ในมือของทุกคนล้วนมีภาพวาดหนึ่งม้วน เห็นนางมองมา ผู้ที่ยืนอยู่หัวแถวหลายคนจึงพูดขึ้นว่า
“มองอะไรกัน ทุกคนล้วนมาเพื่อให้คุณชายมู่วาดภาพให้ทั้งสิ้น มาถึงก่อนได้ก่อน แจ่มแจ้งหรือไม่”
“อยากพบคุณชายมู่ ไปเข้าแถวข้างหลังโน่น!”
เฟิ่งเฉี่ยนตกตะลึง “คุณชายมู่ที่พวกเ้าพูดถึงก็คือ มู่ชิงเซียว คุณชายสามแห่งจวนมู่ไท่ฟู่ท่านนั้นใช่หรือไม่”
“ไร้สาระ! ทั่วทั้งเมืองมู่หยางยังจะมีคุณชายมู่คนที่สองอีกหรือ”
เฟิ่งเฉี่ยนยิ่งตกตะลึง “เขาเป็ที่ชื่นชอบของผู้คนถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
“แน่นอน! ภาพวาดของคุณชายมู่ต่อให้มีทองพันชั่งก็ยังยากจะหามาได้ ทุกคนล้วนมาเพื่อขอให้เขาวาดภาพทั้งนั้น!”
“คุณชายมู่อายุเจ็ดขวบเรียนวาดภาพ สิบสามขวบอาศัยภาพวาด《ม้าแห่งความสำเร็จ》เพียงภาพเดียวก็ได้รับการยอมรับจาก อู๋ต้าวจื่อ จิตรกรระดับเซียน และได้รับเขาเป็ศิษย์คนสุดท้าย นับแต่นั้นมาความสามารถในการวาดภาพของคุณชายมู่ก้าวไกลไปพันลี้ในวันเดียว ภาพวาดของเขาจึงยิ่งมีมูลค่าสูงขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้มีทองเป็พันชั่งก็ใช่ว่าจะหาซื้อได้!”
“ใช่แล้ว ที่จริงทุกคนล้วนมาเสี่ยงโชค จะได้ภาพวาดจากคุณชายมู่หรือไม่นั้น ยังต้องดูอารมณ์ของคุณชายมู่”
“วันนี้ข้ามาเข้าแถวั้แ่เช้าจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่เห็นคุณชายมู่!”
“ข้ามาั้แ่เมื่อคืน!”
“...”
ได้ยินทุกคนสนทนากัน เฟิ่งเฉี่ยนอดแลบลิ้นปลิ้นตาไม่ได้ นางไม่รู้มาก่อนเลยว่าที่แท้พี่ใหญ่มู่จะมีอีกมุมหนึ่งที่เก่งกาจเช่นนี้!
เป็ศิษย์คนสุดท้ายของปราชญ์ภาพวาด
ยากที่จะได้ภาพวาดมาสักภาพหนึ่งมาหรือ
นี่ใช่พี่ใหญ่มู่ผู้อ่อนน้อมถ่อมตนและขี้อายคนนั้นที่นางรู้จักหรือไม่
มีคนถือเทียบเชิญเดินเข้ามาในตอนนี้และทำทีจะก้าวเข้าไปในชุมนุมภาพวาด เฟิ่งเฉี่ยนรีบขวางเขาเอาไว้ “คุณชายท่านนี้ รบกวนท่านสักเื่!”
คนผู้นั้นหยุดชะงักแล้วหันมามองนางอย่างประหลาดใจ
เฟิ่งเฉี่ยน “รบกวนท่านเข้าไปแจ้งกับคุณชายมู่สักคำว่ามีแม่นางเฟิงท่านหนึ่งรอเขาอยู่ด้านนอกประตู”
คนผู้นั้นเหล่ตามองประเมินนางขึ้นๆ ลงๆ แล้วหัวเราะถากถาง “แม่นางเฟิงหรือ เ้าเป็แม่นางเฟิง[1] (เสียสติ) จริงๆ!”
พูดแล้วเขาก็เดินส่ายหน้าเข้าไปด้านใน
เฟิ่งเฉี่ยนเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าเขากำลังเยาะเย้ยถากถางว่านางเป็คนสติฟั่นเฟือนหรือ? นางจึงรีบเดินตามไป “ข้าเป็สหายของคุณชายมู่จริงๆ! ขอเพียงท่านช่วยข้าไปบอกความหนึ่งประโยค ข้ารับรองว่าจะให้เขาวาดภาพให้ท่านหนึ่งภาพ! คำพูดหนึ่งประโยคแลกเปลี่ยนกับภาพวาดหนึ่งภาพ คุ้มมากนะ!”
“คนสติฟั่นเฟือน!” คนผู้นั้นกลอกตาขาวใส่นางแล้วเดินเข้าไปในชุมนุมภาพวาดโดยไม่เหลือบแลนาง
เฟิ่งเฉี่ยนกลัดกลุ้มเหลือเกิน นางคิดไม่ถึงว่าจะพบหน้าพี่ใหญ่มู่สักครั้งจะยากเย็นกว่าเข้าเฝ้าฮ่องเต้เสียอีก!
มีเสียงของสตรีนางหนึ่งดังขึ้นจาก้าในตอนนี้เอง “หนึ่งประโยคแลกเปลี่ยนกับภาพวาดหนึ่งภาพ แม่นางพูดจริงหรือ”
เฟิ่งเฉี่ยนหันกลับไปถึงกับตกตะลึง
เห็นเพียงผู้ที่มาเป็สตรีอ่อนเยาว์นางหนึ่ง อายุราวๆ ยี่สิบปีอยู่ในชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อน ใบหน้ามีผ้าโปร่งสีขาวสะอาดชิ้นหนึ่งปิดอยู่ ดูงดงามและสูงศักดิ์ องคาพยพทั้งห้าบนใบหน้าของนางงดงามราวกับเป็ภาพวาดที่จิตรกรผู้มีชื่อเสียงวาดออกมาอย่างไรอย่างนั้น ทั้งเนื้อทั้งตัวเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของเทพเซียน ดวงตางามนั้นดึงดูดผู้คน ทั้งงดงามและมีไมตรี ทว่าสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเฟิ่งเฉี่ยนที่สุดก็คือดวงตาทั้งคู่ของนาง นางมีดวงตาอบอุ่นและใสบริสุทธิ์คู่หนึ่ง ทำให้คนรู้สึกดีต่อนางโดยไม่รู้ตัว
เฟิ่งเฉี่ยนตอบว่า “จริงแท้แน่นอน!”
แม่นางน้อยคลี่ยิ้มจางๆ “ได้ รอสักครู่!”
เฟิ่งเฉี่ยนมองตามสตรีนางนั้นและสาวใช้ของนางเดินเข้าไปในชุมนุมภาพวาด พร้อมกับได้ยินเสียงคนรอบข้างซุบซิบกัน
“ข้าจดจำนางได้ นางก็คือบุตรสาวของจงอี้โหว ท่านหญิงชิงเสีย”
“คือท่านหญิงชิงเสียที่ถูกทอดทิ้งในวันแต่งงานน่ะหรือ”
“ถูกต้อง คือนาง!”
“เกิดเื่อันใดขึ้น”
“พวกเ้าไม่รู้หรือ สามปีก่อนท่านหญิงชิงเสียได้หมั้นหมายกับบุตรชายคนโตของมหาเสนาบดีเฟิ่ง แต่ใครจะรู้ว่าเ้าบ่าวกับหนีตามกันไปกับหญิงโคมเขียวนางหนึ่งในวันแต่งงาน ท่านหญิงชิงเสียจึงกลายเป็เื่ตลกของคนทั้งเมืองมู่หยาง! และนับั้แ่นั้นมาจงอี้โหวและมหาเสนาบดีเฟิ่งจึงแตกคอกันอย่างสิ้นเชิง จนถึงตอนนี้ก็ยังเข้าหน้ากันไม่ติด!”
“บุตรชายคนโตของสกุลเฟิ่งเลวทรามเกินไป!”
“ท่านหญิงชิงเสียช่างน่าสงสาร!”
“ใครบอกว่าไม่ใช่เล่า”
ดวงตาเฟิ่งเฉี่ยนไหววูบ ในความทรงจำของนางดูเหมือนจะมีเื่เช่นนั้นเกิดขึ้น ตอนนั้นทั้งในวังและนอกวังต่างพากันโจษจันถึงเื่นี้ ด้วยเหตุที่บุรุษเลวทรามคนนั้นคือพี่ชายคนโตของฮองเฮา ดังนั้นฮองเฮาจึงต้องแบกหม้อดำเพราะเื่นี้ไปไม่น้อยทีเดียว
ที่แท้สตรีเมื่อสักครู่ก็คือท่านหญิงชิงเสีย เกือบจะได้เป็พี่สะใภ้ของนางแล้ว ได้ยินว่าจากนั้นมาท่านหญิงชิงเสียก็ไม่แต่งงาน พูดไปแล้วเป็ความผิดพลาดที่พี่ชายของนางก่อขึ้น!
ทว่าในความทรงของนาง พี่ใหญ่ เฟิ่งเทียนอี้ เป็คุณชายผู้มีนิสัยถ่อมตนและรู้มารยาทยิ่ง เขามีพร์โดดเด่นั้แ่เล็ก มีชื่อเสียงให้พูดถึงกันในวงกว้าง อีกทั้งแตกฉานรอบรู้ทั้งบุ๋นและบู๊ ไม่เหมือนคนที่จะทำเื่เหลวไหลเช่นนั้นออกมาได้...
เื่นี้มีความไม่ชอบมาพากล แต่นางไม่มีเวลามาใส่ใจ เพราะตอนนี้ต้องตามหาเบาะแสของแมวเทพสามหางให้ได้จึงจะเป็เื่สำคัญที่สุด!
รออยู่ครู่หนึ่ง ไม่เห็นมู่ชิงเซียวออกมา นางเริ่มร้อนใจ
คนที่ยืนเข้าแถวอยู่ด้านข้างอดที่จะเย้ยหยันนางไม่ได้
“แม่นาง ข้าขอเตือนเ้าว่าไปเข้าแถวด้านหลังจะดีกว่า! วิธีการนี้ของเ้ามีคนมากมายนำไปใช้ได้ แต่มันไม่ได้ผล!”
“ใช่แล้ว เสแสร้งอันใดกัน คิดว่าตนเองเป็สหายของคุณชายมู่จริงๆ หรือ ผีเท่านั้นแหละที่จะเชื่อ!”
“คุณชายมู่ไม่มีทางออกมาพบเ้าหรอก เ้าถอดใจเถิด!”
เฟิ่งเฉี่ยนยกยิ้มมุมปาก “หากคุณชายมู่ออกมาเล่า”
“หากคุณชายมู่ออกมา ข้าจะถอดเสื้อผ้าให้หมด แล้วเดินเปลือยกายรอบตลาด!”
“นับข้าด้วยคนหนึ่ง!”
“นับข้าด้วยเช่นกัน!”
“ฮ่าๆๆ!”
เฟิ่งเฉี่ยนรู้ว่าคนเหล่านี้ไม่มีเจตนาร้าย จึงหัวเราะเบาๆ ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ
ท่านหญิงชิงเสียเดินออกมาในตอนนี้ ที่ตามติดนางมายังมีมู่ชิงเซียวในอาภรณ์สีน้ำเงิน
กลุ่มคนที่เมื่อสักครู่เพิ่งจะเกลี้ยกล่อมผู้อื่นอยู่นั้นถึงกับตกตะลึง
“คุณชายมู่ออกมาจริงๆ หรือ!”
“นี่เป็ไปได้อย่างไร”
“ต้องใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้จึงจะได้ผลหรือ”
เฟิ่งเฉี่ยนไม่ได้ใส่ใจคำวิพากษ์วิจารณ์ของคนเ่าั้ นางเดินเข้าไปหามู่ชิงเซียว “พี่ใหญ่มู่ นับว่าตามหาท่านพบเสียที!”
หัวใจของมู่ชิงเซียวเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง!
เดิมทีคิดว่าคงไม่มีโอกาสได้พบหน้านางอีกแล้ว ใครเลยจะรู้ว่านางจะมาปรากฏกายตรงหน้าเขากะทันหันเช่นนี้ เขายังคิดว่าตนเองตกอยู่ในความฝัน
ในแววตาปรากฏให้เห็นความอบอุ่นอ่อนโยนและกระตือรือร้น ดูเหมือนไม่อยากจะเชื่อ เขามองนางนิ่งนาน ลืมกระทั่งจะพูดจา
เนิ่นนาน เขาจึงควบคุมหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความยินดี เขายิ้มอบอุ่น เรียกเสียงทุ้ม “เฉียนเฉี่ยน!”
คนรอบข้างเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาอีกครั้ง
“ที่แท้นางเป็สหายของคุณชายมู่จริงๆ!”
“ให้ตายเถอะ ข้าเพิ่งจะพูดว่าจะเดินเปลือยกาย”
“ใครพูดว่าจะเดินเปลือยกาย เ้าไม่มีอะไรทำใช่หรือไม่”
“หา ข้าไม่ได้พูดนะ เมื่อสักครู่ข้าไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น!”
เฟิ่งเฉี่ยนกลั้นขำ
“คุณชายมู่ วาดภาพให้ข้าสักภาพหนึ่งเถิด!”
“คุณชายมู่ พวกเรารอท่านนานมาก”
“คุณชายมู่...”
ก่อนที่สถานการณ์ตรงหน้าจะควบคุมไม่ได้ มู่ชิงเซียวคว้ามือของเฟิ่งเฉี่ยนแล้วพานางเดินออกไปจากชุมนุมภาพวาด “ไป พวกเราไปคุยกับที่อื่น!”
คนทั้งสองเพิ่งจะจากไป ด้านหลังก็มีคนกลุ่มหนึ่งตามติดมา
“คุณชายมู่ อย่าเพิ่งไป!”
“คุณชายมู่ มอบภาพวาดสักภาพเถิด!”
“คุณชายมู่...”
ท่านหญิงชิงเสียมองมาจากไกลๆ ด้วยความประหลาดใจ
สาวใช้ข้างกายร้องฮึ “ไหนบอกว่าคำพูดประโยคหนึ่งแลกกับภาพวาดหนึ่งภาพ ที่แท้เป็นักต้มตุ๋นดีๆ นี่เอง! ท่านหญิงปรารถนาดีช่วยนาง นางกลับข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้งเสียอย่างนั้น!”
ท่านหญิงชิงเสียส่ายหน้าหัวเราะเบาๆ “เ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าช่วยนางเพราะภาพวาดภาพหนึ่ง”
สาวใช้ตะลึงงัน “หรือไม่ใช่เ้าคะ”
ท่านหญิงชิงเสียได้แต่ยิ้มๆ มองเงาร่างด้านหลังของเฟิ่งเฉี่ยนที่เดินจากไปทว่าไม่พูดจา
[1] เฟิง หมายถึง เสียสติ ฟั่นเฟือน พ้องเสียงกับ คำว่า ลม