พิธีกรรม และพระราชพิธีต่างๆ ทั้งหมด
เฟิ่งสือจิ่นสวมหมวกคลุมกับเสื้อกันฝน นางเก็บยาะและเ้าสามมัดเอาไว้ใต้เสื้อกันฝน แล้วหันไปล็อกห้องหลอมสมุนไพรกับห้องต่างๆ เมื่อทำเสร็จจึงฝ่าสายฝนลงไปจากเขาจื่อหยางอย่างไม่ลังเล