พวกเขาวิ่งผ่านถนนสามเส้นจึงสลัดกลุ่มคนที่ติดตามมาได้อย่างมิง่ายดาย เฟิ่งเฉี่ยนและมู่ชิงเซียวหยุดพักและหายใจหอบอยู่ในตรอกเล็กๆ ตรอกหนึ่ง
“พี่ใหญ่มู่ ดูไม่ออกเลยว่าท่านจะเป็จิตรกรผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่ง!”
มู่ชิงเซียวยิ้มอ่อนโยนและเพิ่งจะรู้สึกตัวเขาจับมือนางวิ่งมาตลอด ใบหน้าขาวประดุจหยกเนื้อดีนั้นพลันแดงก่ำ เขาแสร้งปล่อยมือนางแบบไม่ตั้งใจ กลางฝ่ามือกลับมีความอบอุ่นอ่อนโยนจากมือเล็กๆ ของนางหลงเหลืออยู่ ทำให้เขาใจอ่อนยวบจนมิอาจควบคุมได้
เฟิ่งเฉี่ยนไม่รู้สึกว่าเขาแปลกไป นางกำมือเป็หมัดแล้วชกเบาๆ ที่หน้าอกเขาพร้อมกับหัวเราะอย่างเบิกบานใจ “ไม่อาจมองคนเพียงรูปลักษณ์ภายนอกจริงๆ! หากรู้ั้แ่แรกว่าท่านเป็จิตรกรมีมือเก่งกาจเช่นนี้ ข้าคงขอภาพวาดจากท่านั้แ่อยู่ในจวนสกุลมู่แล้ว!”
มู่ชิงเซียวมองนางนิ่งๆ สายตาอ่อนโยนนั้นแทบจะคั้นน้ำออกมาได้ “ขอเพียงเ้าชมชอบ ข้าวาดให้เ้าได้เสมอ”
“จริงหรือ” ดวงตาทั้งคู่ของเฟิ่งเฉี่ยนทอประกายวาววับ ใบหน้างดงามเป็หนึ่งไม่มีสองนั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “เช่นนั้น ข้ามิใช่กำลังจะกลายเป็เศรษฐีหรือ”
มู่ชิงเซียวหัวเราะออกมา
เฟิ่งเฉี่ยนพลันนึกถึงอะไรขึ้นมาได้ “แย่แล้ว! เมื่อสักครู่ลืมเื่ที่รับปากท่านหญิงชิงเสียไปเลย...”
“เื่อันใด” มู่ชิงเซียวถาม
เฟิ่งเฉี่ยนหัวเราะกระดากใจ “พี่ใหญ่มู่ ต้องขอโทษด้วย! เมื่อสักครู่คนที่ชุมนุมภาพวาดไม่ยอมให้ข้าเข้าไปหาท่าน ดังนั้นข้าจึงได้แต่พูดกับคนอื่นว่าหากใครเข้าไปช่วยข้าบอกความหนึ่งประโยค ข้ารับรองว่าจะมอบภาพวาดของท่านให้กับคนผู้นั้นหนึ่งภาพ! ข้าตัดสินใจโดยพลการทั้งๆ ที่ไม่ได้รับความเห็นชอบจากท่าน ท่านคงไม่กล่าวโทษข้ากระมัง”
มู่ชิงเซียวส่ายหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่แน่นอน! ท่านหญิงชิงเสียทำให้ข้าได้พบกับเ้า อย่าว่าเพียงภาพวาดเพียงหนึ่งภาพ ต่อให้เป็ร้อยภาพก็คุ้มค่าแล้ว!”
“อย่าเด็ดขาด!” เฟิ่งเฉี่ยนส่ายหน้าแรงๆ มู่ชิงเซียวตะลึงงันด้วยไม่เข้าใจความหมายของนาง ทว่ากลับได้ยินนางพูดอีกว่า “สิ่งของมีค่าเพราะมีน้อย หากวาดภาพออกมามากเกินไปก็จะไม่มีคุณค่า!”
แววตาของมู่ชิงเซียวเปี่ยมไปด้วยความเอ็นดู “ได้ ต่อไปข้าล้วนฟังเ้า เ้าให้ข้าวาดข้าจึงวาด เ้าไม่ให้ข้าวาด ข้าก็จะไม่วาด”
เฟิ่งเฉี่ยนยิ้มจนดวงตาโค้งลง รอยยิ้มของนางสดใสบริสุทธิ์!
พลันนึกได้ถึงจุดประสงค์ที่มาหาเขา เฟิ่งเฉี่ยนปรับสีหน้าจริงจัง “กลับมาที่เื่สำคัญ พี่ใหญ่มู่ ครั้งนี้ท่านต้องช่วยข้านะ!”
“เื่อะไร เ้าพูดมาเถิด” มู่ชิงเซียวตรงไปตรงมา
เฟิ่งเฉี่ยน “พวกเราเดินไปคุยไป”
ณ ที่นั่งริมหน้าต่างบนหอสุรา เฟิ่งเฉี่ยนมองลงไปที่บันไดเป็พักๆ ข้อนิ้วของนางเคาะกับพื้นโต๊ะ ท่าทีร้อนรน
มู่ชิงเซียวรินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งพร้อมกับกล่าวปลอบ “อย่าใจร้อน หลินต้าซือน่าจะมาถึงอย่างรวดเร็ว”
เฟิ่งเฉี่ยนกลัดกลุ้ม “หลินต้าซือมีเบาะแสของแมวเทพสามหางหรือ”
มู่ชิงเซียวอธิบาย “หลินต้าซือเคยเป็อาจารย์ผู้ฝึกสัตว์ของเมืองหลวง สิบปีก่อนเขากลับมายังแคว้นเป่ยเยียน ตอนนี้เป็หนึ่งในอาจารย์ผู้ฝึกสัตว์เพียงไม่กี่คนของแคว้นเป่ยเยียน หากว่ากันด้วยเื่ความแตกฉานในนิสัยของสัตว์เทพแล้ว ทั่วทั้งแคว้นเป่ยเยียนไม่มีใครเทียบเขาได้!”
เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นบุรุษวัยหนุ่มคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่บันได เขารีบลุกขึ้นออกไปต้อนรับทันที
“หลินต้าซือ ต้องรบกวนให้ท่านมาด้วยตนเอง ต้องขออภัยจริงๆ!”
หลินอี้ยิ้มแย้ม “คุณชายมู่ ข้าน่ะมาเพราะภาพวาดของท่านเชียว ท่านอย่าได้ทำเป็โมเมแล้วหลงลืมไปเล่า!”
มู่ชิงเซียวหัวเราะเบาๆ เมื่อเชิญเขานั่งลงเพื่อทำการแนะนำคนทั้งสอง “เฉียนเฉี่ยน ท่านนี้คือหลินต้าซือ หลินต้าซือ ท่านนี้คือสหายของข้า แม่นางเฟิง เฟิงเฉี่ยน”
“หลินต้าซือ”
“แม่นางเฟิง”
เมื่อทักทายกันแล้ว คนทั้งสามจึงนั่งลง
มู่ชิงเซียวเป็ฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน “หลินต้าซือ แม่นางเฟิงมีความจำเป็ต้องตามหาแมวเทพสามหางอีกตัวหนึ่งให้เจอภายในห้าวันนี้ ท่านมีความเชี่ยวชาญในด้านนี้ หวังเป็อย่างยิ่งว่าจะได้รับการชี้แนะจากท่าน”
ทันทีที่สิ้นเสียง หลินอี้ก็ลุกขึ้นพรวดด้วยโทสะ “ข้ามาด้วยความจริงใจ คุณชายมู่กลับสร้างความลำบากใจให้กับข้า ภาพวาดนี้ข้าไม่้าก็ได้!”
พูดแล้วก็ทำทีจะสะบัดแขนเสื้อจากไป มู่ชิงเซียวและเฟิ่งเฉี่ยนสบตากันอย่างประหลาดใจ มู่ชิงเซียวรีบขวางเขาเอาไว้ “หลินต้าซือ ไฉนท่านจึงกล่าวเช่นนี้ ข้าเชิญท่านมาด้วยความจริงใจ เหตุใดจึงสร้างความลำบากใจให้กับท่าน”
หลินอี้พูดเสริมอีกประโยคด้วยโทสะ “แมวเทพสามหางเป็สัตว์หายากเพียงใด มีหรือไม่นั้นยังไม่รู้แน่ พวกท่านคิดจะตามหามันให้พบภายในเวลาห้าวัน นี่มิใช่สร้างความลำบากใจให้กับข้าแล้วคืออะไร”
เฟิ่งเฉี่ยนขมวดคิ้วแน่น “แมวเทพสามหางหายากเช่นนี้จริงๆ หรือ”
หลินอี้แค่นหัวเราะเสียงเย็น “ตามที่ข้ารู้ว่า ทั่วทั้งแคว้นเป่ยเยียนแทบจะหาแมวเทพสามหางตัวออกมาไม่ได้สักตัว!”
เฟิ่งเฉี่ยนยืนโง่งมอยู่ที่นั่นทันที นางคิดไม่ถึงว่าเื่นี้จะยากยิ่งกว่าที่นางคิดเอาไว้
หากทั่วทั้งแคว้นเป่ยเยียนยังหาแมวเทพสามตัวที่สองออกมาไม่ได้ วิธีการเพียงหนึ่งเดียวก็คือต้องไปตามหาที่แคว้นอื่น
แต่นางมีเวลาเพียงห้าวันเท่านั้น เวลาสำหรับเดินทางไปกลับแคว้นอื่นคงไม่พอ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะตามหาแมวเทพสามหางได้พบหรือไม่
นางพลันกระจ่างแจ้งว่าเหตุใดองค์หญิงหลานซินจึงกำหนดเวลาในการเดิมพันที่ห้าวัน ไม่มากไม่น้อย มีเวลาเพียงห้าวัน
เวลาห้าวันนี้กำหนดแน่นอนแล้วว่านางมีเวลาเพียงพอสำหรับตามหาแมวเทพสามหางในแคว้นเป่ยเยียน ระยะเวลาห้าวันให้ความรู้สึกมีความหวัง หรืออาจจะทำสำเร็จได้จริงๆ
ทว่าความจริงอันโหดร้ายกลับแสดงอยู่ตรงหน้า นี่เป็ภารกิจที่ไม่อาจทำให้สำเร็จได้
เฟิ่งเฉี่ยนก้มหน้านั่งลงด้วยหัวใจที่สลดหดหู่
มู่ชิงเซียวส่งหลินต้าซือออกไปแล้วกลับมาปลอบโยนเฟิ่งเฉี่ยน “เฉียนเฉี่ยน อย่าเพิ่งท้อ จะต้องมีวิธีอื่นแน่นอน!”
เฟิ่งเฉี่ยนส่ายหน้ายิ้มขื่น “เวลาห้าวัน เป็ไปไม่ได้หรอก! นอกจากจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น...”
ดูท่าแล้วนางคงถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่าต้องไปจากวังหลวง
แม้เดิมทีนางได้ตัดสินใจที่จะทำเช่นนี้ แต่การใช้วิธีเช่นนี้จากไป ทำให้รู้สึกไม่สมศักดิ์ศรีเกินไป!
มีคนเดินเข้ามาพูดขึ้นในตอนนี้เอง “เมื่อสักครู่ได้ยินพวกท่านสนทนากันว่า้าตามหาแมวเทพสามหาง”
เฟิ่งเฉี่ยนมองผู้มาใหม่ คนผู้นี้มีอายุราวๆ สี่สิบปี ใบหน้ามีเืฝาด ลมหายใจหนักแน่น ทันทีที่เห็นก็รู้ได้ทันทีว่ามิใช่คนธรรมดาสามัญ นางพยักหน้า “ถูกต้อง ท่านาุโมีเบาะแสของแมวเทพสามหางหรือไม่”
คนผู้นั้นนั่งลงโดยไม่ได้รับการเชื้อเชิญและรินน้ำชาให้ตนเอง “พวกเ้า้าตามหาแมวเทพสามหาง เกรงว่าทั่วทั้งแคว้นเป่ยเยียนก็หาไม่ได้สักตัว...”
เฟิ่งเฉี่ยนลอบขมวดคิ้ว พูดแล้วก็เหมือนไม่ได้พูด ต่อมาได้ยินเขาพูดอีกว่า “แต่หากพวกเ้าคิดจะตามหาแมวเทพสองหางละก็พอมี!”
หัวคิ้วเฟิ่งเฉี่ยนขมวดแน่นขึ้นอีก “ที่พวกเรา้าคือแมวเทพสามหาง มิใช่แมวเทพสองหาง!”
“ถ้าหากเป็แมวเทพสองหางที่กำลังจะก้าวข้ามไปสู่อีกขั้นเล่า” หลิ่วอันยิ้มลึกลับ
“แมวเทพสองหางที่กำลังจะข้ามขั้นหรือ” เฟิ่งเฉี่ยนถูกความคิดของเขาทำให้ตกตะลึง ดวงตาพลันทอประกายวาบ “เชิญท่านาุโพูดต่อ!”
หลิ่วอันหัวเราะ “หากข้าไม่ได้จำผิด ในเมืองมู่หยางก็มีแมวเทพสองหางตัวหนึ่ง หลายวันนี้กำลังบำเพ็ญตนอยู่”
เฟิ่งเฉี่ยนยินดี “แมวตัวนั้นอยู่ที่ใด”
หลิ่วอันใช้นิ้วมือจุ่มน้ำชาในถ้วยแล้วเขียนอักษรไว้สี่ตัวบนโต๊ะ...
เฟิ่งเฉี่ยนและมู่ชิงเซียย้อนกลับไปที่ถนนเฉี่ยนหลงอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้พวกเขามิได้ไปที่ชุมภาพเขียนเทียนเฟิง แต่มาที่ชุมนุมเดินหมากเทียนหยวน ที่นี่เป็สถานที่ที่หลิ่วอันชี้แนะ!
คนทั้งสองสบตากัน แล้วมองไปที่ประตูใหญ่ของชุมนุมเดินหมาก
เมื่อเดินเข้าไปในชุมนุมเดินหมาก เฟิ่งเฉี่ยนถูกภาพตรงหน้าทำให้ตกตะลึงอยู่ที่นั่น
นี่เป็อาคารที่ก่อสร้างสองชั้นหลังหนึ่ง ชั้นล่างเปิดโล่งเป็ลักษณะของห้องโถงใหญ่ ชั้นสองเป็ห้องส่วนตัวที่แบ่งแยกมิดชิด กำแพงที่อยู่ตรงข้ามเมื่อก้าวเข้ามามีกระดานหมากขนาดใหญ่มหึมาวางอยู่ หมากดำและขาวบนกระดานหมากเดินอย่างมีชั้นเชิง และชัดเจนว่าเป็หมากที่กำลังเดินเข้าสู่ทางตันกระดานหนึ่ง แค่มองปราดเดียวก็ดึงดูดสายตาให้ผู้คนปรารถนาที่จะเข้าไปพินิจพิเคราะห์
ทว่าสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเฟิ่งเฉี่ยนก็คือบรรยากาศภายในชุมนุมหมากล้อม
ภาพเบื้องหน้าที่ปรากฏก็คือมีคนราวสองสามคนล้อมโต๊ะเดินหมาก ดูเหมือนไม่มีใครใส่ใจดูแลทว่ากลับดำเนินไปอย่างเป็ระเบียบเรียบร้อย ดูเหมือนมีคนสัญจรไปมา แต่กลับมีความเงียบสงบที่ไม่สามัญแฝงอยู่ หรือพูดอีกนัยหนึ่งว่าสถานที่แห่งนี้เป็สถานที่เต็มไปด้วยความสูงส่งงดงามทว่าไม่ขาดซึ่งความเป็ปุถุชน!
มู่ชิงเซียวรั้งคนผู้หนึ่งไว้เพื่อถามไถ่ “ไม่ทราบว่า หานซื่อหลง รองหัวหน้าชุมนุมอยู่หรือไม่”
“พวกเ้ามาหาท่านาุโหานหรือ เขากำลังเดินหมากอยู่้า!”
เฟิ่งเฉี่ยนและมู่ชิงเชียวสบตากันด้วยความยินดี คนทั้งสองมุ่งหน้าขึ้นไปยังชั้นสองของหอสุรา
ชั้นบนมีห้องส่วนตัวพิเศษสำหรับแขกผู้สูงศักดิ์ทั้งหมดสี่ห้อง แต่ละห้องมีชื่อเรียกว่า เทียน ตี้ เสวียน หวง[1] ที่เหลือจะเป็ห้องส่วนตัวแบบธรรมดาอีกแปดห้อง และอีกสิบสองห้องที่สร้างตามกฎปากว้า[2]ของลัทธิหรูเจีย ดูไปแล้วให้ความรู้สึกประณีตพิถีพิถัน
ห้องพิเศษ เทียน และ ตี้ นั้นมักจะปิดอยู่เสมอ และต้อนรับเพียงแขกระดับสูงเท่านั้น ได้ยินว่าเป็เวลากว่าครึ่งปีแล้วที่ไม่ได้เปิดห้อง
พวกเขา้าพบท่านาุโหาน ยามนี้กำลังเดินหมากอยู่ในห้องส่วนตัวธรรมดา ผู้คนที่ล้อมรอบเข้ามาดูมีไม่น้อย ทำให้ภายในห้องส่วนตัวนั้นแทบจะแทรกเข้าไปไม่ได้
[1] เทียน ตี้ เสวียน หวง เป็ตัวกำเนิดของจักรวาล
[2] หลักปากว้า หมายถึง ฟ้า ดิน ฟ้าร้อง ลม น้ำ ไฟ ูเา และคน