ตอนที่ 19
ละครที่ศิลาและนับดาวแสดงด้วยกันออนแอร์ใกล้จะจบ กระแสมาแรงขึ้นเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับหนึ่งตลอดในวันที่ละครเล่น ด้วยบทที่ดูทันสมัยไม่จำเจและคู่พระนางที่เคมีเข้ากันดีจนหลายคนจิ้น แม้ว่าพระเอกดังอย่างศิลาจะแสดงกับใครก็เคมีดีหมดก็ตาม เรียกได้ว่าเคมีสาธารณะจริงๆ แต่กับคนนี้ก่อนหน้าละครจะออนแอร์มีกระแสคู่รักนอกจอกันอยู่ ทำให้ตอนนี้ก็เริ่มมีคนกลับมาเชียร์ และยิ่งกว่านั้นคือมีข่าวออกมาว่า กนก ผู้ที่ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการและอีกบทบาทหนึ่งก็คือแม่ของศิลา ดาราหนุ่มสุดฮอตออกปากชวนนับดาวมาเซ็นสัญญากับทางช่อง ซึ่งก่อนหน้านี้ก็พอจะมีข่าวอยู่บ้างว่านับดาวจะเซ็นเข้าช่องใหญ่ แต่สุดท้ายก็เงียบๆ ไป
"เดี๋ยวเย็นนี้มีไลฟ์สดคู่นะคะ วันนี้ตอนจบแล้ว" เจนบอกสิ่งที่นับดาวจะต้องทำในวันนี้ นักแสดงสาวหน้าใหม่ใส่ต่างหูให้ตัวเองพลางสำรวจร่างกายก่อนจะออกไปคุยกับผู้กำกับหนังที่ติดต่อมา ต้องยอมรับว่าหลังละครเื่นี้ของเธอที่ประกบคู่กับศิลา ทำให้เธอต้องดึงศักยภาพของตัวเองออกมาให้มากที่สุดเพื่อจะได้ไม่เป็จุดบอดของเื่ เพราะได้รับโอกาสเป็นางเอกั้แ่เื่แรกเลย ทำให้หลายคนได้เห็นว่าเธอมีฝีมือการแสดง จากนั้นก็มีผู้จัดและผู้กำกับติดต่อและยื่นบทให้ลองดู ซึ่งใน่แรกของการเข้าวงการนั้นเจน ผู้จัดการส่วนตัวของเธอก็ได้แนะนำว่าตอนนี้ควรจะรับละครเอาไว้ อาจจะเหนื่อยหน่อย แต่จะทำให้เราเป็ที่รู้จักมากขึ้น
"ค่ะ" นับดาวรับคำแค่นั้น ทำให้เจนต้องเงยหน้ามองแล้วถามขึ้น
"ไม่ดีใจหรอคะ จะได้ทานข้าวเย็นกับน้องศิลาเลยนะ" เพราะ่เวลาที่ไลฟ์คือ่ 18 นาฬิกา กนกรีเควสมาเองว่าอยากให้มีการทานข้าวไปด้วยไลฟ์ไปด้วย จะได้ไม่ดูเป็ทางการเกินไป ทำให้ดูเป็ธรรมชาติๆ เหมือนว่าไปทานข้าวด้วยกันแล้วมาไลฟ์
"เอาจริงนะคะพี่เจน แรกๆ ก็ชอบพี่เขานะคะ เรียกว่าปลื้มเหมาะกว่า ปลื้มมากด้วยแล้วก็เป็ผู้ชายที่น่าสนใจ แต่พี่ก็เห็นว่าเขาไม่สนใจหนูสักนิด จะมีก็แต่แม่เขาที่พยายามเชียร์หนู ยอมรับว่าตอนแรกก็อยากจะเอาชนะนะคะอยากรู้ว่าเขาจะไม่สนใจหนูได้หรอ แล้วดูตอนนี้สิ นึกว่าพระอิฐพระปูน" นับดาวไม่เคยเจอผู้ชายคนไหนที่ดูไร้ความรู้สึกต่อคนอื่นแบบนี้มาก่อนเลย ศิลาเป็คนที่เธอพยายามเข้าหาแต่กลับไม่ถูกปฏิเสธด้วยการนิ่งใส่
"เป็พระอิฐพระปูน หรือว่าไม่สนใจผู้หญิงกันแน่คะ ผู้ชายอ่ะถ้าไม่สนใจผู้หญิงก็มีอยู่ไม่กี่อย่างหรอกค่ะ คือถ้าไม่ได้มีแฟนแสดงว่าไม่ได้ชอบผู้หญิง"
"หรือจริงๆ แล้วพี่เขามีแฟนแล้วคะ อาจจะแอบซุกเมียกับลูกไว้รึเปล่า แม่พี่เขาเลยพยายามสร้างกระแสขนาดนี้"
"จะว่าไปแล้วก็มีสิทธิ์นะคะน้องดาว ก็มีให้เห็นนะคะดาราหลายคนก็แอบซุกลูกซุกเมียไว้ก็มี เพราะ่ที่ตัวเองกำลังดังกำลังมีงานเข้ามาคงอยากจะคว้าไว้ก่อน"
นับดาวคิดและไหวไหล่เล็กน้อย "ช่างเถอะค่ะ ดาวไม่สนใจ"
"ง่ายๆ แบบนี้เลยหรอคะ??" เจนเลิกคิ้วเล็กน้อยที่เห็นว่านับดาวเลิกสนใจได้ง่ายๆ แบบนี้
"จะทำให้ยากทำไมล่ะคะ พี่ว่ากำไลอันไหนสวย" เธอเลือกกำไลข้อมือและแต่งหน้าแต่งตาเพิ่มสักหน่อยก่อนจะออกไปทำงาน
“วันนี้ตอนทานข้าวลูกทานน้อยมากนะ แล้วก็ไม่ค่อยเซอร์วิสแฟนคลับด้วย ลูกควรจะตักอาหารให้น้องบ้าง สุภาพบุรุษหน่อยศิลา” กนกดุลูกชายหลังจากขึ้นมาบนรถแล้ว ดารินที่มาด้วยนั่งเบาะข้างหลังทำเพียงมองศิลาเล็กน้อยไม่กล้าพูดอะไรเพราะกนกนอกจากจะเป็แม่แล้ว ยังคงเป็เ้านายของเธอด้วย
“ผมมาด้วยก็ดีเท่าไหร่แล้วครับแม่ แค่ไลฟ์ทำไมต้องให้มีการทานข้าวกันด้วย แถมแม่ยังมาด้วยอีก แบบนี้คนไม่คิดว่าเป็การทานข้าวกันเป็ครอบครัวหรอครับ” คนชิปก็ชิปไป ศิลารู้ดีว่ามันคือสิ่งที่เขาไปห้ามไม่ได้ หากว่าเขาไม่มีแฟนก็คงไม่ติดอะไร ยิ่งไปกว่านั้นสถานะไม่โสดของตัวเองก็เปิดเผยไม่ได้อีกต่างหาก
“ก็แค่กินข้าว คนจะคิดยังไงก็ช่างเขาสิ ทำไม?? วีร์ไม่ชอบหรอแค่นี้เองนะ” กนกเอ่ยถึงบุคคลที่สามขึ้นมา
“ไม่ได้เกี่ยวกับพี่วีร์ พี่วีร์ไม่เคยไม่พอใจกับอะไรที่เป็งานของผม เป็ผมเองที่ไม่ชอบ” ปัณณวีร์ไม่ได้บอกว่ารู้สึกยังไงแต่ศิลาก็ห่วงความรู้สึกเขามาก และยิ่งอีกฝ่ายไม่พูดไม่ว่าอะไรก็ยิ่งต้องแคร์ความรู้สึก
“มันคืองาน” กนกเอ่ยพร้อมกับยิ้มอย่างไม่เดือดร้อนอะไร
ศิลาหันมามองสบตาคนเป็แม่ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “แม่บังคับผมได้อีกไม่นานหรอกครับ”
ละครจะจบวันนี้แล้ว แม้จะมีงานคู่แต่ก็ไม่ได้บ่อยแล้ว กนกยังคงยิ้มอยู่แต่ในใจก็คิดแล้วว่าจะทำยังไงต่อ ลูกชายแข็งข้อกับเธอเพื่อผู้ชายคนนั้นทำให้เธอไม่ชอบใจนัก แต่ไม่เคยมองที่ตัวเองเลยสักนิดว่าทำไมลูกถึงได้ไม่ฟัง
“ขอบคุณที่แวะมาส่งนะ” ดารินลูบไหล่ศิลาเบาๆ อย่างให้กำลังใจ ขนาดเธอไม่ใช่ศิลายังอึดอัดกับสิ่งที่กนกทำเลย ทั้งๆ ที่รู้ว่าลูกมีแฟนแล้วแต่ก็ยังทำให้ลูกฝืนทำในสิ่งที่ลูกไม่ชอบ ดารินนึกว่าพอรู้ความจริงแล้วอะไรอาจจะดีขึ้น แต่กลับกลายเป็ว่าหนักกว่าเดิม
“ไม่เป็ไรครับ”
หลังจากดารินไปแล้ว รถก็เคลื่อนตัวออกไป ภายในรถกลับมาเงียบเช่นเคย เต็มไปด้วยความอึดอัด เมื่อมาถึงบ้านกนกก็ต้องขมวดคิ้วที่เห็นรถคันคุ้นตา ไม่ต้องให้ใครบอกหรือว่าถามใครเธอก็รู้ว่ารถคันนั้นเป็ของใคร แต่ที่เธอ้าถามคือ เ้าของรถมาที่นี่ทำไม...
“มาทำไม” เธอกันถามลูกชาย เมื่อรถจอดสนิท ศิลาก็ไม่ได้ตอบอะไรแล้วลงจากรถไปก่อน เดินเข้าไปในบ้านโดยไม่รอคนเป็แม่
“กลับมาแล้วหรอลูก” อาธิปเดินออกมาจากห้องครัวเห็นลูกชายพอดี
“ครับ แล้วพี่วีร์ล่ะครับ” คนที่อยากจะเจอมากที่สุดตอนนี้คือเ้าของรถที่จอดอยู่ด้านนอก แต่พอเข้ามาในบ้านไม่เจอจึงได้ถามอาธิป
“นั่งอยู่ที่บ่อปลากับศรุตน่ะ”
“ศิลา! อย่ามาเดินหนีแม่แบบนี้นะ” กนกเดินเข้ามาด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“ผมขอตัวนะครับพ่อ” อาธิปพยักหน้าเล็กน้อย ศิลาไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองผู้เป็แม่
“ศิลา!!”
“คุณนก” อาธิปคว้าแขนของภรรยาเอาไว้ไม่ให้เดินตามลูกชายไป
“นี่มาถึงบ้านเลยหรอ” กนกหันมาถามอาธิปแทน
“ก็คุณไม่ให้ลูกไปนอนที่คอนโด พวกเขาเป็แฟนกันจะมาหากันที่บ้านก็ไม่แปลก”
“คุณธิป!!” เธอไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมสามีถึงได้เห็นด้วยกับการที่ลูกชอบผู้ชาย
“คุณกีดกันพวกเขาไม่ได้หรอก สิ่งที่คุณทำวันนี้คุณรู้รึเปล่าว่าบังคับลูกแค่ไหน ลูกจะอึดอัดแค่ไหนคุณรู้รึเปล่า”
“รู้!”
“ที่ทำไปคุณคิดจริงๆ หรอว่าจะทำให้ลูกเลิกกับวีร์ได้ ไม่ใช่ว่ายิ่งทำคุณยิ่งทำให้พวกเขารักกันขึ้นหรอ แล้วศิก็ยิ่งออกห่างคุณ คุณก็เห็นแล้วหนิ” อาธิปพยายามพูดเพื่อเตือนสติกนกให้เธอรู้ว่าสิ่งทำไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลย มันตรงกันข้ามหมด
กนกนิ่งไป พอนึกตามที่อาธิปบอกมันก็จริง เธอใช้ไม้แข็งบังคับศิลายิ่งทำให้ศิลาต่อต้านเธอมากขึ้น คิดได้ดังนั้นเธอจึงยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะทำหน้าปกติไม่ทันที่อาธิปจะได้เห็น
“ได้ ฉันไม่ห้ามก็ได้” พูดจบเธอก็เดินไปทางบันไดเพื่อจะขึ้นห้อง อาธิปมองตามหลังภรรยาไปอย่างงงๆ เพราะไม่คิดว่ากนกจะพูดง่ายแบบนี้
“มาถึงนานยังครับ” ศิลาเดินเข้ามาหาปัณณวีร์ที่นั่งคุยกับศรุตอยู่ที่บ่อปลาของตนเอง คนถูกถามหันมามองแล้วส่งยิ้มให้
“สักพักแล้ว เป็ไงบ้างเหนื่อยไหม” แม้เป็คำถามที่ดูไม่ได้พิเศษอะไรแต่พอคนถามเป็ปัณณวีร์ ศิลาก็เกิดอาการเหนื่อยขึ้นมาทันที
“เหนื่อยมากครับ เราขึ้นห้องกันดีกว่า”
“เดี๋ยวสิ รีบไปไหนแล้ว...” ปัณณวีร์มองไปด้านหลังของศิลา มองหาใครอีกคนที่คิดว่าคงจะตามมาด้วยแต่ก็ไม่เจอ
“พ่อรั้งไว้น่ะครับ” คนน้องรู้ว่าปัณณวีร์จะถามถึงใคร
“นั่งก่อนก็ได้มั้ง รีบขึ้นห้องไปไหน” ศรุตเอ่ยขึ้น
“อยากอยู่สองคน” คำตอบสั้นๆ จากน้องชายตัวดีทำเอาศรุตหมั่นไส้ไม่น้อย “ไปเถอะครับ”
“อ่าๆ ก็ได้” แล้วมีหรือที่ปัณณวีร์จะไม่ตามใจ
เมื่อขึ้นมาบนห้องแล้วศิลาก็สวมกอดคนพี่จากด้านหลังในทันทีปล่อยความอึดอัดความไม่สบายใจทิ้งไป คางวางเกยที่ไหล่บาง
“อะไรเนี่ย หื้ม” ปัณณวีร์เองหน้ามองเล็กน้อยพร้อมยกมือขึ้น
“ผมแค่เหนื่อย ขอกอดสักพักนะครับ”
“งั้นก็กอดให้หายเหนื่อย” ว่าแล้วปัณณวีร์ก็หันหน้าไปหาแล้วกอดศิลากลับบ้างเติมพลังให้คนน้อง แม้งานของตัวเองจะหนักเท่าไหร่แต่เทียบกับศิลาที่ต้องทำงานและสู้รบตบมือกับแม่ของตัวเองอีกคงจะหนักกว่า หากใครรู้จักศิลาดีก็คงจะเห็นว่าในไลฟ์วันนี้เ้าตัวไม่ได้มีความสุขเลย
“ถ้าเขาเข้าใจผมได้สักครึ่งหนึ่งของพี่ก็คงจะดี” เขาที่พูดถึงศิลาก็หมายถึงผู้เป็แม่ มือเล็กกว่าลูบหลังไปมาเบาๆ เหมือนกับกำลังปลอบเด็ก
“เดี๋ยวเขาก็เข้าใจ ทนหน่อย”
“ต่อไปพี่มานอนที่บ้านกับผมนะ วันไหนที่ผมไม่ได้ไปคอนโด แม่ไม่อยากให้ไปแต่ไม่ได้ว่าไม่ให้มาหนิ”
“แน่ใจหรอ บ้านจะไม่แตกนะ จริงๆ วันนี้พี่ก็ยังเกร็งๆ อยู่เลย”
จริงๆ ปัณณวีร์ก็กลัวเหมือนกันที่อยู่ดีๆ ศิลาก็ส่งข้อความมาบอกให้ไปที่บ้านของเขา และบอกให้ค้างด้วยกันโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ปัณณวีร์ก็มาตามที่อีกคนบอก
"พ่อบอกเองว่าถ้าแม่ไม่ให้ไปหาพี่ที่คอนโด งั้นก็พาพี่มาที่บ้านแทน ไหนๆ แม่ก็รู้แล้วจะมาก็ไม่แปลก ไม่ต้องปิดแม่อีกต่อไป" แม้ว่าจะไม่ต้องปิดบังเื่สถานะอีกต่อไปแต่ก็ใช่ว่ากนกจะยอมรับและเห็นด้วยจึงทำให้ปัณณวีร์ไม่กล้าเท่าไหร่หากต้องมานอนที่บ้าน เมื่อก่อนนอนบ้านหลังนี้ในฐานะเพื่อนของลูกชายคนโตยังรู้สึกสบายใจกว่าที่นอนในฐานะแฟนศิลาเลย
"ศิ"
"ครับ?" ปัณณวีร์ผละออกจากอ้อมกอดอีกฝ่ายเล็กน้อยเพื่อมองใบหน้าหล่อเหลา ศิลารอให้อีกฝ่ายพูดแต่ผ่านไปเป็นาทีปัณณวีร์ก็ไม่พูดอะไรออกมา ทำเพียงจ้องมองเขาอยู่อย่างนั้น
"พี่มีอะไรจะคุยกับผมหรอ" ศิลาเอ่ยถามขึ้นมาเพราะคนพี่ไม่พูดสักที มือหนาเกลี่ยปอยผมที่ปกปิดหน้าของปัณณวีร์ออกให้อย่างเบามือ
"พี่แค่จะบอกว่า ไปอาบน้ำกันเถอะ" ปัณณวีร์ยิ้มออกมา
"มีเื่ไม่สบายใจอะไรรึเปล่า บอกผมได้นะ" ถึงจะยิ้มแต่สีหน้าของอีกคนก็บ่งบอกชัดเจนว่ามีเื่ให้คิดมาก
"เื่งานในกองถ่ายนั่นแหละ ่นี้มีปัญหาหน่อย แต่พี่จัดการได้"
"ไหวแน่นะ ผมไม่อยากเห็นพี่เครียดเลย" สองมือของศิลาประคองใบหน้าหวานเอาไว้ ใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยแก้มเนียนไปมา
"ไหวอยู่แล้ว ระดับนี้"
"งั้นเดี๋ยววันนี้ผมจะช่วยให้ผ่อนคลาย"
"หื้อ?" ปัณณวีร์เลิกคิ้วขึ้นก่อนจะหลุดอุทานขึ้นเสียงดังเมื่อถูกศิลาอุ้ม "เฮ้ย!! ศิ"
"อย่าดิ้นเดี๋ยวตกนะ"
"ทำอะไรเนี่ย พี่เดินเองได้นะ"
"ตัวพี่เบา แค่นี้ผมอุ้มได้สบายๆ อยู่แล้ว" ศิลาพูดไปเดินเข้าห้องน้ำด้วย ในห้องน้ำของศิลามีอ่างอาบน้ำตั้งอยู่ เพราะพอเวลาเหนื่อยจากงานหรือเครียดๆ ศิลามักจะนอนแช่น้ำอุ่น ไม่ว่าจะห้องน้ำที่บ้านหรือที่คอนโด
ซึ่งนอกจากจะเป็ที่แช่น้ำเพื่อผ่อนคลายแล้ว ก็ยังกลายเป็ที่ทำกิจกรรมรักกันไปในตัวด้วย อย่างเช่นตอนนี้
"ศิ ไม่กลัวคนข้างนอกได้ยินหรอ" ปัณณวีร์ถามเสียงเบา ใช้มือดันไหล่อีกฝ่ายไว้ไม่ให้ซุกหน้าลงมาที่ลำคอ
"พี่ก็อย่าเสียงดังสิ" มันคือการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุปัณณวีร์อยากจะดึงผมอีกฝ่ายออกจริงๆ แต่พอถูกัั ถูกเล้าโลมก็เคลิบเคลิ้มได้โดยง่ายซะอย่างนั้น อาจเป็เพราะ่หลายวันมานี้พวกเขาไม่ค่อยมีเวลาอยู่ด้วยกันเลย
ทั้งยุ่งจากงานและถูกกีดกันจากกนก จึงไม่ได้ใช้เวลาทำกิจกรรมร่วมกันเหมือนเมื่อก่อน เื่ดีงามบนเตียงก็พลอยห่างหายไปด้วย
"พี่วีร์คะ!" ชาวิ่งหน้าตื่นมาขณะที่ปัณณวีร์นั่งพูดคุยกับผู้กำกับอยู่
“มีอะไรชา เสียงดังมาเชียว” คนถูกเรียกขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัย
“พี่วีร์คะ น้องตาลค่ะ น้องตาลรถล้มเมื่อวาน ผู้จัดการน้องโทรมาบอกว่าคงมาถ่ายไม่ได้เพราะว่าน้องแขนเจ็บค่ะต้องใส่เฝือกเลย” ชาทั้งพูดทั้งหอบหายใจ
“อะไรนะ!?” ตาล ดาราสาวที่รับตัวร้ายในเื่ซึ่งเป็ตัวละครสำคัญไม่แพ้นางเอกและพระเอกเลย แต่ดันมาเกิดอุบัติเหตุแบบนี้แน่นอนว่าทำให้การถ่ายทำติดขัด
“นี่มันอะไรกันคะเนี่ย” ผู้กำกับเอ่ยขึ้นพลางถอนหายใจ ว่ามาช้าแล้วไม่อะไร แต่ดันเกิดอุบัติเหตุแต่ไม่บอกแบบนี้ทำเอาคนอื่นเสียเวลากันหมด
“ทำไมถึงไม่บอกั้แ่เมื่อวาน มาบอกวันนี้จะให้เราทำยังไง น้องเขาต้องมีคิวถ่ายวันนี้ตั้งหลายฉาก” ปัณณวีร์ถึงกับบ่นออกมา ซึ่งน้อยครั้งที่เขาจะบ่นแต่เพราะครั้งนี้มันไม่ใช่ปัญหาแรกของการถ่ายทำละครเื่นี้ จึงทำให้หงุดหงิดไปบ้างก็ไม่แปลก
“ชาก็ว่าให้ผู้จัดการไปแล้วค่ะ แทนที่จะบอกเราเนิ่นๆ”
“แล้วแบบนี้เราจะทำยังไงคะ” ผู้กำกับลินถาม
คนคิดหนักเป็ปัณณวีร์ที่ต้องดูแลจัดการทุกอย่าง ในเมื่อเป็แบบนี้จึงตัดสินใจถ่ายฉากอื่นไปก่อน ปัณณวีร์ขอไปเยี่ยมตาลเพื่อดูอาการของอีกฝ่ายหน่อย ที่กองให้ชาดูแล
“ไปทำยังไงให้รถล้มได้ล่ะตาล”
“ตาลฝึกขับรถค่ะพี่วีร์ เพราะยังขับไม่แข็งแรง เจอลูกหมาวิ่งมาตัดหน้าเลยล้ม”
“ไม่เป็ไรมากก็ดีแล้ว แต่พี่ขอพูดอะไรหน่อยนะตาล ในเมื่อตาลรู้ว่าตัวเองขับไม่แข็งแรง ดังนั้นก็ไม่ควรจะไปฝึกขับตอนนี้นะ เพราะตาลยังมีงานละครอยู่ หากว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่สิ…มันเกิดขึ้นแล้ว พอเป็แบบนี้งานก็ต้องพัก แล้วใครเสียหายก็เป็กองถ่าย กว่าแขนจะหายต้องเข้าเฝือกอีกเป็เดือนๆ”
“น้องวีร์คะ เื่อุบัติเหตุไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นหรอกนะคะ พูดแบบนี้ก็ไม่ถูก น้องตาลก็เสียใจที่ทำให้งานมีปัญหา” ผู้จัดการส่วนตัวของเธอออกปากพูดแทน ในขณะที่เ้าตัวนั้นนั่งก้มหน้าส่งเสียงสะอึกสะอื้น
“รู้ครับว่าไม่มีใครอยากให้เกิด แต่ระวังได้ก็ควรจะระวังนะครับ” เขาไม่ได้อยากเป็คนที่ใจร้ายใจดำอะไรนักแต่หากว่าไม่ทำแบบนี้ก็คงจะแก้ปัญหาครั้งนี้ไม่ได้
“เอางี้แล้วกันครับ ผมคุยกับผู้กำกับลินแล้ว เดี๋ยวเราจะเปลี่ยนบทกันนิดหน่อย ให้บทของน้องตาลตกบันไดจนต้องใส่เฝือก เราจะใช้สตั๊นแมนเล่นแทนในตอนนั้น แค่แขนเจ็บใช่ไหมครับ คงจะเล่นได้อยู่" ไม่ใช่ประโยคขอร้องแต่เป็ประโยคบอกเล่าแกมบังคับ
"อะ ... อะไรนะคะ" ตาลเอ่ยติดๆ ขัดๆ แล้วหันมองผู้จัดการส่วนตัวของเธอเหมือนกับขอความช่วยเหลือ
"น้องเจ็บขนาดนี้ ยังจะให้ไปทำงานอีกหรอคะ" ผู้จัดการกล่าวขึ้น
"ผมให้น้องพัก 1 อาทิตย์ครับ พี่บอกเองว่าน้องไม่เป็อะไรมากนอกจากแขน"
"แต่สภาพจิตใจของน้องล่ะคะ น้องก็ใที่ตัวเองล้มแบบนั้น คงจะทำงานได้ไม่ดี"
"ต้องรอจนเอาเฝือกออกผมก็รอไม่ไหวเหมือนกันครับ นี่ผมหาทางออกให้เราสองคนแล้วนะครับ" ปัณณวีร์คิดแล้วคิดอีกมีแค่ทางนี้ที่ทำให้เขาได้ถ่ายต่อ ไม่อย่างนั้นคงจะไปไม่รอด เพราะตอนนี้ก็มาถึงครึ่งเื่แล้ว
"ไม่ได้ค่ะ น้องาเ็อยู่พี่ไม่อนุญาต เกิดเป็อะไรมากขึ้นกว่านี้จะทำยังไง"
"แล้วงานจะทำยังไงล่ะครับ??" จะให้เปลี่ยนตัวตอนนี้ก็ดูจะสายเกินไป เพราะงบในละครเื่นี้ไม่ได้มีมากขนาดนั้น ปัณณวีร์คิดถึงเื่นี้แล้วจึงได้เอะใจขึ้นมาพลางมองหน้าตาลกับผู้จัดการส่วนตัวของเธอสลับกัน ผู้จัดการทำงานที่เจทีเอ็น ตาลเองก็เป็นักแสดงจากเจทีเอ็น เอ็นเตอร์เทนเมนท์
หากจะบอกว่าเขามองโลกในแง่ร้ายเกินไปก็คงไม่ผิดหากปัณณวีร์จะคิดว่าเื่นี้มีกนกอยู่เื้ั เขาสำรวจดูร่างกายของตาล เธอใส่เสื้อกล้าม กางเกงขาสั้น ที่แขนและขาของเธอไม่มีแม้แต่รอยถลอก หากว่ารถล้มจริง คงไม่ใช่แค่แขนที่กระแทกลงพื้นอย่างแน่นอน ส่วนต่างๆ ในร่างกายก็คงต้องโดนพื้นบ้างแต่กลับไม่มีร่องรอยอะไรเลย
ปัณณวีร์เห็นดังนั้นจึงได้คิดโมโหในใจ เม้มปากเข้าหากันเป็เส้นตรง แล้วสูดหายใจเข้าก่อนจะพูดขึ้นว่า
"เอาเป็ว่า 1 อาทิตย์สำหรับการพักคงจะพอนะครับ ถ้าเป็มืออาชีพมากพอ" ประโยคสุดท้ายทำเอาตาลสะดุ้งเล็กน้อย เพราะการที่เธอทำแบบนี้ตัวเธอเองก็เสี่ยงเหมือนกันที่จะถูกเอาไปพูดว่าไม่รับผิดชอบงาน
"น้องวีร์คะ แบบนี้ถ้าเกิดว่ามีปัญหาในกองจะไม่แย่หรอคะ น้องไม่พร้อมจะทำงาน"
"ผมรับผิดชอบเองครับ" ปัณณวีร์ลุกขึ้นแล้วยิ้มให้ "ผมต้องขอตัวก่อนนะครับ ต้องกลับไปดูงานที่กองถ่าย"
ปัณณวีร์พูดจบก็ขอตัวกลับ ไม่ต่อความยาวสาวความยืดอะไรเพราะคิดว่าพูดไป อีกฝ่ายก็คงหาทางพูดอะไรให้ตัวเองไม่ต้องไปทำงานอยู่ดี ทั้งๆ ที่ก็เห็นว่าไม่เป็อะไรเลย
"เราจะทำไงดีคะ แบบนี้คุณกนกจะว่าเรารึเปล่า" ตาลถามขึ้นมาทันทีที่ปัณณวีร์เดินออกจากบ้านไป
"ใจเย็นๆ ก่อนค่ะ เดี๋ยวพี่ขอคุยกับคุณกนกก่อน"
"ดีๆ นะพี่ อย่าให้เราเสียหายนะคะ หากพี่วีร์บอกว่าเราไม่มีความรับผิดชอบขึ้นมาจะส่งผลเสียระยะยาวกับเราและงานนะคะ" เธอเอ่ยเตือนผู้จัดการ แม้ในใจจะไม่เห็นด้วยกับการกระทำนี้แต่ก็เพราะถูกผู้ใหญ่สั่งมาเธอจึงปฏิเสธไม่ได้
"ไม่ต้องกลัวไปหรอก ใครเป็คนให้เราทำ มีอะไรต้องกลัวคะ" เธอพูดอย่างมั่นอกมั่นใจเพราะคนถือหางคือเ้าของเจทีเอ็น ถ้าไม่ทำมีหวังได้ไปไม่สวยแน่
"นี่แม่ผมทำขนาดนี้เลยหรอ" ศิลาทำหน้าเครียดเมื่อปัณณวีร์เล่าเื่ที่เกิดขึ้นให้อีกฝ่ายฟังพร้อมกับนั่งนวดที่ขมับตัวเอง
"พี่ไม่คิดว่าเป็แม่ศิหรอกนะตอนแรก แต่พอไปเห็นตาล ไม่ได้ดูเหมือนเกิดอุบัติเหตุมาเลย ในหัวพี่ตอนนั้นคิดแค่ว่าใครจะมาสั่งให้เธอทำแบบนี้กัน เพราะเธอจะมาทำเองคงจะเสียเครดิตแย่"
"แม่ทำแบบนี้เพื่ออะไรกัน เพราะไม่ชอบพี่หรอ??"
"พี่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่พี่จะทำให้ท่านเห็นว่าเื่แค่นี้พี่จัดการได้" ปัณณวีร์พูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
ศิลามองคนพี่ด้วยแววตาอ่อนโยน ลุกขึ้นเดินไปหา ใช้มือประคองศีรษะของปัณณวีร์เข้ามาซบที่หน้าท้องของตัวเอง ปัณณวีร์ก็หันเข้ามากอดอย่างรู้งาน ปล่อยให้คนน้องลูบผมไปอย่างนั้นเพื่อความผ่อนคลาย
"ถ้ามันมากเกินไป พี่รับไม่ไหวพี่บอกผม" ศิลายังไม่อยากทำให้เป็เื่ใหญ่ เขาไม่อยากให้แม่รู้สึกไม่ดีกับปัณณวีร์ หากเขาเอาเื่นี้ไปคุยไปทะเลาะกับแม่อีก อีกฝ่ายก็คงคิดว่าปัณณวีร์มาฟ้องเขา แบบนี้คงจะทำให้ไม่ชอบปัณณวีร์มากกว่าเดิม ในเมื่ออยากแกล้งอยากพิสูจน์ความสามารถหรืออะไรก็ให้ทำไป ตัวเขาพร้อมซัพพอร์ตคนพี่เสมอ
"เข้าใจแล้ว ไม่ต้องไปมีปัญหากับแม่เพราะพี่อีก ไม่งั้นจะยิ่งไม่ชอบพี่" ปัณณวีร์เองก็คิดแบบเดียวกับศิลา ปัญหาแค่นี้หากไม่มีทางออกคงจะไม่ใช่ปัณณวีร์
"เพราะพี่เป็แบบนี้ ผมถึงรักพี่มาก" แขนแกร่งโอบกอดไหล่บางไว้แน่นแล้วก้มลงไปหอมกลุ่มผมนุ่ม ปัณณวีร์กอดเอวหนาไว้แน่นเช่นเดียวกันแน่นจนศิลารู้สึกว่าอีกฝ่ายคงกำลังเครียด กำลังกังวลและไม่อยากให้เขารับรู้ เพียงแต่การแสดงออกของปัณณวีร์ที่เ้าตัวอาจจะไม่รู้สึกนั้นศิลารู้ดีกว่าใคร
เพียงแต่เหตุผลของความเครียดความกังวลนั้นอาจไม่ใช่สิ่งที่กำลังเจอตอนนี้....
ปัณณวีร์ปรับเปลี่ยนบทของละครไปบ้างเพราะต้องให้เอื้อต่อตาลที่กำลังใส่เฝือกอยู่ หากไม่ทำแบบนี้ก็จะไม่สามารถถ่ายต่อได้ จะให้เปลี่ยนตัวเธอตอนนี้ก็ยิ่งไม่ทันเพราะถ่ายกันกว่าหลายฉากแล้ว และหากต้องเริ่มใหม่ในสถานการณ์ที่ปัณณวีร์ไม่อาจจะขอเงินทุนเพิ่มเติมได้จากกนกยิ่งแล้วใหญ่ หากไปขอก็อาจจะถูกยื่นข้อเสนอให้เซ็นสัญญาด้วย ซึ่งปัณณวีร์เห็นว่าหากเขาเซ็นตอนนี้คงจะถูกบีบได้ง่ายกว่าเดิมอีก
ตาลมาแสดงตามที่ปัณณวีร์ได้บอกเอาไว้ เพียงสามวันเท่านั้นก็มีกระแสโซเชียลจากเหล่าแฟนคลับของเธอออกมาโพสต์หลังเห็นผู้จัดการส่วนตัวของตาลอัพสตอรี่ตาลที่ใส่เฝือกพร้อมแคปชั่นที่ว่า าเ็ต้องห้ามเจ็บ เพราะยังต้องทำงาน
หลายคนออกมาพูดว่าาเ็ควรจะได้พักผ่อน ทำไมถึงได้ใจร้ายให้ไปทำงานกัน บ้างก็ว่านี่เป็การใช้แรงงานเกินไป ควรให้ได้นอนพักให้หายดีซะก่อน หลายคนก็หลายความคิด ปัณณวีร์เห็นก็อยากจะเรียกผู้จัดการส่วนตัวของตาลมาคุยซะหน่อยแต่ก็ต้องสงบอารมณ์คุกรุ่นเอาไว้ก่อน
"แบบนี้ถ้ารู้ว่าละครเื่ไหน พี่วีร์จะโดนโจมตีรึเปล่าคะเนี่ย ดูแล้วเขาอยากให้เป็แบบนั้น" ชาพูดขึ้นเสียงเครียด
"เขาจะกลับผิดเป็ถูกก็ตามแต่เขาเลย" ปัณณวีร์อมยิ้มเล็กน้อย ไม่นานหลังจากนั้นศิลาก็ออกมาโพสต์อินสตาแกรมด้วยรูปการทำงานของตนเองพร้อมแคปชั่นใต้ภาพว่า แม้จะไม่สบายก็ไม่เคยจะทำให้งานเสีย เพราะมันคือคำว่ามืออาชีพ
"ศิลาออกมาโพสต์แบบนี้แล้วใครจะไปกล้าหือกล้าอือกันล่ะ" กนกวางปากกาลงบนโต๊ะอย่างแรงด้วยความหงุดหงิดที่ศิลาออกมาโพสต์อะไรแบบนี้ทั้งๆ ที่ไม่เคยจะยุ่งเกี่ยวกับเื่ข่าวของดาราคนไหน หากว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับปัณณวีร์
"คุณกนกต้องใจเย็นไว้ค่ะ ใช้ไม้แข็งไม่ได้ผลก็ต้องใช้ไม้อ่อน" เลขาคนสนิทบอก
"จะทนได้นานแค่ไหน ฉันอยากให้ลูกเลิกกับเด็กคนนั้นเร็วๆ ชีวิตศิลาต้องได้แต่งงานกับผู้หญิงดีๆ ที่เหมาะจะเป็แม่ของลูก เป็แม่ของหลานฉันสิ" ความใฝ่ฝันของเธอที่คาดหวังเอาไว้ว่าศิลาและศรุตจะต้องได้แต่งงานมีลูกมีหลานให้เธอต้องมาพังลงเพราะลูกชายคนเล็กที่รักนั้นชอบผู้ชาย จะให้คนเป็แม่ทำยังไงได้นอกจากกีดกัน
เพราะกนกคิดเสมอว่าสิ่งที่ตัวเธอคิดและทำ มันคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกในความคิดของตัวเธอ
แต่เธออาจจะลืมคิดไปว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดของชีวิตลูก....
TBC.