ตอนที่ 18
เช้าวันรุ่งขึ้นศิลาออกจากบ้านไปั้แ่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น เพราะไม่อยากจะคุย อยากจะปะทะกับผู้เป็แม่ตอนนี้ และแน่นอนว่าข่าวใหญ่ในวันนี้ก็คือข่าวที่ศิลาไปสถานีตำรวจ แฟนคลับหลายคนรอให้ดาราหนุ่มออกมาบอกว่าไปเพราะอะไร เพราะเหตุการณ์เมื่อคืนคนที่ช่วยเขาไว้คงจะไม่รู้จักเขา และอยู่ในที่เปลี่ยว ไม่มีคนผ่านไปมาจึงไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แม้แต่ดารินเองก็ไม่รู้เพราะศิลาไม่ได้บอก ดันมาเกิดเื่ที่บ้านซะก่อน
[ไม่เป็อะไรมากใช่ไหมอ่ะ] เสียงปลายสายถามด้วยความเป็ห่วง เพราะมือถือของศิลาถูกปล้นไปด้วยเธอจึงโทรหาปัณณวีร์แทน
"ไม่เป็ไรมากครับ ไม่ต้องห่วงนะพี่ ยังไงพี่ช่วยแจ้งข่าวกับแฟนคลับเขาหน่อยนะ ส่วนโทรศัพท์ฝากพี่ดาซื้อมาให้ทีนะครับ"
[ได้ๆ ค่อยยังชั่วนะ พี่เห็นข่าวแล้วก็ใ คนสมัยนี้นี่นะน่ากลัวขึ้นทุกวันเลย ถือว่าฟาดเคราะห์ไป]
"ใช่ครับ" ปัณณวีร์ยืนคุยอยู่ที่ระเบียงห้อง มองเข้าไปในห้องนอนยังเห็นศิลานอนหลับอยู่บนเตียง เพราะขับรถมาหาเขาั้แ่เช้า มาถึงก็หลับต่อจนถึงตอนนี้
"ที่บ้านศิลารู้เื่ของผมกับน้องแล้วนะพี่ดา คุณกนกรู้แล้ว"
[ห้ะ!?] เื่นี้ดูจะเป็เื่ที่น่าใกว่าเื่เมื่อกี้อีกสำหรับดาริน [รู้ได้ยังไง]
"ศิบอกว่าเขาแอบติดกล้องไว้ในห้องของศิ ไม่รู้ว่าั้แ่เมื่อไหร่แต่คิดว่าคงจะสักพักได้แล้ว อาจจะเป็ตอนที่มีช่างมาล้างแอร์ เพราะนอกนั้นศิไม่เคยให้ใครเข้าห้องเลยถ้าไม่ใช่คนรู้จัก"
[ตายๆ แล้วยังไงล่ะทีนี้ เป็ยังไง]
"จะเป็ยังไงได้ล่ะครับ ก็บ้านบึ้มน่ะสิ เมื่อคืนทะเลาะกัน เช้ามาศิก็เลยหนีมาคอนโดก่อนเพราะเดี๋ยวตอนบ่ายมีงานใช่ป่ะล่ะ เขากลัวตัวเขาจะอารมณ์เสียไปทำงานหากว่าตอนเช้าต้องปะทะกับแม่อีก"
[แบบนี้จะได้คุยกันไหมล่ะ]
"เดี๋ยวตอนเย็นก็คงกลับไปคุยกันนั่นแหละครับ"
[แล้ววีร์จะเข้าไปด้วยไหม]
"โอ้วว คงไม่ละครับ" ขืนเข้าไปพร้อมกันตอนนี้มีหวังได้บ้านแตกกันพอดี คงต้องให้ศิลาพูดคุยกับแม่ให้เข้าใจซะก่อน สุดท้ายเป็ยังไงก็ค่อยว่ากันอีกที
[เห้ออ ทำไมมีแต่เื่นะ เอาเถอะๆ ฝากบอกศิด้วยนะเดี๋ยวตอน 11 โมงพี่จะเข้าไปรับที่คอนโดแล้วก็เอาโทรศัพท์ไปให้ด้วย]
"ได้ครับ ฝากด้วยนะครับ"
[จ้า ไม่ต้องห่วงๆ]
หลังจากวางสายแล้วปัณณวีร์ก็กลับมาในห้อง ตอนนี้ก็เกือบจะ 7 โมงแล้ว ดีที่วันนี้ปัณณวีร์ไม่มีออกกอง เข้าไปแค่ออฟฟิศเท่านั้นแต่ก็ได้โทรบอกชาแล้วว่าวันนี้จะเข้าช้าหน่อยเพราะอยากอยู่เป็เพื่อนศิลาก่อน เมื่อคืนที่ทะเลาะกันกับกนก ศรุตได้เล่าให้ปัณณวีร์ฟังหมดแล้ว ปัณณวีร์คิดเอาไว้แล้วว่าต้องเป็แบบนี้หากเธอรู้
มือเรียวค่อยๆ วางลงบนกลุ่มผมของคนรักแล้วลูบเบาๆ ใบหน้าหล่อเหลายามหลับสนิทก็เหมือนกับเด็กคนหนึ่ง เขายังจำภาพที่ศิลาชอบตามติดเขาได้อยู่เลยแม้จะโตเป็หนุ่มหล่อแล้วไม่ใช่เด็กสามสี่ขวบที่ติดพี่ แต่ศิลาเป็อย่างนั้น ครั้งแรกที่ศิลายิ้มให้ปัณณวีร์ก็ยังจำได้ เป็รอยยิ้มที่หายากมากเพราะอีกฝ่ายเป็คนไม่ค่อยยิ้ม ไม่ค่อยพูดเท่าไหร่นัก แต่ดูตอนนี้สิ ปัณณวีร์รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่สุด ได้เห็นรอยยิ้มของศิลามากกว่าคนอื่น และเขาก็ปรารถนาให้อีกฝ่ายมีแต่รอยยิ้มเช่นเดียวกัน
"นั่งมองหน้าผมนานเกินไปแล้วนะ" เสียงทุ้มดังขึ้นทำให้ปัณณวีร์หลุดจากภวังค์ของตนเอง มือหนาคว้ามือของเ้าของห้องมาจับแล้วแนบกับแก้มของตนเอง
"นั่งมองนานไม่ได้หรอ หรือว่าแค่มองเดี๋ยวนี้ก็ต้องมีค่าตัว" ปัณณวีร์เอ่ยแซว ศิลาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมามองแล้วระบายยิ้มออกมา
"ผมก็เขินเป็นะ" แม้จะหน้านิ่งดูเ็าแต่ศิลาก็เป็คนที่อะไรไม่ควรเขินกลับเขิน แต่ที่ควรกลับไม่ อย่างเช่นการที่ถูกคนพี่นั่งจ้องหน้าเวลาหลับแบบนี้เ้าตัวมักจะเขินแต่ก็ไม่ได้แสดงอาการออกมาก ปัณณวีร์ขำเล็กน้อยก่อนจะก้มลงไปจุมพิตที่ปากแดงระเรื่อนั่นซ้ำๆ สองสามที
"น่ารักจริงๆ เลย" ปัณณวีร์รู้ว่าอีกฝ่ายคงคิดมากเื่แม่และความสัมพันธ์ของพวกเขา แต่ตอนนี้เพิ่งตื่นมาปัณณวีร์จึงไม่อยากถามอะไรมาก
"ลุกไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวพี่ทำอาหารเช้าให้ทาน"
"พี่ไม่ต้องรีบไปทำงานหรอครับ" ร่างสูงลุกขึ้นนั่งพร้อมกับมองนาฬิกา
"ไม่รีบ พี่บอกชาไว้แล้วว่าจะเข้าออฟฟิศช้าหน่อย อยากกินอะไร ไข่ตุ๋นปูอัดดีไหม พี่ซื้อปูอัดมาไว้ด้วย" เมนูโปรดของศิลาที่เขาชอบอ้อนให้ปัณณวีร์ทำให้กินเสมอๆ เรียกว่าเป็เมนูของเขาสองคนดีกว่า เพราะนอกจากปัณณวีร์แล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าศิลาชอบกินมาก
"ดีครับ" คนน้องตอบรับอย่างว่าง่าย ก่อนจะแยกไปคนละทาง ศิลาเข้าห้องน้ำส่วนปัณณวีร์ไปห้องครัว ขณะที่ทางนี้กำลังใช้ชีวิตเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อีกฝั่งก็กำลังเดือดเป็ฟืนเป็ไฟที่ลูกชายออกจากบ้านไม่บอกไม่กล่าว ทั้งๆ ที่กนกยอมถอยให้แล้วเมื่อวาน คิดว่าเช้านี้คงจะได้คุยกันให้จบ ที่ไหนได้ศิลากลับไม่อยู่บ้านให้ได้คุย
"เห็นไหม หนีไปหามันอีกแล้วละสิ" กนกลงมาจากห้องพอรู้ก็โมโหขึ้นมา
"ใจเย็นๆ ก่อนนะครับแม่ น้องอาจจะยังไม่อยากคุยตอนนี้" ศรุตช่วยพูดจากที่เมื่อวานไม่ได้ช่วยเลยเพราะหาที่จะแทรกไม่ได้
"ไม่คุยตอนนี้แล้วจะคุยตอนไหน! โทรศัพท์ก็ถูกปล้นไป ติดต่อก็ไม่ได้"
"คุณนก คุณใจเย็นๆ บ้างเถอะ รีบร้อนคุยไปแล้วจะได้อะไร ในเมื่อจุดประสงค์ของคุณกับลูกไม่เหมือนกัน" คนหนึ่งอยากให้เลิก แต่อีกคนดึงดันจะคบต่อ คุยกันไปสุดท้ายแล้วจะยุติยังไง นอกซะจากว่าจะมีใครคนใดคนหนึ่งยอม
กนกถอนหายใจแรงด้วยอารมณ์คุกรุ่น ก่อนศรุตจะอ่านข้อความที่ปัณณวีร์ส่งมาบอกว่าศิลาต้องไปทำงานวันนี้ไม่อยากมีเื่ทะเลาะหรือมีเื่มากวนใจ กลัวจะทำงานได้ไม่ดี อ่านเสร็จศรุตจะบอกกับผู้เป็แม่ตามที่ปัณณวีร์ว่ามาเพียงแต่ไม่ได้บอกว่าใครบอกเขา กนกไม่ใช่คนโง่ที่จะเดาไม่ออกว่าคนที่ทักมาเป็ใคร
"ตอนบ่ายศิมีงานครับ ไม่อยากทำให้ตัวเองเสียสมาธิ ตอนเย็นจะกลับมาคุยที่บ้าน"
"เหอะ ก็คงไปอยู่ด้วยกันสินะ" เธอพูดใส่แม้ว่าเ้าตัวจะไม่อยู่ที่นี่ก็ตามก่อนจะเดินขึ้นบ้านไป
"จะยังไงครับเนี่ย" ศรุตเอ่ยขึ้นพลางมองหน้าอาธิปเหมือน้าคำตอบ
"รอดูก่อน ตอนเย็นจะคุยกันยังไง" อาธิปเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็ยังไง กนกเป็คนดื้อรั้น หากสิ่งที่เธอคิดว่ามันถูก ใครจะบอกว่าผิดเธอก็จะไม่เชื่อง่ายๆ จนกว่าจะเดินไปด้วยตัวเองแล้วรู้ว่ามันผิด ศิลาเองก็ยึดมั่นใจตัวเองเช่นเดียวกัน เป็คนที่ยอมหักไม่ยอมงอ
หลังเลิกงานกนกก็กลับมารอลูกชายคนเล็กที่บ้าน ศิลาเลิกงานช้ากว่าและระยะทางก็ไกลกว่าจะมาถึงบ้าน อาธิปที่นั่งถัดไปไม่ไกลไม่ได้พูดอะไรกับภรรยามากนัก กนกหันมองอาธิปอยู่บ่อยครั้งในขณะที่คนถูกมองขยับแว่นเล็กน้อยอ่านหนังสือในมืออยู่อย่างนั้น
"คุณรู้ั้แ่เมื่อไหร่?" กนกตัดสินใจถามขึ้น
อาธิปได้ยินคำถามจึงละสายตาจากหนังสือมองตรงไปข้างหน้าแล้วพูดขึ้นว่า "ไม่นาน ผมถามศิตอนวันเกิดของลูก"
"ถาม? แสดงว่าคุณสงสัยมาก่อนแล้วถึงได้ถาม"
"ใช่ การกระทำและพฤติกรรมของลูกมันบ่งบอกและชัดเจนมาตั้งนานแล้ว ถ้าคุณลองสังเกตสักนิด" ประโยคหลังแม้อาธิปไม่ได้หมายความว่าเธอไม่เคยสังเกตลูกเลย กนกกลับตำหนิตัวเองในใจว่าเขาไม่ได้ใส่ใจลูกขนาดที่ว่าลูกเปลี่ยนไปยังไม่รู้
"แล้วทำไมคุณไม่บอกฉันล่ะคะ"
"บอกคุณแล้วให้เป็เหมือนวันนี้น่ะหรอ?" อาธิปหันมาสบตาภรรยา ก่อนจะกล่าวต่อ "คุณนก ตัวคุณเองบอกสนับสนุนเพศที่สามหรือกลุ่ม LGBTQ คุณสนับสนุนคนอื่นได้ แต่ทำไมเป็ลูกของคุณเองคุณถึงทำไม่ได้ล่ะ คุณถามตัวเองรึยัง??"
"ฉันถามแล้ว ฉันถามตัวเองมาตลอด ฉันสนับสนุนแต่ก็ใช่ว่าจะเปิดใจยอมรับมันเต็มร้อย ลึกๆ ฉันเองก็ยังคงแย้งในใจว่าความสัมพันธ์ของกลุ่มคนพวกนี้จะยั่งยืนหรอ จะสามารถอยู่ด้วยกันไปตลอดได้จริงๆ หรอ ไม่สนใจไม่แคร์สายตาของคนรอบข้างได้งั้นสิ ศิลาเองก็เป็ดาราดัง เชื่อเถอะว่าในสังคมมันยังไม่ได้เปิดรับมากขนาดนั้น ยังมีคนที่คิดแบบเดียวกับฉันอยู่อีกเยอะ ยิ่งเป็แบบนี้ฉันก็เป็ห่วงลูก ทุกอย่างฉันคิดเผื่ออนาคตของลูกทั้งนั้น"
"อนาคตของลูกงั้นหรอ อนาคตที่เราไม่รู้ว่าจะได้ยืนอยู่ข้างๆ หรืออยู่ดูเขารึเปล่าน่ะหรอคุณนก ในเมื่อมันคืออนาคตของลูกก็ต้องให้ลูกเลือกเองสิ"
"ไม่ ถ้าเกิดลูกเลือกผิดล่ะ ฉันเป็แม่นะ ฉันไม่อยากให้ลูกหลงผิดไปมะ..."
"ผมเลือกไม่ผิดหรอกครับ แล้วทางที่ผมเดินก็ไม่ใช่เพราะหลงผิดไป แต่ผมตั้งใจเดินมาเอง" ศิลาพูดแทรกขึ้นเมื่อเข้ามาได้ยินที่พ่อกับแม่คุยกันพอดี
"ศิลา" กนกลุกขึ้นยืนทันทีเมื่อลูกชายคนเล็กมาถึง กนกทำเป็เชิดเล็กน้อยให้ดูเหมือนว่าเธอไม่ได้รอลูกอยู่ "รู้ได้ยังไงว่าเลือกไม่ผิด"
"ผมไม่รู้หรอกครับ ว่าที่เลือกมันผิดหรือมันถูกต้องดูยังไง ใครเป็คนตัดสิน แต่ผมแค่รู้ว่าหากผมเลือกแล้ว ที่ผมมั่นใจว่าผมเลือกไม่ผิดคือต่อให้ผิดผมยอมรับผลของมัน"
"ศิลายังเด็กเกินไป แม่อาบน้ำร้อนมาก่อน แค่มองก็ดูออกแล้ว ยังไงซะลูกกับวีร์ก็ไปกันไม่รอด สู้เลิกกันั้แ่ตอนนี้ไม่ดีกว่าหรอ จะได้ไม่ต้องรู้สึกไปมากกว่านี้"
"แม่เอาอะไรมาตัดสินว่าเราไปกันไม่รอด" ในครั้งนี้ทั้งสองต่างพูดคุยกันด้วยเหตุผลมากกว่าสาดอารมณ์ใส่กันเช่นเมื่อคืน อาธิปจึงทำเพียงยืนมองสถานการณ์ก่อน
"ก็..." กนกคิดไม่ทัน เขานึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ "ก็มีให้เห็นเยอะแยะไม่ใช่หรอคู่รักชายชายที่ไปกันไม่รอด เปลี่ยนคู่ไปเรื่อยน่ะ ชีวิตจริงไม่เหมือนในนิยายหรอกนะศิลา"
ศิลาขำออกมาเล็กน้อย "แม่ครับ เปลี่ยนคู่ไปเรื่อย หากว่าเจอคนที่เข้ากันกับเราไม่ได้ เราจะยังอยู่ด้วยกันทำไมล่ะครับก็เปลี่ยนแฟนไปสิ อย่าว่าแต่ชายรักชายเลยครับ ชายกับหญิงก็มีให้เห็นที่ไปกันไม่รอด แม่อย่าเอามันมาเป็ข้ออ้างหน่อยเลยครับ"
"ศิลา นี่จะเถียงแม่ให้ได้ทุกคำเลยใช่ไหม"
"ไม่ได้เถียง แต่ผมแค่แย้งความคิดของแม่" ทั้งสองจ้องมองกันอย่างไม่มีใครยอมเป็ฝ่ายหลบตาก่อนเลยจนอาธิปเดินเข้ามา
"พูดมาแบบนี้ความ้าของคุณคืออยากให้ลูกมีความสุข?" กนกเบนสายตาไปมองสามีที่ถามขึ้น
"ใช่ค่ะ ฉันเป็แม่ก็ต้องอยากให้ลูกมีความสุขสิ"
"ถ้างั้นก็ให้ลูกคบกับวีร์ต่อไป"
"ว่าไงนะคะ!?"
"คุณอยากเห็นลูกมีความสุข นั่นก็เป็ความสุขหนึ่งของลูก คุณก็ต้องยอมรับในการตัดสินใจของเขา" กนกปฏิเสธไม่ออกว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ความสุขของศิลา เพราะจากที่เธอเห็นแต่ละวันที่ทั้งสองอยู่คอนโดด้วยกันนั้น แสดงให้เห็นว่าศิลาดูมีความสุขมากกว่าอยู่กับเขาอีก ทำให้เกิดความอิจฉาเล็กๆ ในใจของคนเป็แม่
กนกครุ่นคิดกับตัวเองว่าหากเขาดื้อรั้นต่อไปแน่นอนว่าเื่คงไม่มีทางจบ เพราะศิลาก็ไม่ยอม ตัวเธอเองก็ไม่ยอม หากต่างฝ่ายต่างดึงอาจจะขาดเอาได้ คิดได้ดังนั้นเธอจะเป็คนถอยให้ ถอยเพื่อรุก...
"ได้" ศิลาขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่คิดว่าแม่จะยอมง่ายดายขนาดนี้ ตัวเขาคิดแล้วว่าเื่นี้คงไม่มีทางหาข้อสรุปได้แน่ๆ คิดเอาไว้แล้วว่าหากกนกยังบังคับเขาอยู่ ตัวเขาจะไปอยู่ที่คอนโดซะ
"หมายความว่าคุณยอมให้ลูกคบกัน??" อาธิปถามขึ้น
"ฉันยอมก็ได้ แต่มีข้อแม่ว่าห้ามเปิดเผยสถานะ ห้ามให้ใครรู้และศิก็ไปนอนคอนโดได้แค่ 2 วันต่ออาทิตย์เท่านั้น"
"แม่ครับ ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะครับ ห้ามเปิดเผยสถานะเนี่ยผมเข้าใจแต่ทำไมต้องห้ามไปนอนคอนโดหลายวันด้วยผมไม่เข้าใจ"
"เพราะว่าแม่ไม่ชอบ ไม่ชอบให้ลูกไปอยู่กับวีร์นานๆ" กนกพูดความจริงออกว่าตามที่ตัวเองคิด "แม่ให้ขนาดนี้แล้วนะศิลา ใจแม่ไม่ได้อยากให้ลูกคบด้วยซ้ำ ถือว่าคนละครึ่งทาง ศิลาก็ยอมแม่บ้าง"
ศิลาหันหน้าไปมองผู้เป็พ่ออย่างขอความเห็น อาธิปทำเพียงพยักหน้าตอบกลับมา จริงอย่างที่กนกว่า เธอยอมให้แล้วทั้งที่ใจเธอยังไม่ยอมรับเื่นี้ ศิลาก็ควรจะยอมให้แม่บ้างเพื่อแลกเปลี่ยนกัน
"ก็ได้ครับ" กนกลอบยิ้มอยู่ในใจก่อนจะเดินจากไป ในหัวเริ่มคิดวิธีการต่างๆ ที่จะทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองแย่ลง ในเมื่อเธอบังคับลูกชายไม่ได้ เธอก็จะไปบังคับอีกคนที่ไม่กล้าจะต่อกรกับเธอแทน กนกคิดว่ายังไงซะบีบปัณณวีร์ก็ง่ายกว่าบีบศิลา ซ้ำเธอยังเป็คนให้เงินทุนในการสร้างละครอีก ใช้ข้อนี้มาเล่นงานปัณณวีร์ได้ง่ายๆ
"พ่อคิดว่าแม่แปลกไปไหมครับ" ศิลากับอาธิปเดินมานั่งที่โซฟาแทนหลังจากคนเป็แม่ขึ้นห้องไป
"แปลกไปจริงๆ นั่นแหละ แต่ถ้าเรามองในแง่ดีหน่อยแม่อาจจะคิดได้แล้วให้โอกาสจริงๆ ก็ได้" อาธิปพอจะรู้นิสัยของภรรยาดี เป็ไปได้น้อยมากที่เธอจะยอมง่ายแบบนี้ อย่างที่บอกกับลูกไปหากมองในแง่ดีก็อาจจะเป็แบบนั้น แต่ถ้ามองในแง่ร้ายหน่อย อาจคิดจะทำอะไรอยู่ก็เป็ไปได้
"เวลาเจอกันของผมกับพี่วีร์ก็น้อยอยู่แล้ว นี่แม่ยังให้ไปคอนโดได้แค่อาทิตย์ละ 2 วันเอง" ศิลาบ่นออกมาอย่างเหนื่อยๆ สำหรับเขาแล้วปัณณวีร์เปรียบเสมือนแบตเตอรี่ก้อนใหญ่ที่ให้เขาได้ไปชาร์จเวลาที่แบตตัวเองหมด
"ก็ถ้าห้ามไปนอนคอนโดก็มานอนที่บ้านซะสิ ให้วีร์มาด้วยเลย ยังไงบ้านเราก็เป็ส่วนตัว ไม่มีใครเอาไปพูดหรอก"
"ได้หรอครับ"
"ได้สิ ก็เมื่อกี้แม่ไม่ได้ห้ามหนิว่าไม่ให้พามาบ้านด้วย" อาธิปใช้ช่องโหว่นี้ช่วยลูกชายเต็มที่ ส่งยิ้มให้แล้วลุกขึ้น "พ่อจะไปคุยกับแม่เขาอีกสักหน่อย เราคงต้องคุยให้เขายอมรับและเปิดใจ"
"ขอบคุณนะครับพ่อ"
"เห้ออ คุณกนกเขารักลูกยังไงของเขากัน" น้ำหนึ่งถอนหายใจแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ปัณณวีร์ พร้อมกับสลัดผักคนละถ้วยเนื่องจากว่าวันนี้ปัณณวีร์แวะมาหาเพื่อนสนิทจึงอยู่กินข้าวด้วยเลยเพราะศิลาโทรมาบอกว่าคงไม่ได้กลับมาที่คอนโดแล้ววันนี้ ซึ่งปัณณวีร์ก็เข้าใจไม่ได้งี่เง่าอะไร
"ศิลากับแม่เขาไม่ค่อยจะสนิทกัน ไม่แปลกเท่าไหร่ถ้าเขาจะไม่ชอบคนที่ลูกให้ความสำคัญกว่าเขา อีกอย่างคนคนนั้นดันเป็ผู้ชายซะด้วยสิ เขาเลยยิ่งไม่ชอบใจ"
"แต่เขาก็เอ็นดูแกป่ะ นึกว่าจะดีใจซะอีกนะ" ปัณณวีร์ส่ายหน้าเบาๆ พร้อมจิ้มผักเข้าปาก สายตาก็มองหนังที่กำลังเล่นอยู่บนจอโปรเจคเตอร์
"เขาเอ็นดูในฐานะเพื่อนลูกชายคนโต ไม่ได้เอ็นดูในฐานะแฟนลูกชายคนเล็กหนิ ตอนนี้คงไม่ชอบฉันมากแน่ๆ" ฟังแล้วน้ำหนึ่งก็ได้แต่ถอนหายใจ ไม่รู้จะช่วยยังไงเหมือนกันในเื่นี้
"ปัญหาแม่ผัวลูกสะใภ้นี่ยิ่งกว่าในละครอีกนะ"
"ไม่ต้องห่วงเื่ฉันหรอก เื่ตัวเองล่ะ"
"เื่ฉัน??" น้ำหนึ่งหันมองเพื่อนสนิทและชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง
"ได้ข่าวว่าหนุ่มมาจีบถึงกองหรอ"
"ข่าวเร็วจังนะ"
"แน่นอนว่าศิบอก" เพราะยังอยู่ใน่ที่ถ่ายละครด้วยกัน ดังนั้นศิลากับน้ำหนึ่งจึงเจอกันบ่อย ถึงจะไม่สนิทแต่ก็ไม่ได้ห่างเหินเหมือนเมื่อก่อน คงเพราะรู้ความสัมพันธ์ระหว่างศิลากับเพื่อนสนิทแล้วเลยทำให้กล้าจะคุยมากขึ้น แต่น้ำหนึ่งก็ไม่คิดว่าศิลาคนเงียบขรึมจะขี้เม้าเหมือนกัน เอาเื่ในกองของเธอไปเล่าให้ปัณณวีร์ฟังซะได้
"ก็ธรรมดาแหละ คนมันสวย"
"แต่ก็ไม่เห็นว่าจะคบใครอีกเลยนะั้แ่มหาลัยแล้ว"
"ก็ไม่มีใครตรงไทป์หนิ คุยแล้วไม่ใช่ก็แยกย้ายป่ะ" ดาราสาวกินสลัดผักที่ตัวเองทำต่อก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินที่เพื่อนสนิทพูด
"ไม่ใช่ว่ารอใครบางคนมาจีบหรอกใช่ไหม" ปัณณวีร์เหลือบมองปฏิกิริยาของน้ำหนึ่งเล็กน้อยก่อนจะสนใจหนังตรงหน้าต่อ
"เพ้อเจ้อ ไม่มีใครให้รอสักหน่อย" น้ำหนึ่งพูดจบก็นึกถึงใครคนหนึ่งขึ้นมา คนที่รู้จักกันั้แ่มหาลัย เป็ถึงเดือนมหาลัยในตอนนั้น และเธอเองก็เป็ดาวมหาลัย แต่เพราะนิสัยรักสนุกของอีกฝ่ายเธอจึงไม่ชอบและไม่คิดจะชอบ แต่พูดน่ะพูดง่าย พอเจอกันทุกวันเข้ามันก็ทำได้ยากเหมือนกัน จนถึงทุกวันนี้ก็ยังเจอกันแทบทุกวัน
"ซึนพอกันทั้งคู่" ปัณณวีร์พึมพำออกมา เื่ของคนอื่นเขาไม่อยากยุ่งเท่าไหร่ ไว้ถึงเวลาของมันหากจะใช่ก็คงใช่เอง เพราะตอนนี้แค่เื่ของตนเองยังเอาไม่รอด จะทำยังไงให้แม่แฟนเปิดใจยอมรับก็นึกไม่ออก
ผ่านมาเกือบหนึ่งอาทิตย์ ศิลามานอนที่คอนโดสองวันติดกันคือคืนวันที่ปัณณวีร์พักกองเพราะอยากจะใช้เวลาด้วยกัน ศิลาเหลือถ่ายละครอีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะเสร็จ หลังจากนี้เขาก็พักยาวเกือบหนึ่งเดือนที่ไม่รับงานละคร มีเพียงถ่ายแบบของแบรนด์ที่เป็พรีเซนเตอร์และโฆษณาอีกไม่เยอะ วันนี้เป็อีกวันที่ปัณณวีร์รู้สึกปวดหัวจริงๆ เพราะชุดที่เช่ามาใช้ในการถ่ายทำเกือบ 10 ชุด มีตัวหนึ่งเป็สีดำ ทีมงานสะเพร่านำไปซักรวมกันทำให้สีตกใส่ ต้องจ่ายค่าเสียหายให้ทางร้านอีก
"ทำไมครั้งนี้มันมีแต่ปัญหา งบเราก็ยิ่งน้อยๆ อยู่ มีเื่ให้เสียเงินอยู่เรื่อยเลย" ชาพูดขึ้นขณะที่ปัณณวีร์นั่งกดปากกาอย่างใช้ความคิดพลางมองบัญชีที่ทำไว้ ั้แ่ที่เกิดเื่มานั้นตอนนี้ผ่านมาแค่ครึ่งเื่ งบประมาณของเขาใช้เกินที่คาดเอาไว้ไปแล้ว
ปัณณวีร์ถอนหายใจเป็รอบที่เท่าไหร่ของวันแล้วก็ไม่รู้ "ชา พรุ่งนี้เตรียมเรียกประชุมหัวหน้าฝ่ายแต่ละฝ่ายนะ พี่คิดว่าเราต้องจัดการงบการเงินเราใหม่สักหน่อย มาประชุมกันว่าอะไรพอจะลดได้บ้าง"
"ได้ค่ะพี่วีร์" ชาก้มจดสิ่งที่ต้องทำไว้ก่อนจะเงยหน้าขึ้นถามด้วยความสงสัย "พี่วีร์คะ เอาจริงคุณกนกก็ดูจะเอ็นดูและสนับสนุนพี่นะคะ ทำไมไม่ลองไปคุยกับเขาดูเผื่อว่าเขาจะช่วยเราล่ะคะ"
ปัณณวีร์อยากจะตอบกลับเหลือเกินว่าถ้าเป็เมื่อก่อนเขาอาจจะไปขอให้เธอช่วย แต่ตอนนี้อย่าว่าแต่ขอให้ช่วยเลย จะไปเจอหน้ายังไม่ค่อยกล้าเลย ไม่รู้กลายเป็คนขี้ขลาดั้แ่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ หรือต่อให้กล้าแบกหน้าไปหาก็ใช่ว่าอีกคนจะช่วย คิดแล้วปัณณวีร์ก็มีสีหน้าเครียดกว่าเดิม
"พี่วีร์เป็อะไรรึเปล่าคะ?" ชาที่ไม่ได้รู้เื่ด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นจึงถาม
"อ่อ เปล่าหรอกๆ พี่ว่าเราลองแก้ปัญหากันเองก่อนดีกว่า มันไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงเท่าไหร่หรอก"
"ค่ะ"
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
"เชิญครับ" ปัณณวีร์พูดขึ้น คนที่เคาะประตูจึงเปิดเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างเคย
"ยุ่งอยู่รึเปล่า"
"รุต มีไรอ่ะมาหาถึงที่ สำคัญหรอ" ศรุตเดินเข้ามาและนั่งลงที่ประจำที่เป็เหมือนโซฟารับแขก
"ก็ไม่ได้สำคัญอะไรมาก พอดีแวะมาเล่นด้วย" ชายหนุ่มยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้าง ชามองแล้วนึกเสียดายที่อีกคนไม่ได้เป็ดารา เพราะรูปร่างหน้าตานั้นดีไม่น้อยไปกว่าศิลาเลย
"งั้นชาไปทำงานของชาเถอะ ตรงนี้ไม่มีอะไรแล้ว" ปัณณวีร์บอกกับคุณผู้ช่วย เธอพยักหน้าแล้วเก็บของของเธอออกไปด้วย
"ว่าไง" ร่างบางลุกจากเก้าอี้ตัวเองแล้วลากเก้าอี้ตัวที่ชานั่งก่อนหน้ามาตรงข้ามกับศรุต
"เจอปัญหาอีกแล้วสิ"
"อื้ม"
"เพราะแม่"
"ยังไงนะ" ปัณณวีร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย
"คิดว่าทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นมันคือเื่บังเอิญหรอวีร์" แววตาที่ดูขี้เล่นเมื่อครู่ของศรุตแปรเปลี่ยนเป็จริงจังขึ้นมา
"จำได้ใช่ไหมที่เคยบอกไปตอนนั้น คนที่เสนอลดทุนในการทำละครเื่นี้คือแม่" ปัณณวีร์พยักหน้าตาม เื่นี้ศรุตมาบอกกับเขาในตอนที่กนกเรียกไปบอกแล้ว
"จริงๆ แล้วแม่รู้ั้แ่ตอนนั้นแล้วละ ถึงได้ตัดเงินลงทุนในละครเื่นี้ ตอนแรกก็ไม่เข้าใจหรอก พอมาตอนนี้ถึงได้รู้ว่าที่แม่ทำทั้งหมดก็เพื่อที่จะค่อยๆ ตัดแขนตัดขาวีร์ ให้เืไหลจนหมดตัวแล้วตายเอง ไม่ได้ฆ่าให้ตายทันที" พอศรุตบอกและเปรียบเทียบให้ฟังแบบนี้แล้วปัณณวีร์ก็คิดตาม หากเป็แบบนั้นจริงทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ก็มีโอกาสเป็ไปได้มากว่าปัณณวีร์จะถูกกนกแกล้งเข้าให้แล้ว
"แสดงว่า ... ก่อนหน้านี้ก็ด้วย"
"ใช่ จริงๆ ก็ไม่อยากเอาแม่มาพูดในทางไม่ดีหรอกนะ แต่แม่ก็ทำเกินไปจริงๆ ขอโทษแทนแม่ด้วย"
"มะ ... ไม่เป็ไร" ปัณณวีร์ถึงกับพูดไม่ค่อยออก ใครจะคิดว่ากนกจะเอาเื่ส่วนตัวมาปนกับเื่งานแบบนี้ "แสดงว่าก็จะยังมีแบบนี้เรื่อยๆ"
ศรุตพยักหน้า แล้วเอ่ยถาม "จะรับมือยังไง"
"ยากจัง" ปัณณวีร์ไม่เคยรู้สึกว่าปัญหาไหนจะยากเท่าปัญหานี้เลย
"ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธี" ศรุตพูดและยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย พอเห็นแบบนี้ปัณณวีร์รู้สึกว่าอีกฝ่ายดูเ้าเล่ห์พอๆ กับคนน้อง
"ขอร้องอย่ายิ้มแบบนั้น"
TBC.