เฟิ่งสือหนิงสงบสติอารมณ์ลง นางพูดขึ้น “สือจิ่น ลืมเขาเสียเถอะ เขาไม่ได้รักเ้าแม้แต่น้อย หากเ้าลืมเขาได้ นั่นจะเป็ผลดีต่อพวกเราทุกคน” นางยื่นมือเป็สัญญาณไปยังหญิงรับใช้ ไม่นาน หญิงรับใช้ก็นำห่อกระดาษแผ่นเล็กๆ มาให้ นางเปิดห่อกระดาษออก ด้านในเป็ผงปริศนาบางอย่าง “นี่เป็ยาลืมรักที่ข้าสั่งให้คนไปหามาเพื่อเ้าโดยเฉพาะ ผู้ที่ปรุงยานี้ขึ้นบอกว่ายาชนิดนี้มีพิษผสมอยู่ แต่หากเ้าทนผ่านมันไปได้ ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง” เฟิ่งสือหนิงยื่นผงยาไปที่ปากของเฟิ่งสือจิ่นด้วยสีหน้าราบเรียบ นางในตอนนี้ไม่ต่างไปจากปีศาจที่ทั้งเืเย็นและอำมหิต “มา... กินมันเข้าไป พรุ่งนี้ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง เ้ามีจิตใจแข็งแกร่ง ต้องทนผ่านมันไปได้แน่ เมื่อถึงตอนนั้น ข้าจะปล่อยเ้าไป และเ้าก็สามารถไปที่ใดก็ได้ตามที่เ้า้า... แต่ถ้าเ้าทนผ่านมันไปไม่ได้ เช่นนั้น เ้าคงไม่ได้เห็นแสงตะวันของรุ่งเช้าแล้ว แบบนั้น ก็ถือเสียว่าเป็การชดใช้ให้ชีวิตของคนเหล่านี้ที่เ้าฆ่าตายก็แล้วกัน”
หญิงรับใช้บีบใบหน้าของเฟิ่งสือจิ่นเพื่อบังคับให้นางอ้าปากขึ้น นางมองผงยาที่กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พลางส่ายหน้าอย่างสุดชีวิตเพื่อหลบเลี่ยงมัน “เ้ายังอยาก... ให้ข้าตายไม่เปลี่ยนเลยนะ...” นางพูดขึ้นอย่างยากลำบาก
“หากข้าอยากให้เ้าตายจริงๆ คงไม่เหลือแม้แต่โอกาสให้เ้ารอดชีวิตกลับไปได้ด้วยซ้ำ” เฟิ่งสือหนิงบอก “ถ้าลืมกู้เหยียนได้ นอกจากเ้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว ความเ็ปที่เ้าเคยแบกรับก็จะลดลงด้วย”
“ปล่อยข้า... ข้าไม่กิน!”
“เ้าต้องกิน!” เฟิ่งสือหนิงออกคำสั่งโดยไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายปฏิเสธ “มีแค่วิธีนี้ พวกเราสามคนถึงจะหลุดพ้นได้อย่างแท้จริง!”
“ทำไมเ้าถึงอยากให้ข้าลืมเขานัก...”
“เพราะเขาเป็สามีของข้า และข้าก็ไม่มีทางปล่อยให้ผู้หญิงคนอื่นอาลัยอาวรณ์ ซ้ำยังจ้องจะแย่งสามีของข้าไปทุกเมื่อเช่นนี้ ต่อให้คนคนนั้นจะเป็น้องสาวแท้ๆ ของข้าก็ตาม”
เฟิ่งสือจิ่นถีบขาอย่างบ้าคลั่ง หญิงรับใช้ทั้งสองคนจึงกดร่างของนางให้แนบติดกับพื้น และจับแขนขาของนางเอาไว้แน่น เฟิ่งสือหนิงเองก็ไม่มีเวลามาสนเื่กิริยามารยาทอีกต่อไป นางเข้ามานั่งขี่เฟิ่งสือจิ่น บีบให้อีกฝ่ายอ้าปาก แล้วยัดผงยาเข้าไปในนั้นอย่างไม่ยั้งมือ “ต่อให้ตอนนี้เ้าจะโกรธหรือแค้นข้ามากแค่ไหน แต่ถ้าเ้ายังมีชีวิตอยู่จนถึงวันพรุ่งนี้ เ้าก็จะลืมทุกสิ่งเอง หรือต่อให้เ้าตาย ข้าก็ไม่กลัวว่าเ้าจะไปหาท่านแม่ แล้วเล่าเื่ที่ข้าทำให้ท่านแม่ฟังหรอกนะ อย่าลืมสิว่าแม่ของข้าตายเพราะอะไร!”
เฟิ่งสือจิ่นหยุดดิ้น นางเบิกตากว้าง พลันน้ำตาก็ไหลทะลักออกมาจากดวงตาสีดำขลับที่เศร้าสลดคู่นั้น นางขยับลำคอเบาๆ และกลืนผงยาที่แห้งติดอยู่ภายในลำคอเข้าไปอย่างยากลำบาก เฟิ่งสือหนิงเห็นดังนั้นจึงปล่อยนาง แล้วลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
เพียงไม่นานยาก็เริ่มออกฤทธิ์ เฟิ่งสือจิ่นคลานหมอบอยู่บนพื้นดิน พลางขยับร่างกายที่ชักเกร็งอย่างเ็ป นางรู้สึกปวดหัวเหลือเกิน รู้สึกเหมือนร่างกายกำลังจะะเิอยู่แล้ว
เสียงระคายหูของเฟิ่งสือหนิงดังแว่วขึ้น “เลิกคิดได้แล้ว หากเ้าเลิกคิดถึงซูกู้เหยียน ความเจ็บก็จะหายไปเอง กลับกัน ยิ่งเ้าคิดถึงเขามากเท่าไร ความเจ็บก็จะเพิ่มพูนมากขึ้นเท่านั้น... วิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้เ้าหลุดพ้นจากความทรมานก็คือการลืมเขาไปตลอดกาล ลืมเขาเสียเถอะ...”
เฟิ่งสือจิ่นกุมหัวพลางดิ้นทุรนทุราย รู้สึกเหมือนแมลงกำลังมุดเข้าไปในหัวตัวแล้วตัวเล่าเพื่อกลืนกินความทรงจำที่ฝังอยู่ในสมอง เพราะทนเจ็บไม่ไหว นางจึงโขกหัวลงบนพื้นอย่างบ้าคลั่ง เสียงกระทบหนักๆ ดังขึ้นซ้ำๆ ก่อนเืสดจะกระอักออกมาทางริมฝีปากบาง
เฟิ่งสือหนิงกล่าวเตือน “อีกเดี๋ยวเ้าจะรู้สึกดีขึ้นเอง จงไปจากที่นี่ก่อนที่ฟ้าจะสว่าง ต่อไปทุกสิ่งที่นี่จะไม่มีความเกี่ยวข้องกับเ้าอีก”
ในขณะที่เฟิ่งสือหนิงเตรียมจะเดินจากไป จู่ๆ เฟิ่งสือจิ่นก็เอื้อมมือเข้าไปดึงชายกระโปรงของนางเอาไว้ เฟิ่งสือหนิงหันกลับมามอง พบว่าริมฝีปากสีแดงเข้มของเฟิ่งสือจิ่นยกขึ้นเบาๆ นางแสยะยิ้มออกมา แต่เพราะความเ็ป จึงพูดอะไรออกมาไม่ได้ ได้แต่หอบหายใจและชักเกร็งอยู่แบบนั้น
เฟิ่งสือหนิงนั่งลง นางแกะนิ้วมือของเฟิ่งสือจิ่นออกจากชายกระโปรงทีละนิ้วๆ ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่หันกลับมาอีก เฟิ่งสือจิ่นจิกนิ้วลงบนพื้น นางกัดฟันกรอด พลางส่งเสียงคำรามต่ำออกมา “ข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อ... และจะทำให้เ้าได้ลิ้มรสของความสูญเสียบ้าง...”
ท้ายที่สุดเฟิ่งสือหนิงก็ไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง นางเดินออกไปจากซอยเปลี่ยวด้วยท่าทางสง่างามไม่ต่างไปจากตอนมา โคมไฟรอบๆ เกี้ยวโยกแกว่งไปตามแรงลม ทว่ายังส่องแสงริบหรี่ให้เห็น เมื่อนางกลับขึ้นไปบนเกี้ยว ขบวนรถก็ออกเดินทางอีกครั้ง มันค่อยๆ ห่างออกไป จนหายไปจากรัศมีสายตาของเฟิ่งสือจิ่นในที่สุด
นางยื่นมือออกไป อยากคว้าแสงระลอกสุดท้ายเอาไว้ แต่ท้ายที่สุดก็ทำไม่ได้ ได้แต่มองดูแสงนั้นหายไปต่อหน้าต่อตา
บางที สิ่งที่ดับลงอาจไม่ใช่แสง แต่เป็ความหวังของนางต่างหาก
ซอยเล็กกลับเข้าสู่ความมืดมิด มืดจนมองไม่เห็นแม้แต่มือของตัวเอง เฟิ่งสือจิ่นหอบหายใจด้วยความเ็ปทรมาน สิ่งที่อยู่เป็เพื่อนนาง มีเพียงศพที่เย็นะเืสามศพเท่านั้น
นางนอนแน่นิ่งไม่ต่างไปจากคนตาย ไม่รู้ว่าเป็สายฝนหรือเืกันแน่ที่ทำให้เสื้อผ้าบนร่างกายเปียกปอน นางรู้แค่ว่าบัดนี้ ช่างเหน็บหนาวเหลือเกิน เล็บยาวถูกจิกลงบนพื้นแรงๆ และทิ้งรอยเืที่น่าสยดสยองเอาไว้ ในขณะเดียวกัน สติของนางค่อยๆ เลือนรางลงเรื่อยๆ นางรู้สึกสะลึมสะลือ คล้ายทั้งหมดเป็แค่ความฝัน ทว่าก็เป็เหมือนภาพฝันสุดท้ายก่อนตายเช่นนั้น นางรับรู้ได้ถึงเหตุการณ์ในตอนนี้อย่างชัดเจน แต่ก็เหมือนทุกสิ่งพร่ามัวจนไม่อาจจับต้องได้
จู่ๆ เฟิ่งสือจิ่นก็ร้องไห้ออกมาอย่างหมดหวัง
จำได้ว่าในฤดูหนาวปีนั้นก็มีฝนตกลงมาเช่นกัน น้ำในทะเลสาบก็หนาวเย็นไปถึงกระดูกไม่ต่างไปจากตอนนี้ จำได้ว่าผิวน้ำมีน้ำแข็งชั้นบางๆ ปกคลุมอยู่ด้วย นางตกลงไปในทะเลสาบ เพราะคิดว่าไม่มีใครมาช่วยแน่ๆ นางจึงคิดว่าคงไม่รอดแล้ว แต่ในตอนที่นางกำลังจะหมดลมหายใจ กลับเห็นชายที่เป็ดั่งเทพเ้าชุดขาวปรากฏขึ้นเหนือทะเลสาบ เส้นผมสีดำเงาที่งดงามไม่ต่างไปจากผ้าแพรชั้นดีลอยพลิ้วอยู่ในน้ำ ผมสีดำที่ตัดกับชุดสีขาวช่างดูสวยงามจนน่าใ ใบหน้าที่สมบูรณ์แบบราวกับภาพวาดของคนผู้นั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ท้ายที่สุดคนผู้นั้นก็กอดนางเอาไว้ แล้วพานางว่ายขึ้นไปเหนือน้ำ
ต่อมานางถึงได้รู้ว่าคนผู้นี้ก็คือองค์ชายสี่-ซูกู้เหยียนนั่นเอง
ซูกู้เหยียนบอกว่า... ผลไม้ชุบน่าจะเป็ของที่ผู้หญิงอย่างพวกเ้าชอบกินกัน หวานหรือไม่?
ซูกู้เหยียนบอกว่า... กริชนี้ข้าให้ เอาไว้ป้องกันตัว อย่างน้อยก็ช่วยข่มขวัญคู่ต่อสู้ได้บ้าง หากอีกฝ่ายยังหาเื่ไม่เลิก เ้าก็ใช้กริชเล่มนี้สั่งสอนมันไปเลย หากเกิดอะไรขึ้นตามมา ข้าจะจัดการแทนเ้าเอง
ซูกู้เหยียนบอกว่า... ให้ข้าส่งเ้ากลับบ้านเถอะ
ซูกู้เหยียนยังบอกอีกว่า... อย่ากลัวไปเลย ต่อไป ข้าจะปกป้องเ้าเอง... เื่ราวทั้งหมดนี้ แม้นางจะเหลือเพียงตัวคนเดียวแล้ว แต่ก็ยังไม่อยากลืมมันไปอยู่ดี เฟิ่งสือจิ่นลืมตา เืข้นทำให้นางรู้สึกเหนียวและคาวไปทั่วปาก แต่ถึงกระนั้น นางก็ยังขยับปากขึ้นอย่างแ่เบา พลันน้ำตาก็ไหลออกมาเป็สาย ไหลผ่านปลายจมูกและหยดลงไปบนพื้น นางร้องเรียกด้วยเสียงแ่เบา “ซูกู้เหยียน... อย่าฝันไปเลยว่าข้าจะลืมเ้า...”
จู่ๆ ก็มีสายลมพัดเข้ามา ลมที่ทั้งเย็นและชื้นแบกเอากลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไหวมาด้วย เหมือนเป็กลิ่นที่มาจากดอกไหวซึ่งตกอยู่เต็มถนนหลังฝนตกในเมืองหลวง ทว่าก็เหมือนกลิ่นที่ถูกพัดข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากเขาจื่อหยาง...
เฟิ่งสือจิ่นยังจำได้ดีว่าตอนที่อยู่บนเขาจื่อหยาง สิ่งที่นางชอบมากที่สุดก็คือดอกไหวที่บานอยู่เต็มเขา อาจารย์มักจะนั่งทำสมาธิใต้ต้นไหวอยู่เป็ประจำ ร่างของเขาจึงมีกลิ่นละมุนติดอยู่เสมอ
“อาจารย์...” เฟิ่งสือจิ่นพยายามเงยหน้าขึ้นเพื่อมองออกไปข้างหน้า ซอยอันมืดมิดคล้ายมีแสงรำไรส่องประกายให้เห็น ภายใต้แสงริบหรี่ ร่างสูงใหญ่ค่อยๆ เดินใกล้เข้ามา ร่างนั้นสวมชุดคลุมขนาดใหญ่สีเขียวแก่ เส้นผมที่ทั้งยาวและตรงถูกมัดรวบด้วยเชือกสีเดียวกับเส้นผม มือข้างหนึ่งถือโคมไฟสีขาวเอาไว้ แสงจากโคมไฟส่องกระทบลงบนใบหน้าที่เป็ผู้ใหญ่และงามสง่าของเขา คนผู้นี้มีใบหน้าเย็นะเื ทุกท่วงท่าและการเคลื่อนไหวดูเป็เอกลักษณ์ ทว่าก็สูงส่งปานเทพเ้า ราวกับว่าชายคนนี้หลุดออกมาจากห้วงแห่งความฝันของนาง
เฟิ่งสือจิ่นคิดว่านี่ต้องเป็ภาพหลอน เป็ภาพลวงตาที่ตนสร้างขึ้นแน่ๆ เพียงแต่ ได้เห็นอาจารย์อีกครั้งก่อนตายก็ไม่เลวเหมือนกัน นางเบะปากคล้ายถูกใครรังแกมาเช่นนั้น “ท่านอาจารย์... ศิษย์ช่างไม่ได้เื่เอาเสียเลย ข้าไม่เหลืออะไรแล้ว...”